คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
พูน จักรเสน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 266 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3469/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวเนื่องกับคำฟ้องเดิม ไม่รับฟ้องแย้งได้ตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมกับให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้เพื่อขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งว่า โรงงานของจำเลยปลูกรุกล้ำอยู่บนที่ดินของโจทก์โดยสุจริต จึงขอให้โจทก์จดทะเบียนสิทธิในที่ดินเป็นภารจำยอมแก่จำเลย ดังนี้ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นคนละเรื่องกับที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมจึงไม่รับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3401/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันคำพิพากษาฎีกา: คดีซ้ำและขอบเขตการฟ้องร้องที่ดิน
ปัญหาว่าคำพิพากษาในคดีก่อนผูกพันคู่ความในคดีนี้หรือไม่ จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้และยกขึ้นเป็นประเด็นในชั้นอุทธรณ์ โดยกล่าวไว้ในคำแก้อุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยให้ จึงเป็นกรณีปรากฏเหตุที่ศาลอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) ว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวได้โดยไม่ต้องส่งสำนวนคืนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษา
คดีก่อนโจทก์จำเลยพิพาทกันเฉพาะที่งอกริมตลิ่งของที่ดินโฉนดที่ 384 ศาลฎีกาพิพากษาคดีดังกล่าวว่านายชิตขายที่ดินให้โจทก์เฉพาะตามโฉนด ไม่ได้ขายที่พิพาทอันเป็นที่งอกให้แก่โจทก์ด้วย การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อ้างว่าเพิ่งทราบว่านายชิตมอบที่ดินให้ไม่ครบตามโฉนดจึงขอให้จำเลยสั่งมอบที่ดินให้ครบตามโฉนด แต่ในเนื้อหาของคำฟ้องยังบรรยายว่าหากมีที่งอกริมตลิ่งหน้าที่ดินโฉนดที่ 384 ก็ย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์เมื่อนายชิตขายที่ดินนี้ให้โจทก์ก็มิได้สงวนสิทธิในที่งอกนั้นที่งอกจึงรวมอยู่ในที่ดินที่ซื้อขายด้วยขอให้บังคับจำเลยรื้อบ้านออกไปจากที่งอก แผนที่สังเขปท้ายฟ้องคดีนี้กับท้ายฟ้องคดีก่อนก็เหมือนกัน แสดงว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้เพื่อขอให้บังคับจำเลยส่งมอบที่พิพาทอันเป็นที่งอกที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยชี้ขาดไว้แล้วนั้นแก่โจทก์อีกเช่นนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคแรกให้ถือว่าคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวผูกพันโจทก์จำเลย โจทก์จะกล่าวอ้างเป็นอย่างอื่นอีกดังเช่นคดีนี้หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3401/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันคำพิพากษาฎีกา: ฟ้องซ้ำ-ที่ดินพิพาทเดิม ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
ปัญหาว่าคำพิพากษาในคดีก่อนผูกพันคู่ความในคดีนี้หรือไม่จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้และยกขึ้นเป็นประเด็นในชั้นอุทธรณ์ โดยกล่าวไว้ในคำแก้อุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยให้ จึงเป็นกรณีปรากฏเหตุที่ศาลอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1)ว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวได้โดยไม่ต้องส่งสำนวนคืนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษา คดีก่อนโจทก์จำเลยพิพาทกันเฉพาะที่งอกริมตลิ่งของที่ดินโฉนดที่ 384 ศาลฎีกาพิพากษาคดีดังกล่าวว่านายชิตขายที่ดินให้โจทก์เฉพาะตามโฉนด ไม่ได้ขายที่พิพาทอันเป็นที่งอกให้แก่โจทก์ด้วย การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อ้างว่าเพิ่งทราบว่านายชิตมอบที่ดินให้ไม่ครบตามโฉนดจึงขอให้จำเลยสั่งมอบที่ดินให้ครบตามโฉนด แต่ในเนื้อหาของคำฟ้องยังบรรยายว่าหากมีที่งอกริมตลิ่งหน้าที่ดินโฉนดที่ 384 ก็ย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์เมื่อนายชิตขายที่ดินนี้ให้โจทก์ก็มิได้สงวนสิทธิในที่งอกนั้นที่งอกจึงรวมอยู่ในที่ดินที่ซื้อขายด้วยขอให้บังคับจำเลยรื้อบ้านออกไปจากที่งอก แผนที่สังเขปท้ายฟ้องคดีนี้กับท้ายฟ้องคดีก่อนก็เหมือนกัน แสดงว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้เพื่อขอให้บังคับจำเลยส่งมอบที่พิพาทอันเป็นที่งอกที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยชี้ขาดไว้แล้วนั้นแก่โจทก์อีกเช่นนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคแรกให้ถือว่าคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวผูกพันโจทก์จำเลย โจทก์จะกล่าวอ้างเป็นอย่างอื่นอีกดังเช่นคดีนี้หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3347/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร ข่มขืน กระทำชำเรา และหน่วงเหนี่ยวกักขัง จำเลยที่ 3 สนับสนุนความผิด
พรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร ข่มขืนกระทำชำเราแล้วหน่วงเหนี่ยวกักขังไว้เป็นความผิด 3 กระทง
จำเลยที่ 1 นัดหมายจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไว้จำเลยที่ 3 ออกมาจากพุ่มไม้ข้างทางกับจำเลยที่ 2 ตามหลังจำเลยที่ 1 ซึ่งกลับจากปัสสาวะ และจำเลยที่ 3 ก็ตรงไปเอารถจักรยานอันเป็นพาหนะของจำเลยที่ 1 และผู้เสียหายไป แล้วจำเลยที่ 1 กับที่ 2 ก็เข้าใช้กำลังประทุษร้ายพรากผู้เสียหายไป เช่นนี้ เป็นการให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 และที่ 2กระทำความผิด จำเลยที่ 3 จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86,318

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3347/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร ข่มขืน และหน่วงเหนี่ยวกักขัง จำเลยที่ 3 สนับสนุนความผิด
พรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร ข่มขืนกระทำชำเราแล้วหน่วงเหนี่ยวกักขังไว้เป็นความผิด 3 กระทง
จำเลยที่ 1 นัดหมายจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไว้จำเลยที่ 3 ออกมาจากพุ่มไม้ข้างทางกับจำเลยที่ 2 ตามหลังจำเลยที่ 1 ซึ่งกลับจากปัสสาวะ และจำเลยที่ 3 ก็ตรงไปเอารถจักรยานอันเป็นพาหนะของจำเลยที่ 1 และผู้เสียหายไป แล้วจำเลยที่ 1 กับที่ 2 ก็เข้าใช้กำลังประทุษร้ายพรากผู้เสียหายไป เช่นนี้ เป็นการให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิด จำเลยที่ 3 จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86, 318

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3290/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาใหม่: ศาลต้องพิจารณาเฉพาะเหตุขาดนัดและข้อคัดค้านคำตัดสิน ไม่จำเป็นต้องไต่สวนประเด็นทางชนะคดี
ในการที่ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอให้พิจารณาใหม่หรือไม่นั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 209วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลไต่สวนพิจารณาเพียงเหตุเดียวคือมีเหตุสมควร เชื่อว่าคู่ความฝ่ายที่ขาดนัดนั้นมาศาลไม่ได้หรือไม่เท่านั้น จึงไม่ชอบที่จะต้องทำการไต่สวนว่าคดีของคู่ความฝ่ายที่ขาดนัดมีทางชนะคดีอีกฝ่ายหนึ่งหรือไม่
คำพิพากษาศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่ 2 ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ คำพิพากษาดังกล่าวจึงมีผลเพียงว่าโจทก์ที่ 2 ได้ซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์ที่ 1 โดยเสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนสิทธิต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วเท่านั้นไม่มีผลเลยไปถึงว่าโจทก์ที่ 2 ได้รับความคุ้มครองตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง ดังนั้นเมื่อจำเลยขอให้พิจารณาใหม่โดยอ้างว่าจำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์แล้ว เพราะไม่เคยเช่าหรืออาศัยโจทก์ ซึ่งหากฟังได้ดังข้ออ้างจำเลยย่อมมีทางชนะคดีได้ คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยจึงกล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นแล้ว ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3290/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาใหม่: ศาลต้องพิจารณาเฉพาะเหตุขาดนัดเท่านั้น การอ้างเหตุมีทางชนะคดีไม่จำเป็น
ในการที่ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอให้พิจารณาใหม่หรือไม่นั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 209 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลไต่สวนพิจารณาเพียงเหตุเดียวคือ มีเหตุสมควรเชื่อว่าคู่ความฝ่ายที่ขาดนัดนั้นมาศาลไม่ได้หรือไม่เท่านั้น จึงไม่ชอบที่จะต้องทำการไต่สวนว่าคดีของคู่ความฝ่ายที่ขาดนัดมีทางชนะคดีอีกฝ่ายหนึ่งหรือไม่
คำพิพากษาศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่ 2 ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ คำพิพากษาดังกล่าวจึงมีผลเพียงว่าโจทก์ที่ 2 ได้ซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์ที่ 1 โดยเสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนสิทธิต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วเท่านั้นไม่มีผลเลยไปถึงว่าโจทก์ที่ 2 ได้รับความคุ้มครองตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง ดังนั้นเมื่อจำเลยขอให้พิจารณาใหม่โดยอ้างว่าจำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์แล้ว เพราะไม่เคยเช่าหรืออาศัยโจทก์ ซึ่งหากฟังได้ดังข้ออ้างจำเลยย่อมมีทางชนะคดีได้ คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยจึงกล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นแล้ว ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 208 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3161/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่ส่งคืนทรัพย์สินเช่าเมื่อสัญญาเลิก และความรับผิดของผู้เช่าแม้จะให้ผู้อื่นครอบครอง
เมื่อสัญญาเช่าได้เลิกหรือระงับลง จำเลยผู้เช่ามีหน้าที่ต้องส่งคืนทรัพย์สินที่เช่าให้แก่ผู้ให้เช่า เมื่อจำเลยยังมิได้ส่งมอบตึกแถวพิพาทแก่โจทก์ ทั้งยังได้ความว่าจำเลยให้บุคคลอื่นเข้ามาอยู่แทนจำเลย จำเลยจึงไม่มีทางพ้นความรับผิด โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยได้โดยหาจำต้องไปฟ้องผู้อื่นซึ่งอยู่ในตึกแถวพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3080/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาแลกเช็คไม่ใช่การให้กู้ยืมเงิน การหักดอกเบี้ยล่วงหน้าจึงไม่ผิดตาม พ.ร.บ.เรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา
สัญญาแลกเช็คเป็นเงินสดหรือขายลดเช็คนั้นเป็นสัญญาอีกอย่างหนึ่งต่างหากจากการให้กู้ยืมเงินตามความหมายของพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 การที่โจทก์หักดอกเบี้ยไว้ล่วงหน้า15 บาท จ่ายต้นเงินให้เพียง 85 บาท จึงมิใช่กรณีเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราอันจะเป็นความผิดตามกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3028/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คนต่างด้าวได้ที่ดินโดยไม่ชอบตามกฎหมาย ยังมีสิทธิได้รับผลประโยชน์ตามเงื่อนไขที่กำหนด
จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความยกที่ดินให้โจทก์ซึ่งเป็นคนต่างด้าวศาลพิพากษาตามยอม แม้โจทก์จะถือหรือใช้สิทธิในที่ดินที่ได้มาอย่างเจ้าของกรรมสิทธิ์ไม่ได้ และต้องจำหน่ายที่ดินนั้นไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 94 ก็ตาม โจทก์ก็ยังมีสิทธิได้รับผลตามมาตรา 94 อยู่คำพิพากษาตามยอมจึงหาฝ่าฝืนหรือขัดต่อมาตรา 86 ไม่
of 27