คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อำนวย อินทุภูติ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,256 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1483-1487/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คูขวางเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้ตื้นเขินขึ้นก็ยังคงสภาพเดิม โจทก์ไม่มีสิทธิในที่ดิน
คูขวางเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน แม้จะตื้นเขินขึ้นตามธรรมชาติก็ตาม เมื่อทางราชการยังมิได้ตราพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 8 วรรค 2 (1) แล้ว คูขวางย่อมยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์จะเข้าครอบครองนานกี่ปีก็หาได้กรรมสิทธิ์ไม่จะโอนแก่กันมิได้ และจะยกอายุความขึ้นต่อสู้แผ่นดินก็มิได้เช่นกัน เพราะตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1305, 1306 ดังนั้นแม้โจทก์จะมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่พิพาท (คูขวาง) ก็ตาม เอกสารดังกล่าวก็หามีผลผูกพันทางราชการไม่
แม้จะเคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีระหว่างโจทก์กับ จ.วินิจฉัยว่าที่พิพาท (คูขวาง) เป็นของโจทก์และไม่ใช่ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินก็ตามคำพิพากษาดังกล่าวย่อมไม่ผูกพันจำเลยในคดีนี้ เนื่องจากจำเลยในคดีนี้มิได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าว และคดีดังกล่าวพิพาทกันระหว่างเอกชน มิได้พิพาทกันระหว่างเอกชนกับเทศบาล ซึ่งมีหน้าที่ดูแลสาธารณสมบัติของแผ่นดินในเขตเทศบาลโดยตรง
ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 8 วรรคแรก บัญญัติว่า "บรรดา ที่ดินทั้งหลายอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินนั้น ถ้าไม่มีกฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ให้อธิบดีมีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษา และดำเนินการคุ้มครองป้องกันได้ ตามควรแก่กรณี อำนาจหน้าที่ดังว่านี้ รัฐมนตรีจะมอบหมายให้ทบวงการเมืองอื่นเป็นผู้ใช้ก็ได้" ดังนั้นเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มอบหมายให้เทศบาลมีอำนาจดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินในเขตเทศบาลจำเลยที่ 1 และจำเลย ที่ 2 ในฐานะที่ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีย่อมมีอำนาจคัดค้านการขายที่พิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 665/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: การแก้ไขบทกฎหมายโดยศาลอุทธรณ์ และการฎีกาที่ไม่ชัดเจน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 266 จำคุก 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ส่วนกำหนดโทษคงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์แก้ไขเฉพาะการปรับบทกฎหมายในการลงโทษโดยมิได้แก้ไขโทษ เป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยลงลายมือชื่อแทน ด. โดยได้รับมอบหมายด้วยวาจา การกระทำของจำเลยไม่ทำให้ ด. เสียหายหรือในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน จำเลยไม่มีเจตนาปลอมเอกสาร และหากฟังว่าจำเลยกระทำผิด ก็ขอให้รอการลงโทษ ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว
ที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์ไม่ชัดเจนเคลือบคลุม ทำให้จำเลยหลงต่อสู้คดี แต่จำเลยมิได้ยกเหตุผลขึ้นอ้างอิง ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมตอนใด เหตุใดจึงทำให้จำเลยหลงต่อสู้ เป็นฎีกาที่ไม่ชัดเจน ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบด้วย มาตรา225 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 665/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม – แก้ไขบทกฎหมาย – ปัญหาข้อเท็จจริง – ฟ้องไม่ชัดเจน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 266 จำคุก 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ส่วนกำหนดโทษคงเป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์แก้ไขเฉพาะการปรับ บทกฎหมายในการลงโทษโดยมิได้แก้ไขโทษ เป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่จำเลย ฎีกาว่า จำเลยลงลายมือชื่อแทน ด. โดยได้รับมอบหมายด้วยวาจาการกระทำของจำเลยไม่ทำให้ ด. เสียหายหรือในประการที่น่าจะเกิด ความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนจำเลยไม่มีเจตนาปลอมเอกสาร และหากฟังว่าจำเลยกระทำผิด ก็ขอให้รอการลงโทษล้วนเป็นฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้นจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์ไม่ชัดเจนเคลือบคลุม ทำให้จำเลยหลงต่อสู้คดีแต่จำเลยมิได้ยกเหตุผลขึ้นอ้างอิงว่าฟ้องโจทก์ เคลือบคลุมตอนใดเหตุใดจึงทำให้จำเลยหลงต่อสู้เป็นฎีกาที่ไม่ชัดเจน ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบด้วย มาตรา225 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 536/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำชำเราเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี และประเด็นการพรากผู้เยาว์: การพิจารณาความยินยอมและเจตนา
จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายอายุ 11 ปีเศษ โดยผู้เสียหายยินยอมแม้จำเลยอายุ 20 ปี ก็สมควรลดมาตราส่วนโทษให้ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ผู้เสียหายอายุ 11 ปีเศษ และจำเลยชวนกันไปเที่ยวโดยป้าของผู้เสียหายอนุญาตแล้วได้พากันไปค้างที่บ้านจำเลย ก่อนที่ผู้เสียหายจะนอนค้างนั้น จำเลยได้บอกให้ผู้เสียหายกลับบ้านแล้วแต่ผู้เสียหายไม่กลับ ดังนี้ จำเลยไม่ได้พรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดา จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 526/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจการถอนฟ้องและการยื่นคำร้องต่อศาล ต้องกระทำโดยคู่ความหรือผู้มีอำนาจตามกฎหมาย
การยื่นคำร้องเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(7) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ซึ่งจะต้องกระทำโดยคู่ความในคดี บุคคลอื่นที่มิใช่คู่ความในคดีจะกระทำแทนได้ก็เฉพาะแต่กรณีที่มีใบมอบฉันทะจากตัวความหรือทนายความเท่านั้นและคำร้องขอถอนฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฏว่ามีการมอบฉันทะให้ผู้อื่นนำมายื่นแทนโจทก์แต่อย่างใด แต่เมื่อคำร้องขอถอนฟ้องมีลายมือชื่อของทนายโจทก์ซึ่งมีอำนาจถอนฟ้องได้ตามใบแต่งทนายความและไม่ปรากฏว่าคำร้องนั้นได้ยื่นเข้ามาโดยบุคคลผู้ไม่มีอำนาจทั้งจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วโดยไม่มีข้อคัดค้าน การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง และมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจึงเป็นการชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 519/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟ้องแย้งในคดีขับไล่: ศาลอุทธรณ์นำข้อเท็จจริงใหม่มาพิจารณาไม่ได้ หากศาลชั้นต้นไม่รับฟ้องแย้ง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของทรัพย์พิพาทโดยห้างหุ้นส่วนจำกัด ว.โอนชำระหนี้จำนองแก่โจทก์ จำเลยอาศัยอยู่ในทรัพย์พิพาทโดยไม่มีสัญญาเช่ากับเจ้าของเดิม โจทก์แจ้งให้จำเลยและบริวารออกไปจากทรัพย์พิพาทของโจทก์แล้ว จำเลยเพิกเฉยขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร กับให้ใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยได้ซื้อทรัพย์พิพาทจากห้างหุ้นส่วนจำกัด ว.และได้ครอบครองทรัพย์พิพาทตามสัญญาโดยไม่ต้องเสียค่าเช่ามาก่อนที่โจทก์จะได้รับโอนทรัพย์พิพาทเป็นการชำระหนี้จำนองจากห้างหุ้นส่วนจำกัด ว.จำเลยจึงมีสิทธิในทรัพย์พิพาทดีกว่าโจทก์ เพราะจำเลยมีสัญญาซื้อขายกับเจ้าของเดิม ฟ้องแย้งของจำเลยดังกล่าวจึงเกี่ยวกับคำฟ้องเดิม
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องแย้งไว้พิจารณาอ้างว่าฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ก็ถือว่าไม่มีประเด็นแห่งคดีเกี่ยวกับฟ้องแย้ง ในอันที่ศาลชั้นต้นจะพิจารณาพิพากษา เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องแย้งเกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ก็ชอบที่จะต้องพิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้งของจำเลยแล้วดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ต่อไป การที่ศาลอุทธรณ์กลับวินิจฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นแห่งคดีเกี่ยวกับฟ้องแย้งศาลอุทธรณ์จึงนำข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว และที่ศาลชั้นต้นไม่รับไว้พิจารณามาพิพากษายกฟ้องแย้งไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 519/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟ้องแย้งที่เกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิม ศาลอุทธรณ์มิอาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากัน
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของทรัพย์พิพาทโดยห้างหุ้นส่วนจำกัด ว. โอนชำระหนี้จำนองแก่โจทก์ จำเลยอาศัยอยู่ในทรัพย์พิพาทโดยไม่มีสัญญาเช่ากับเจ้าของเดิมโจทก์แจ้งให้จำเลยและบริวารออกไปจากทรัพย์พิพาทของโจทก์แล้ว จำเลยเพิกเฉยขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร กับให้ใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยได้ซื้อทรัพย์พิพาทจากห้างหุ้นส่วนจำกัด ว. และได้ครอบครองทรัพย์พิพาทตามสัญญาโดยไม่ต้องเสียค่าเช่ามาก่อนที่โจทก์จะได้รับโอนทรัพย์พิพาทเป็นการชำระหนี้จำนองจากห้างหุ้นส่วนจำกัด ว.จำเลยจึงมีสิทธิในทรัพย์พิพาทดีกว่าโจทก์ เพราะจำเลยมีสัญญาซื้อขายกับเจ้าของเดิม ฟ้องแย้งของจำเลยดังกล่าวจึงเกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องแย้งไว้พิจารณาอ้างว่าฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ก็ถือว่าไม่มีประเด็นแห่งคดีเกี่ยวกับฟ้องแย้ง ในอันที่ศาลชั้นต้นจะพิจารณาพิพากษาเมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องแย้งเกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ก็ชอบที่จะต้องพิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้งของจำเลยแล้วดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ต่อไป การที่ศาลอุทธรณ์กลับวินิจฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นแห่งคดีเกี่ยวกับฟ้องแย้ง ศาลอุทธรณ์จึงนำข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว และที่ศาลชั้นต้นไม่รับไว้พิจารณามาพิพากษายกฟ้องแย้งไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 493/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนกระทำชำเราในครอบครัว ไม่ถือว่ากระทำต่อหน้าธารกำนัล ความผิดอันยอมความได้
จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายขณะที่ผู้เสียหายนอนอยู่กับบุตร 2 คน ไม่ปรากฏว่าบุตรของผู้เสียหายคนใดเห็นการกระทำของจำเลย ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดต่อหน้าธารกำนัล การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก จึงเป็นความผิดอันยอมความได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 281

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 452/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อจะขาย: ศาลไม่อาจบังคับสัญญาต่างตอบแทน หากคำขอให้บังคับสัญญาถูกยก การชำระหนี้จึงเป็นสิทธิเรียกร้องใหม่
มูลกรณีเดิมโจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินตาม ส.ค.1 พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองของโจทก์ ให้จำเลยดำเนินการรังวัดออกโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โอนให้โจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้อง และให้จำเลยรับชำระเงินที่ดินที่ค้างชำระอีก 14,800 บาทไปจากโจทก์ในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำเลยให้การต่อสู้คดี ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้อง ให้ยกคำขออื่นนอกจากนี้จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยดำเนินการออกโฉนดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่โจทก์ โดยให้จำเลยรับชำระราคาที่ดิน 14,800 บาทจากโจทก์ในวันจดทะเบียน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกาศาลฎีกาพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ คำขอของโจทก์ที่ขอให้บังคับจำเลยดำเนินการออกโฉนดและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่โจทก์นั้นเป็นการขอบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งเป็นสัญญาต่างตอบแทน หากศาลพิพากษาบังคับให้ตามที่โจทก์ขอ โจทก์ก็มีหน้าที่จะต้องชำระค่าที่พิพาท ซึ่งยังค้างชำระอีก 14,800 บาท แก่จำเลย แต่เมื่อศาลฎีกาพิพากษายกคำขอของโจทก์ในข้อนี้เสียแล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลบังคับโจทก์ชำระเงินค่าที่พิพาทที่เหลือโดยจำเลยมิได้ถูกบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายได้ เป็นเรื่องที่จำเลยจะไปฟ้องเรียกเอาจากโจทก์เป็นคดีใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 414/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าต้องดูจากการกระทำต่อเนื่อง การฟันครั้งเดียวไม่ถือเป็นเจตนาฆ่า ศาลลงโทษฐานพยายามทำร้ายได้
จำเลยใช้ขวานฟันศีรษะผู้เสียหายเพียงครั้งเดียว ผู้เสียหายหลบทันจำเลยจึงฟันไม่ถูก จำเลยไม่ได้ฟันผู้เสียหายอีกทั้ง ๆ ที่มีโอกาสติดตามฟันซ้ำได้ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดเพียงฐานพยายามทำร้าย ศาลลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
of 126