คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สำเนียง ด้วงมหาสอน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 561 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3623/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ที่ผิดระเบียบเนื่องจากไม่ครบองค์ประชุมและกระบวนการแจ้งไม่ถูกต้อง
หนังสือเชิญผู้ถือหุ้นมาประชุมก็คือคำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1175 ถ้าแจ้งคำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ไปให้ผู้ถือหุ้นทราบล่วงหน้าก่อนวันนัดประชุมน้อยกว่าเจ็ดวัน กรรมการหรือผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดมีอำนาจร้องขอให้ศาลเพิกถอนมติประชุมใหญ่อันผิดระเบียบนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1195 ผู้ที่ได้รับอนุมัติให้เป็นผู้ถือหุ้นจากมติที่ประชุมใหญ่คราวที่ผิดระเบียบอันจะต้องเพิกถอน ไม่ถือว่าเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท ไม่มีสิทธิเข้าร่วมการประชุมใหญ่ของบริษัท มติของผู้ถือหุ้นที่เข้าร่วมประชุมใหญ่ของบริษัท หากไม่ครบองค์ประชุมตามข้อบังคับของบริษัท มติของที่ประชุมใหญ่นั้นไม่มีผลตามกฎหมายและถือได้ว่าเป็นมติของที่ประชุมใหญ่ อันผิดระเบียบซึ่งผู้ถือหุ้นคนใดคนหนึ่งร้องขอให้ศาลเพิกถอนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1195

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3591/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในคดีที่ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง และคดีมีทุนทรัพย์น้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โดยฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ และฟังไม่ได้ว่าจำเลยทำให้เสียทรัพย์ตามฟ้อง โจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 คดีส่วนแพ่ง โจทก์เรียกร้องให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายรวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 32,600 บาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 50,000 บาทต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ทั้งไม่ปรากฏข้อกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างอิงในฎีกาโดยแจ้งชัดแต่อย่างใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยมาตรา 249

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3439/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลื่อนสืบพยานซ้ำๆ และความสำคัญของวันนัด ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วให้สืบพยานต่อ
โจทก์นำพยานคือตัวโจทก์มาสืบ แล้วศาลอนุญาตให้เลื่อน ไปสืบพยานโจทก์ให้จำเลยถามค้านในวันที่ 24 มกราคม ถึง วันนัด ทนายโจทก์มาศาลและติดต่อตัวโจทก์ ได้รับแจ้งว่าตัวโจทก์จดวันนัดเป็นวันที่ 25 ทนายโจทก์แถลงให้ศาลทราบถึงเหตุที่พยานมิได้มาศาลและขอเลื่อน ส่วนตัวโจทก์ได้รีบมาศาลภายหลังที่ศาลสั่งงดสืบพยานโจทก์เพียงเล็กน้อย และยื่นคำแถลงให้ทราบถึงเหตุที่มิได้มาทันทีแสดงว่าเกิดจากความผิดพลาด การที่โจทก์มิได้นำพยานอื่นมาด้วย คงเนื่องจากต้องให้จำเลยถามค้านตัวโจทก์ให้เสร็จเสียก่อน ทั้งปรากฏตามบัญชีระบุพยานโจทก์นอกจากตัวโจทก์แล้วเป็นพยานหมายทั้งหมด ดังนี้ สมควรให้โอกาสโจทก์สืบพยานต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3391/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหมิ่นประมาทโดยเจตนาไม่สุจริต และการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 จำคุก 15 วันและปรับ1,000 บาท โทษจำคุกรอไว้ 1 ปี จำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ปัญหาว่าจำเลยทำคำร้องโดยสุจริตหรือไม่ จำเลยขาด เจตนากระทำผิดหรือไม่ และจำเลยสำคัญผิดในข้อเท็จจริง หรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3380/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาต้องได้รับอนุญาตจากผู้พิพากษา หากไม่มี จะฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ แม้ศาลอุทธรณ์จะแก้ไขคำพิพากษาเพียงเล็กน้อย
ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาเกี่ยวกับผู้เสียหายบางคนและแก้จำนวนเงินที่ให้จำเลยใช้คืน แต่ข้อหาเกี่ยวกับผู้เสียหายที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง เป็นกรรมเดียวกับข้อหาของผู้เสียหายอื่น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย และศาลอุทธรณ์ ยังคง พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเท่าเดิมจึงเป็นการแก้ไข เล็กน้อย เมื่อไม่มีคำอนุญาตของผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาหรือลงชื่อ ในคำพิพากษาให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจำเลยจะฎีกาใน ปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3380/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหลังศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาเล็กน้อยและการปฏิบัติตามมาตรา 218
ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาเกี่ยวกับผู้เสียหายบางคนและแก้จำนวนเงินที่ให้จำเลยใช้ คืน แต่ข้อหาเกี่ยวกับผู้เสียหายที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง เป็นกรรมเดียวกับข้อหาของผู้เสียหายอื่น ที่ศาลล่าง ทั้งสองพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย และศาลอุทธรณ์ ยังคง พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเท่าเดิมจึงเป็นการแก้ไข เล็กน้อย เมื่อไม่มีคำอนุญาตของผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาหรือลงชื่อ ในคำพิพากษาให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยจะฎีกาใน ปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3354/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกล้างสัญญาประกันชีวิตจากเหตุปกปิดข้อความจริงด้านสุขภาพของผู้เอาประกัน และหน้าที่ของผู้รับประกันภัย
โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันชีวิตฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามกรมธรรม์ จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าสัญญาประกันชีวิตรายพิพาทเป็นแบบประหยัดไม่ต้องให้แพทย์ตรวจสุขภาพของผู้เอาประกันชีวิตก่อน และ พ.ผู้เอาประกันภัย (ผู้ตาย) ได้ปกปิดข้อความจริงเกี่ยวกับสุขภาพว่าตนมีสุขภาพสมบูรณ์ที่ไม่เคยเจ็บป่วยหรือได้รับการรักษาพยาบาลด้วยโรคใด ๆ ก่อนขอทำประกัน การที่ พ. ได้ปกปิดข้อความจริงเกี่ยวกับสุขภาพทำให้สัญญาประกันชีวิตตกเป็นโมฆียะและจำเลยได้บอกล้างสัญญาประกันชีวิตนี้แล้วจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ประเด็นแห่งคดีจึงมีว่า พ. ผู้เอาประกันภัยได้ปกปิดข้อความจริงเกี่ยวกับสุขภาพของตนอันจะเป็นเหตุให้สัญญาตกเป็นโมฆียะและจำเลยมีสิทธิบอกล้างได้หรือไม่และจำเลยได้บอกล้างแล้วหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงจะต้องฟังจาการนำสืบของคู่ควมการที่ผู้รับประกันภัยไม่ตรวจสุขภาพของผู้เอาประกันภัยในขณะทำสัญญาประกันภัย จะถือว่าผู้รับประกันภัยไม่ใช้ความระมัดระวังดังเช่นที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 866 เสมอไปหาได้ไม่ กรณีจะต้องด้วยบทกฎหมายดังกล่าวหรือไม่ย่อมอาศัยข้อเท็จจริงในคดีเป็นหลักวินิจฉัย ศาลชั้นต้นจึงยังไม่สมควรที่จะสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยโดยอ้างว่าจำเลยประมาทเลินเล่อไม่ตรวจสุขภาพของผู้เอาประกันภัยในขณะทำสัญญาประกันภัยสัญญาประกันชีวิตที่โจทก์ฟ้องจึงสมบูรณ์แล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีโดยยังมิได้ฟังข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสดความก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3354/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกล้างสัญญาประกันชีวิตเนื่องจากปกปิดข้อความจริงเกี่ยวกับสุขภาพ และการพิสูจน์ข้อเท็จจริงเพื่อประกอบการวินิจฉัย
โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันชีวิตฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามกรมธรรม์ จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าสัญญาประกันชีวิตรายพิพาทเป็นแบบประหยัดไม่ต้องให้แพทย์ตรวจสุขภาพของผู้เอาประกันชีวิตก่อนและ พ. ผู้เอาประกันภัย(ผู้ตาย) ได้ปกปิดข้อความจริงเกี่ยวกับสุขภาพว่าตนมีสุขภาพสมบูรณ์ไม่เคยเจ็บป่วยหรือได้รับการรักษาพยาบาลด้วยโรคใดๆก่อนขอทำประกันการที่ พ. ได้ปกปิดข้อความจริงเกี่ยวกับสุขภาพทำให้สัญญาประกันชีวิตตกเป็นโมฆียะและจำเลยได้บอกล้างสัญญาประกันชีวิตนี้แล้วจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ประเด็นแห่งคดีจึงมีว่า พ. ผู้เอาประกันภัยได้ปกปิดข้อความจริงเกี่ยวกับสุขภาพของตนอันจะเป็นเหตุให้สัญญาตกเป็นโมฆียะและจำเลยมีสิทธิบอกล้างได้หรือไม่และจำเลยได้บอกล้างแล้วหรือไม่ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงจะต้องฟังจากการนำสืบของคู่ความการที่ผู้รับประกันภัยไม่ตรวจสุขภาพของผู้เอาประกันภัยในขณะทำสัญญาประกันภัยจะถือว่าผู้รับประกันภัยไม่ใช้ความระมัดระวังดังเช่นที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 866 เสมอไปหาได้ไม่กรณีจะต้องด้วยบทกฎหมายดังกล่าวหรือไม่ย่อมอาศัยข้อเท็จจริงในคดีเป็นหลักวินิจฉัยศาลชั้นต้นจึงยังไม่สมควรที่จะสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยโดยอ้างว่าจำเลยประมาทเลินเล่อไม่ตรวจสุขภาพของผู้เอาประกันภัยในขณะทำสัญญาประกันภัยสัญญาประกันชีวิตที่โจทก์ฟ้องจึงสมบูรณ์แล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีโดยยังมิได้ฟังข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสความก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3332/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขายทอดตลาดติดจำนอง: สิทธิของผู้ซื้อและภาระการตรวจสอบหนี้จำนอง
เมื่อมีการบังคับคดีขายทอดตลาดอสังหาริมทรัพย์ซึ่งติดจำนองไม่มีบทบัญญัติบังคับผู้รับจำนองให้จำต้องแสดงหลักฐานการเป็นหนี้หรือยอดหนี้ของผู้จำนองต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือต่อศาล เมื่อผู้รับจำนองไม่ประสงค์จะใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 ซึ่งให้สิทธิแก่ผู้รับจำนองที่จะยื่นคำร้องขอก่อนเอาทรัพย์สินนั้นออกขายทอดตลาดในกรณีที่จะขอให้เอาเงินจากการขายทอดตลาดชำระ แก่ผู้รับจำนองก่อนหรือจะเอาทรัพย์จำนองหลุด สิทธิของผู้รับจำนองหาได้ระงับไปไม่ เพราะสัญญาจำนองจะระงับสิ้น ไป ก็เฉพาะกรณีที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 744เท่านั้น จำนองเป็นทรัพย์สิทธิติดไปกับตัวทรัพย์เสมอ แม้ประกาศของเจ้าพนักงานบังคับคดีจะระบุว่าไม่มียอดหนี้จำนองก็ หมายความเพียงเจ้าหนี้จำนองมิได้แจ้งยอดหนี้มาให้ทราบมิใช่เป็นการปลอดหนี้จำนอง เมื่อประกาศขายทอดตลาดของ เจ้าพนักงานบังคับคดีมีเงื่อนไขในการขายว่าไม่รับรองและ ไม่รับผิดในการรอนสิทธิ จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ผู้ซื้อจะต้องระวังและสอบสวนถึงจำนวนหนี้จำนอง การละเลยจึงเป็น การเสี่ยงต่อความเสียหายของโจทก์เอง โจทก์ผู้รับโอนที่ดินซึ่งติดจำนองอยู่กับจำเลย ย่อมมีสิทธิที่จะปลดเปลื้องภาระจำนองโดยการไถ่ถอนจำนองตามบทบัญญัติ ลักษณะ 12 หมวด 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3332/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อที่ดินจากการบังคับคดีติดจำนอง: ผู้ซื้อต้องตรวจสอบหนี้จำนองเอง และมีสิทธิไถ่ถอนได้
เมื่อมีการบังคับคดีขายทอดตลาดอสังหาริมทรัพย์ซึ่งติดจำนอง ไม่มีบทบัญญัติบังคับผู้รับจำนองให้จำต้องแสดงหลักฐานการเป็นหนี้หรือยอดหนี้ของผู้จำนองต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือต่อศาล เมื่อผู้รับจำนองไม่ประสงค์จะใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 ซึ่งให้สิทธิแก่ผู้รับจำนองที่จะยื่นคำร้องขอก่อนเอาทรัพย์สินนั้นออกขายทอดตลาดในกรณีที่จะขอให้เอาเงินจากการขายทอดตลาดชำระ แก่ผู้รับจำนองก่อนหรือจะเอาทรัพย์จำนองหลุด สิทธิของผู้รับจำนองหาได้ระงับไปไม่ เพราะสัญญาจำนองจะระงับสิ้น ไปก็เฉพาะกรณีที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 744 เท่านั้น
จำนองเป็นทรัพย์สิทธิติดไปกับตัวทรัพย์เสมอ แม้ประกาศของเจ้าพนักงานบังคับคดีจะระบุว่าไม่มียอดหนี้จำนอง ก็หมายความเพียงเจ้าหนี้จำนองมิได้แจ้งยอดหนี้มาให้ทราบ มิใช่เป็นการปลอดหนี้จำนอง เมื่อประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีมีเงื่อนไขในการขายว่าไม่รับรองและไม่รับผิดในการรอนสิทธิ จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ผู้ซื้อจะต้องระวังและสอบสวนถึงจำนวนหนี้จำนอง การละเลยจึงเป็นการเสี่ยงต่อความเสียหายของโจทก์เอง
โจทก์ผู้รับโอนที่ดินซึ่งติดจำนองอยู่กับจำเลย ย่อมมีสิทธิที่จะปลดเปลื้องภาระจำนองโดยการไถ่ถอนจำนองตามบทบัญญัติลักษณะ 12 หมวด 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
of 57