พบผลลัพธ์ทั้งหมด 561 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3083/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็ค: ผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดต่อผู้ทรง แม้มีข้อพิพาทกับผู้ทรงคนก่อน หากไม่มีเจตนาฉ้อฉล
จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท ย่อมจะต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 914ประกอบกับมาตรา 989 จำเลยจะต่อสู้โจทก์ด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะระหว่างตนกับผู้ทรงคนก่อนๆ นั้นหาได้ไม่เว้นแต่การโอนจะได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล
แม้จะฟังว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้ ช. เกี่ยวกับหนี้การพนัน แต่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงก็ไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องด้วย และฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทมาโดยคบคิดกับ ช. เพื่อฉ้อฉลจำเลย ดังนี้ ย่อมไม่มีทางที่จำเลยจะปฏิเสธความรับผิดต่อโจทก์
การคำนวณนับระยะเวลาในการคิดดอกเบี้ยนั้นอยู่ในบังคับของหลักทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 158 ซึ่งห้ามมิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลารวมคำนวณเข้าด้วย ย่อมจะเริ่มนับหนึ่งในวันรุ่งขึ้น โดยไม่นับวันฟ้องรวมคำนวณเข้าด้วยอยู่แล้ว จึงใช้ว่านับแต่วันฟ้อง ไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำว่า ให้คิดดอกเบี้ยนับแต่วันถัดจากวันฟ้อง
แม้จะฟังว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้ ช. เกี่ยวกับหนี้การพนัน แต่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงก็ไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องด้วย และฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทมาโดยคบคิดกับ ช. เพื่อฉ้อฉลจำเลย ดังนี้ ย่อมไม่มีทางที่จำเลยจะปฏิเสธความรับผิดต่อโจทก์
การคำนวณนับระยะเวลาในการคิดดอกเบี้ยนั้นอยู่ในบังคับของหลักทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 158 ซึ่งห้ามมิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลารวมคำนวณเข้าด้วย ย่อมจะเริ่มนับหนึ่งในวันรุ่งขึ้น โดยไม่นับวันฟ้องรวมคำนวณเข้าด้วยอยู่แล้ว จึงใช้ว่านับแต่วันฟ้อง ไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำว่า ให้คิดดอกเบี้ยนับแต่วันถัดจากวันฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3083/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็ค: ผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดต่อผู้ทรง แม้มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้สั่งจ่ายกับผู้ทรงคนก่อน
จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท ย่อมจะต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 914ประกอบกับมาตรา 989 จำเลยจะต่อสู้โจทก์ด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะระหว่างตนกับผู้ทรงคนก่อนๆ นั้นหาได้ไม่เว้นแต่การโอนจะได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล
แม้จะฟังว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้ ช. เกี่ยวกับหนี้การพนัน แต่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงก็ไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องด้วย และฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทมาโดยคบคิดกับ ช. เพื่อฉ้อฉลจำเลย ดังนี้ ย่อมไม่มีทางที่จำเลยจะปฏิเสธความรับผิดต่อโจทก์
การคำนวณนับระยะเวลาในการคิดดอกเบี้ยนั้นอยู่ในบังคับของหลักทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 158 ซึ่งห้ามมิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลารวมคำนวณเข้าด้วย ย่อมจะเริ่มนับหนึ่งในวันรุ่งขึ้น โดยไม่นับวันฟ้องรวมคำนวณเข้าด้วยอยู่แล้ว จึงใช้ว่านับแต่วันฟ้อง ไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำว่า ให้คิดดอกเบี้ยนับแต่วันถัดจากวันฟ้อง
แม้จะฟังว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้ ช. เกี่ยวกับหนี้การพนัน แต่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงก็ไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องด้วย และฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทมาโดยคบคิดกับ ช. เพื่อฉ้อฉลจำเลย ดังนี้ ย่อมไม่มีทางที่จำเลยจะปฏิเสธความรับผิดต่อโจทก์
การคำนวณนับระยะเวลาในการคิดดอกเบี้ยนั้นอยู่ในบังคับของหลักทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 158 ซึ่งห้ามมิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลารวมคำนวณเข้าด้วย ย่อมจะเริ่มนับหนึ่งในวันรุ่งขึ้น โดยไม่นับวันฟ้องรวมคำนวณเข้าด้วยอยู่แล้ว จึงใช้ว่านับแต่วันฟ้อง ไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำว่า ให้คิดดอกเบี้ยนับแต่วันถัดจากวันฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2978/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขัดทรัพย์: ภาระการพิสูจน์ตกแก่ผู้ขัดทรัพย์เมื่อฝ่ายตรงข้ามปฏิเสธ
การร้องขัดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา288 ผู้ร้องขัดทรัพย์มีฐานะเสมือนเป็นโจทก์ ส่วนโจทก์มีฐานะเสมือนเป็นจำเลย เมื่อผู้ร้องขัดทรัพย์กล่าวอ้างว่าทรัพย์ที่ยึดทั้งหมดเป็นของตน แต่โจทก์ให้การยืนยันว่าเป็นของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา เมื่อไม่มีข้อสันนิษฐานของกฎหมายอันเป็นคุณแก่ผู้ร้องขัดทรัพย์แล้วภาระการพิสูจน์ย่อมตกแก่ผู้ร้องขัดทรัพย์ที่จะต้องนำสืบให้สมข้อกล่าวอ้างนั้น เมื่อทั้งสองฝ่ายไม่สืบพยานผู้ร้องขัดทรัพย์จึงไม่อาจชนะคดีโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2969/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานใช้รถขนส่งที่ยังไม่เสียภาษี และขอบเขตความรับผิดของผู้ขับรถในฐานะลูกจ้าง
จำเลยเป็นเพียงลูกจ้างขับรถยนต์ ถือได้ว่าอยู่ในฐานะเป็น ผู้ประจำรถตามความในมาตรา 92(1) แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกพ.ศ.2522 จึงไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้ประกอบการขนส่งตามความหมายของมาตรา 23 แม้รถที่จำเลยขับจะมิได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการขนส่งจากนายทะเบียนจำเลยก็ไม่มีความผิด
ตามมาตรา 71 แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522รถที่ใช้ในการขนส่งต้องเป็นรถที่ได้มีการเสียภาษีตามมาตรา 85แล้ว หากผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกลงโทษตามมาตรา 148รถคันเกิดเหตุไม่ได้เสียภาษีรถประจำปี จำเลยเป็นผู้ขับและนำไปใช้ขณะเกิดเหตุการกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติ ตามบทกฎหมายดังกล่าวจึงเป็นความผิดตามมาตรา 148
ตามมาตรา 71 แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522รถที่ใช้ในการขนส่งต้องเป็นรถที่ได้มีการเสียภาษีตามมาตรา 85แล้ว หากผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกลงโทษตามมาตรา 148รถคันเกิดเหตุไม่ได้เสียภาษีรถประจำปี จำเลยเป็นผู้ขับและนำไปใช้ขณะเกิดเหตุการกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติ ตามบทกฎหมายดังกล่าวจึงเป็นความผิดตามมาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2967/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินป่าสงวน: ราษฎรแย่งสิทธิกันเองได้หรือไม่
แม้พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14จะบัญญัติว่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือหรือครอบครองที่ดิน ก็เป็นเพียงบทบัญญัติที่ใช้บังคับระหว่าง รัฐกับราษฎร ซึ่งเป็นผลให้ราษฎรที่เข้ายึดถือครอบครองที่ดินไม่ได้สิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายทั้งไม่อาจอ้างสิทธิใดๆ ใช้ยันรัฐได้ แต่ในระหว่างราษฎรด้วยกันผู้ที่ครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ก่อน ย่อมมีสิทธิที่จะไม่ถูกรบกวนโดยบุคคลอื่น ดังนั้น หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่นาพิพาทเป็นที่ดินป่าสงวนแห่งชาติและโจทก์เป็นฝ่ายครอบครองใช้ประโยชน์ในที่นาพิพาทอยู่ก่อนแล้วจำเลยเข้าไปแย่งการครอบครองอันเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนสิทธิของโจทก์และ เรียกค่าเสียหายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2954/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในทรัพย์สินของวัดร้าง: การยกฐานะวัดร้างเป็นวัดมีพระสงฆ์ทำให้วัดสืบทอดสิทธิเดิมได้
แม้จะยกฐานะวัดโจทก์จากวัดร้างข้นเป็นวันที่มีพระสงฆ์ในปี พ.ศ. 2518 ตามประกาศของกระทรวงศึกษาธิการก็ตาม แต่พระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มิได้บัญญัติถึงวัดร้าง ฉะนั้นวัดร้างจึงมิได้เสียสภาพจากการเป็นวัด เพราะยังมิได้มีการยุบเลิกวัดร้าง และยังมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและทรัพย์สินที่เป็นของวัดได้อยู่ โดยให้พนักงานฝ่ายพระราชอาณาจักรเป็นผู้ปกครองรักษาไว้แทน ต่อมาวัดโจทก์ได้รับการยกฐานะจากวัดร้างขั้นเป็นวัดที่มีพระสงฆ์ จึงมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 72 และเป็นผู้สืบทอดสิทธิต่าง ๆ ของวัดร้างนั้นมา จึงมีอำนาจเป็นโจทก์และมีสิทธิติดตามเอาคืน ซึ่งทรัพย์สินของวัดร้างนั้นจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336
จำเลยยกข้อต่อสู้ เรื่องการครอบครองปรปักษ์ไว้ในคำให้การ แต่เมื่อศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถาน มิได้กำหนดปัญหาดังกล่าวไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท โจทก์จำเลยมิได้โต้แย้งหรือคัดค้านแต่ประการใด จึงถือว่าคู่ความได้สละเกี่ยวกับปัญหาข้อนี้แล้ว ศาลจะหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยอีกไม่ได้ เพราะเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาทไม่ชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณา
จำเลยยกข้อต่อสู้ เรื่องการครอบครองปรปักษ์ไว้ในคำให้การ แต่เมื่อศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถาน มิได้กำหนดปัญหาดังกล่าวไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท โจทก์จำเลยมิได้โต้แย้งหรือคัดค้านแต่ประการใด จึงถือว่าคู่ความได้สละเกี่ยวกับปัญหาข้อนี้แล้ว ศาลจะหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยอีกไม่ได้ เพราะเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาทไม่ชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2954/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในทรัพย์สินของวัดร้าง: การยกฐานะวัดร้างเป็นวัดมีพระสงฆ์ทำให้สิทธิในทรัพย์สินยังคงอยู่และสืบทอดไปยังวัดใหม่
แม้จะยกฐานะวัดโจทก์จากวัดร้างขึ้นเป็นวัดที่มีพระสงฆ์ในปี พ.ศ. 2518 ตามประกาศของกระทรวงศึกษาธิการก็ตามแต่พระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มิได้บัญญัติถึงวัดร้าง ฉะนั้นวัดร้างจึงมิได้เสียสภาพจากการเป็นวัดเพราะยังมิได้มีการยุบเลิกวัดร้าง และยังมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและทรัพย์สินที่เป็นของวัดได้อยู่ โดยให้พนักงานฝ่ายพระราชอาณาจักรเป็น ผู้ปกครองรักษาไว้แทน ต่อมาวัดโจทก์ได้รับการยกฐานะจากวัดร้าง ขึ้นเป็นวัดที่มีพระสงฆ์จึงมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 72 และเป็นผู้สืบทอดสิทธิต่างๆ ของวัดร้างนั้นมาจึงมีอำนาจเป็นโจทก์และมีสิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของวัดร้างนั้นจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336
จำเลยยกข้อต่อสู้ เรื่องการครอบครองปรปักษ์ไว้ในคำให้การแต่เมื่อศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถาน มิได้กำหนดปัญหาดังกล่าวไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท โจทก์จำเลยมิได้โต้แย้งหรือคัดค้านแต่ ประการใด จึงถือว่าคู่ความได้สละเกี่ยวกับปัญหาข้อนี้แล้ว ศาล จะหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยอีกไม่ได้เพราะเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาทไม่ชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณา
จำเลยยกข้อต่อสู้ เรื่องการครอบครองปรปักษ์ไว้ในคำให้การแต่เมื่อศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถาน มิได้กำหนดปัญหาดังกล่าวไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท โจทก์จำเลยมิได้โต้แย้งหรือคัดค้านแต่ ประการใด จึงถือว่าคู่ความได้สละเกี่ยวกับปัญหาข้อนี้แล้ว ศาล จะหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยอีกไม่ได้เพราะเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาทไม่ชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2877/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานที่ทำสัญญาเป็นสถานที่เกิดมูลคดี แม้มีการตกลงรับเงินที่อื่น
โจทก์อ้างว่าโจทก์จำเลยได้ตกลงกันว่าหากมีข้อพิพาทเกิดขึ้นก็ให้นำคดีขึ้นสู่ศาลจังหวัดสงขลา แต่เมื่อโจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดนราธิวาส จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่กรุงเทพ ตามฟ้องโจทก์อ้างว่าจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาซึ่งทำที่กรุงเทพฯ ดังนี้ สถานที่ที่มีมูลคดีเกิดขึ้นคือกรุงเทพฯแม้ตามสัญญาที่ทำกันไว้จำเลยจะได้รับเงินค่าจ้างจากผู้ว่าจ้างที่จังหวัดสงขลาและจะต้องแบ่งเงินให้โจทก์ที่จังหวัดนั้น ก็ถือไม่ได้ว่าสัญญาเกิดขึ้นที่จังหวัดสงขลา เพราะการตกลงให้มีการรับเงินกันที่ใดเป็นคนละเรื่องกับการเกิดของสัญญา ศาลจังหวัดสงขลาจึงไม่มีอำนาจรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2826/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 กรณีศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษ
จำเลยถูกฟ้องว่ากระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ฯศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี ปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำคุกจำเลยไปทันทีโดยไม่รอการลงโทษ แต่ศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินหนึ่งปีและปรับไม่เกินหมื่นบาท จำเลยต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2826/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 กรณีศาลอุทธรณ์แก้โทษจำคุก
จำเลยถูกฟ้องว่ากระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ฯศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี ปรับ5,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีแม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำคุกจำเลยไปทันทีโดยไม่รอการลงโทษ แต่ศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินหนึ่งปีและปรับไม่เกินหมื่นบาท จำเลยต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219