คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ดุสิต วราโห

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,197 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1738/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบอกเลิกสัมปทานและค่าเสียหาย: ศาลล่างงดสืบพยานโดยไม่ชอบ
สัมปทานบัตรเพื่อการลงทุนประกอบการเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมในที่ดินที่กระทรวงมหาดไทยจำเลยออกให้โจทก์ก็คือสัญญาระหว่างรัฐกับโจทก์ ทั้งสองฝ่ายต่างมีสิทธิและหน้าที่ที่ จะต้องปฏิบัติต่อกันตามข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัมปทานบัตร และในส่วนที่ไม่ได้ระบุไว้ก็ต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฉะนั้นแม้ไม่ได้ระบุถึงสิทธิของผู้รับสัมปทานในการที่จะขอยกเลิก สัมปทานบัตร ก็หาใช่ว่าโจทก์จะไม่มีสิทธิบอกเลิกไม่ เมื่อโจทก์ใช้สิทธิ บอกเลิกสัมปทานบัตรแล้ว คู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 และหากการบอกเลิก เป็นเพราะจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย จากจำเลยได้ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1732/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลือกตั้งคณะกรรมการลูกจ้างที่ไม่ชอบตามกฎหมาย จำเลยมีสิทธิปฏิเสธการประชุมหารือ
จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์กับพวกมิได้เป็นคณะกรรมการลูกจ้างที่ถูกต้องตามกฎหมายเพราะผู้สมัครและผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ปฏิบัติงานอยู่ในจังหวัดอื่นนอกจังหวัดขอนแก่นด้วย มิได้เป็นการเลือกตั้งโดยลูกจ้างทั้งหมดของจำเลยในจังหวัดขอนแก่นจำนวนกรรมการที่ได้รับเลือกตั้งมีมากกว่าที่กฎหมายกำหนดและหน่วยงานที่โจทก์กับพวกจัดให้มีการเลือกตั้งเป็นเพียงกองกองหนึ่งของจำเลยเท่านั้น การเลือกตั้งจึงไม่ชอบโจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้จำเลยจัดให้มีการประชุมดังนี้ การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์กับพวกขอให้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการลูกจ้างในเขตพื้นที่จังหวัดขอนแก่นซึ่งจำเลยก็ยินยอม แต่วันเลือกตั้งโจทก์กระทำผิดข้อตกลงโดยมีพนักงานจากจังหวัดอื่นร่วมทำการเลือกตั้งและพนักงานในจังหวัดขอนแก่นอีกจำนวนหนึ่งไม่รู้เห็นด้วย นับว่าเป็นการไม่ชอบเป็นเหตุผลเพียงพอที่ฝ่ายจำเลยจะปฏิเสธไม่จัดให้มีการประชุมหารือระหว่างพวกโจทก์กับจำเลยนั้นเป็นการที่มิได้วินิจฉัยตามประเด็นที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1732/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คณะกรรมการลูกจ้าง: การเลือกตั้งที่ไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ กฎหมายแรงงาน
จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์กับพวกมิได้เป็นคณะกรรมการลูกจ้างที่ถูกต้องตามกฎหมายเพราะ ผู้สมัครและผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ปฏิบัติงานอยู่ในจังหวัดอื่นนอกจังหวัดขอนแก่นด้วย มิได้เป็นการเลือกตั้งโดยลูกจ้างทั้งหมดของจำเลยในจังหวัดขอนแก่นจำนวนกรรมการที่ได้รับเลือกตั้ง มีมากกว่าที่กฎหมายกำหนด และหน่วยงานที่โจทก์กับพวกจัดให้มีการเลือกตั้งเป็นเพียงกองกองหนึ่งของจำเลยเท่านั้นการเลือกตั้ง จึงไม่ชอบโจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้จำเลยจัดให้มีการประชุมดังนี้ การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์กับพวกขอให้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการลูกจ้าง ในเขตพื้นที่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งจำเลยก็ยินยอมแต่วันเลือกตั้งโจทก์กระทำผิดข้อตกลง โดยมีพนักงานจากจังหวัดอื่นร่วมทำการเลือกตั้งและพนักงานในจังหวัดขอนแก่นอีกจำนวนหนึ่งไม่รู้เห็นด้วยนับว่าเป็นการไม่ชอบเป็นเหตุผลเพียงพอที่ฝ่ายจำเลยจะปฏิเสธไม่จัดให้มีการประชุมหารือ ระหว่างพวกโจทก์กับจำเลยนั้นเป็นการที่มิได้วินิจฉัยตามประเด็นที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1637/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คแก้ไขเปลี่ยนแปลงจำนวนเงิน ธนาคารผู้ทรงเช็คต้องคืนเงินส่วนเกินให้ผู้สั่งจ่าย
ผู้สั่งจ่ายออกเช็คล่วงหน้าสั่งธนาคารโจทก์จ่ายเงินจำนวนหนึ่งแก่ ช. ต่อมาได้มีการแก้ไขจำนวนเงินในเช็คให้สูงขึ้น แล้ว ส. ได้นำเช็คดังกล่าวมามอบให้ธนาคารจำเลยเพื่อเป็นประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของ ส. ครั้นเช็คถึงกำหนด จำเลยได้เรียกเก็บเงินจากโจทก์หักล้างหนี้ของ ส.ต่อมาผู้สั่งจ่ายทราบจึงเรียกเงินคืนจากโจทก์ โจทก์ได้จ่ายเงินจำนวนที่ถูกแก้ไขให้สูงขึ้นแก่ผู้สั่งจ่ายแล้วมาฟ้องเรียกคืนจากจำเลย ดังนี้ เมื่อการแก้ไขเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าจึงเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่ไม่ประจักษ์ในข้อสำคัญเมื่อผู้สั่งจ่ายไม่ได้รู้เห็นยินยอมในการแก้ไขด้วย จำเลยผู้ทรงเช็คย่อมมีสิทธิบังคับการใช้เงินตามเช็คได้เพียงจำนวนเงินเดิมก่อนมีการแก้ไขเท่านั้นจำนวนที่เกินเป็นการรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ เมื่อโจทก์มิได้จ่ายเงินให้จำเลยรับไปตามอำเภอใจ แต่จ่ายไปโดยเชื่อว่าผู้สั่งจ่ายออกเช็คสั่งจ่ายเงินตามจำนวนที่แก้ไข จำเลยจึงต้องคืนเงินส่วนที่รับเกินมาแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่โจทก์แจ้งให้ทราบ
แม้ผู้สั่งจ่ายเขียนเช็คเว้นช่องว่างหน้าตัวเลขและตัวหนังสือจำนวนเงินไว้มากเป็นเหตุให้มีการเพิ่มเติมจำนวนเงินได้ง่าย แต่จำนวนเงินส่วนเกินที่จำเลยรับก็เป็นการรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ หากจำเลยได้รับความเสียหายจากความประมาทเลินเล่อของผู้สั่งจ่ายอย่างไรก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องว่ากล่าวเอาแก่ผู้สั่งจ่าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1637/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขเช็คให้สูงขึ้นโดยไม่ประจักษ์ ผู้ทรงเช็คมีสิทธิเรียกเก็บเงินได้เฉพาะจำนวนเดิม การรับเงินส่วนเกินเป็นอันไม่มีมูล
ผู้สั่งจ่ายออกเช็คล่วงหน้าสั่งธนาคารโจทก์จ่ายเงินจำนวนหนึ่งแก่ ช.ต่อมาได้มีการแก้ไขจำนวนเงินในเช็คให้สูงขึ้น แล้ว ส. ได้นำเช็คดังกล่าวมามอบให้ธนาคารจำเลยเพื่อเป็นประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของ ส. ครั้นเช็คถึงกำหนดจำเลยได้เรียกเก็บเงินจากโจทก์หักล้างหนี้ของ ส.ต่อมาผู้สั่งจ่ายทราบจึงเรียกเงินคืนจากโจทก์ โจทก์ได้จ่ายเงินจำนวนที่ถูกแก้ไขให้สูงขึ้นแก่ผู้สั่งจ่ายแล้วมาฟ้องเรียกคืนจากจำเลย ดังนี้ เมื่อการแก้ไขเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าจึงเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่ไม่ประจักษ์ในข้อสำคัญ เมื่อผู้สั่งจ่ายไม่ได้รู้เห็นยินยอมในการแก้ไขด้วย จำเลยผู้ทรงเช็คย่อมมีสิทธิบังคับการใช้เงินตามเช็คได้เพียงจำนวนเงินเดิมก่อนมีการแก้ไขเท่านั้น จำนวนที่เกินเป็นการรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ เมื่อโจทก์มิได้จ่ายเงินให้จำเลยรับไปตามอำเภอใจ แต่จ่ายไปโดยเชื่อว่าผู้สั่งจ่ายออกเช็คสั่งจ่ายเงินตามจำนวนที่แก้ไข จำเลยจึงต้องคืนเงินส่วนที่รับเกินมาแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่โจทก์แจ้งให้ทราบ
แม้ผู้สั่งจ่ายเขียนเช็คเว้นช่องว่างหน้าตัวเลขและตัวหนังสือจำนวนเงินไว้มากเป็นเหตุให้มีการเพิ่มเติมจำนวนเงินได้ง่าย แต่จำนวนเงินส่วนเกินที่จำเลยรับก็เป็นการรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ หากจำเลยได้รับความเสียหายจากความประมาทเลินเล่อของผู้สั่งจ่ายอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องว่ากล่าวเอาแก่ผู้สั่งจ่าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1612/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรุกล้ำที่ดินโดยสุจริต โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องรื้อถอน แต่มีสิทธิเรียกค่าที่ดิน
เจ้าของเดิมได้ปลูกสร้างตึกแถวเลขที่ 40,41 และ 42ลงบนที่ดิน2 แปลงของตนคือที่ดินโฉนดที่ 811 และที่237ปรากฏว่าตึกแถวเลขที่ 41 ได้ปลูกล้ำเข้าไปในที่ดินโฉนดที่ 811ต่อมาที่ดินโฉนดที่ 811 พร้อมตึกแถวได้ตกเป็นของโจทก์ส่วนที่ดินโฉนดที่ 237 พร้อมทั้งตึกแถวได้ตกเป็นของจำเลยกรณีนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะต้องนำบทกฎหมายที่ใกล้เคียงมาใช้บังคับคือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1312การที่ตึกแถวเลขที่41 ปลูกล้ำเข้าไปในโฉนดที่ 811 ของโจทก์นั้นเจ้าของเดิมเป็นผู้ปลูกหาใช่จำเลยไม่โจทก์จำเลยต่างรับโอนที่ดินและตึกแถวมาอีกทอดหนึ่งถือได้ว่าการรุกล้ำดังกล่าวเป็นมาโดยสุจริตจะให้จำเลยรื้อถอนไปหาชอบด้วยความยุติธรรมไม่และจะนำมาตรา1310 มาปรับกับกรณีนี้ก็ไม่ได้ เพราะมาตรา 1310 เป็นบทบัญญัติกรณีที่ปลูกสร้างโรงเรือนลงในที่ดินผู้อื่นทั้งหลัง มิใช่ปลูกสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินผู้อื่นเพียงบางส่วนเช่นกรณีนี้โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยรื้อถอนฝาห้องเลขที่ 41 ออกไปจากที่ดินโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1612/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรุกล้ำที่ดินโดยสุจริตของผู้รับโอน สิทธิเรียกร้องค่าที่ดิน มิใช่การรื้อถอน
เจ้าของเดิมได้ปลูกสร้างตึกแถวเลขที่ 40, 41 และ 42 ลงบนที่ดิน 2 แปลงของตนคือที่ดินโฉนดที่ 811 และ ที่ 237 ปรากฏว่าตึกแถวเลขที่ 41 ได้ปลูกล้ำเข้าไปในที่ดินโฉนดที่ 811 ต่อมาที่ดินโฉนดที่ 811 พร้อมตึกแถวได้ตกเป็นของโจทก์ส่วนที่ดินโฉนดที่ 237 พร้อมทั้งตึกแถวได้ตกเป็นของจำเลยกรณีนี้ ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะต้องนำบทกฎหมายที่ใกล้เคียงมาใช้บังคับคือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 การที่ตึกแถวเลขที่ 41 ปลูกล้ำเข้าไปในโฉนดที่ 811 ของโจทก์นั้น เจ้าของเดิมเป็นผู้ปลูกหาใช่จำเลยไม่โจทก์จำเลยต่างรับโอนที่ดินและตึกแถวมาอีกทอดหนึ่งถือได้ว่าการรุกล้ำดังกล่าวเป็นมาโดยสุจริต จะให้จำเลยรื้อถอนไปหาชอบด้วยความยุติธรรมไม่และจะนำมาตรา 1310 มาปรับกับกรณีนี้ก็ไม่ได้ เพราะมาตรา 1310 เป็นบทบัญญัติกรณีที่ปลูกสร้างโรงเรือนลงในที่ดินผู้อื่นทั้งหลัง มิใช่ปลูกสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินผู้อื่นเพียงบางส่วนเช่นกรณีนี้โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยรื้อถอนฝาห้องเลขที่ 41 ออกไปจากที่ดินโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1574/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดไต่สวนมูลฟ้องในคดีอาญา ศาลต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 166 ไม่ใช่ทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ในกรณีที่โจทก์ไม่มาศาลในวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง นั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 166 วรรคแรกได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้วว่าให้ศาลยกฟ้องเสียจึงจะนำบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการทิ้งฟ้องมาใช้บังคับในกรณีนี้หาได้ไม่ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ไม่มาศาลโดยไม่มีเหตุถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องให้จำหน่ายคดีจึงไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา
ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ไม่มาศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องให้จำหน่ายคดี ศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้เลื่อนวันนัดไต่สวนมูลฟ้องไปแล้วโจทก์จึงไม่ขาดนัด แต่เห็นว่าผลของคำสั่งนั้นถูกต้องแล้วเพราะศาลชั้นต้นให้เวลาโจทก์สืบหาที่อยู่ของจำเลยตามที่ขอจนครบกำหนดแล้วโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลกำหนดจึงต้องถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ชอบเฉพาะแต่เหตุที่อ้างส่วนผลของคำสั่งถูกต้องแล้ว จึงเป็นการยกเหตุอื่นขึ้นมาอ้างแล้วพิพากษายืน ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาเพราะเหตุที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นอ้างดังกล่าวหาได้เป็นประเด็นขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ไม่ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1574/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกฟ้องและทิ้งฟ้องในคดีอาญา: การนำบทบัญญัติแพ่งมาใช้โดยไม่ชอบ
ในกรณีที่โจทก์ไม่มาศาลในวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง นั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 166 วรรคแรก ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้วว่าให้ศาลยกฟ้องเสียจึงจะนำบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการทิ้งฟ้องมาใช้บังคับในกรณีนี้หาได้ไม่ ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ไม่มาศาลโดยไม่มีเหตุถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องให้จำหน่ายคดีจึงไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา
ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ไม่มาศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องให้จำหน่ายคดี ศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้เลื่อนวันนัดไต่สวนมูลฟ้องไปแล้วโจทก์จึงไม่ขาดนัด แต่เห็นว่าผลของคำสั่งนั้นถูกต้องแล้วเพราะศาลชั้นต้นให้เวลาโจทก์สืบหาที่อยู่ของจำเลยตามที่ขอจนครบกำหนดแล้วโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลกำหนดจึงต้องถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำสั่งศาลชั้นต้น ไม่ชอบเฉพาะแต่เหตุที่อ้างส่วนผลของคำสั่งถูกต้องแล้ว จึงเป็นการยกเหตุอื่นขึ้นมาอ้างแล้วพิพากษายืน ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา เพราะเหตุที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นอ้างดังกล่าวหาได้เป็นประเด็นขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ไม่ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1571/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความความผิดเช็ค: ความผิดเกิดขึ้นเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน การเรียกเก็บเงินใหม่ไม่ระงับความผิด
โจทก์นำเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายไปขึ้นเงินจากธนาคาร เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค ถือว่าได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นแล้ว อายุความการฟ้องคดีในความผิดดังกล่าวจึงต้องนับตั้งแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินการที่โจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงินใหม่ในภายหลังตามที่จำเลยขอร้องนั้นมิใช่เป็นการระงับความผิดที่เกิดขึ้นจึงไม่เป็นการยอมความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)และการที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คครั้งที่สองไม่ถือว่ามีความผิดเกิดขึ้นใหม่อีก
of 120