พบผลลัพธ์ทั้งหมด 561 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1908/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาขู่เข็ญเพื่อปล้นทรัพย์: การพิจารณาจากพฤติการณ์และเจตนาของผู้กระทำ
จำเลยกับพวกอีก 3 คนเข้าไปลักทรัพย์ในบ้านผู้เสียหาย ซึ่งมี ส. กับสามีนอนอยู่ในมุ้งบนบ้าน.ส. ตื่นและได้ยินเสียงคนร้ายพูดกันว่า ถ้าเจ้าของบ้านตื่นจะฆ่าให้ ตาย ส.จึงแกล้งนอนหลับส่วนสามีของส. ยังนอนหลับ อยู่จำเลยนั่งคุมส.กับสามีของส.อยู่ข้างมุ้งพวกของจำเลย ค้นหาทรัพย์ในบ้าน เมื่อได้ทรัพย์แล้วพา กันหลบหนีไป การที่จำเลยกับพวก พูดกันเองว่าถ้า เจ้าของบ้านตื่นจะฆ่าให้ตายโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยกับพวก รู้ว่า ส. ตื่นและได้ยินข้อความที่จำเลยกับพวกพูดกัน เช่นนี้ ถือไม่ได้ว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาขู่เข็ญว่าจะ ใช้กำลังประทุษร้าย ส. การกระทำของจำเลยกับพวกไม่เป็น ความผิดฐานปล้นทรัพย์ คงเป็นเพียงความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1),(7),(8)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1908/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาขู่เข็ญเพื่อปล้นทรัพย์: การรับฟังพยานหลักฐานที่พิสูจน์เจตนาของผู้กระทำผิด
จำเลยกับพวกอีก 3 คนเข้าไปลักทรัพย์ในบ้านผู้เสียหาย ซึ่งมี ส. กับสามีนอนอยู่ในมุ้งบนบ้าน. ส. ตื่นและได้ยินเสียงคนร้ายพูดกันว่า ถ้าเจ้าของบ้านตื่นจะฆ่าให้ ตาย ส. จึงแกล้งนอนหลับ ส่วนสามีของ ส. ยังนอนหลับ อยู่จำเลยนั่งคุม ส. กับสามีของ ส. อยู่ข้างมุ้ง พวกของจำเลย ค้นหาทรัพย์ในบ้าน เมื่อได้ทรัพย์แล้วพา กันหลบหนีไป การที่จำเลยกับพวก พูดกันเองว่าถ้า เจ้าของบ้านตื่นจะฆ่าให้ตาย โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยกับพวก รู้ว่า ส. ตื่นและได้ยินข้อความที่จำเลยกับพวกพูดกัน เช่นนี้ ถือไม่ได้ว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาขู่เข็ญว่าจะ ใช้กำลังประทุษร้าย ส. การกระทำของจำเลยกับพวกไม่เป็น ความผิดฐานปล้นทรัพย์ คงเป็นเพียงความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1), (7), (8)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1886/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์: การครอบครองทรัพย์สินเปลี่ยนมือจากผู้เสียหายไปสู่คนร้าย ทำให้จำเลยไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์จากผู้เสียหาย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานร่วมกับพวกปล้นทรัพย์หรือรับของโจร ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ทั้งสองข้อหานี้ แต่ลงโทษจำเลย ฐานลักทรัพย์ โจทก์มิได้อุทธรณ์ความผิดในข้อหาปล้นทรัพย์และรับของโจร จึงถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาของ ศาลชั้นต้น
จำเลยไปพบทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายปล้นเอาไปทิ้งไว้ริมทางรถไฟ จำเลยนำไปซุกซ่อนไว้ในป่าละเมาะ เมื่อผู้เสียหายมิได้ติดตามเอาทรัพย์ ที่ถูกคนร้ายปล้นเอาไปคืนจากคนร้าย ถือได้ว่าการครอบครองทรัพย์ ของผู้เสียหายได้ สิ้นสุดลงตั้งแต่คนร้ายได้แย่งการครอบครองไป การครอบครอง ทรัพย์จึงเป็นของคนร้ายจำเลยเอาทรัพย์ดังกล่าว ไป จึง มิใช่เป็นการแย่งการครอบครองไปจากผู้เสียหาย จำเลย ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ของผู้เสียหาย ส่วนจำเลยจะมี ความผิด ฐานลักทรัพย์ของคนร้ายที่ปล้นเอาไปจากผู้เสียหายตาม ข้อเท็จจริง ที่ปรากฏในทางพิจารณาหรือไม่นั้น ไม่ใช่เป็น เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ศาลจึงลงโทษจำเลยไม่ได้
จำเลยไปพบทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายปล้นเอาไปทิ้งไว้ริมทางรถไฟ จำเลยนำไปซุกซ่อนไว้ในป่าละเมาะ เมื่อผู้เสียหายมิได้ติดตามเอาทรัพย์ ที่ถูกคนร้ายปล้นเอาไปคืนจากคนร้าย ถือได้ว่าการครอบครองทรัพย์ ของผู้เสียหายได้ สิ้นสุดลงตั้งแต่คนร้ายได้แย่งการครอบครองไป การครอบครอง ทรัพย์จึงเป็นของคนร้ายจำเลยเอาทรัพย์ดังกล่าว ไป จึง มิใช่เป็นการแย่งการครอบครองไปจากผู้เสียหาย จำเลย ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ของผู้เสียหาย ส่วนจำเลยจะมี ความผิด ฐานลักทรัพย์ของคนร้ายที่ปล้นเอาไปจากผู้เสียหายตาม ข้อเท็จจริง ที่ปรากฏในทางพิจารณาหรือไม่นั้น ไม่ใช่เป็น เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ศาลจึงลงโทษจำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1886/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์: การครอบครองเปลี่ยนเป็นของคนร้าย ทำให้จำเลยไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์จากผู้เสียหาย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานร่วมกับพวกปล้นทรัพย์หรือรับของโจรศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ทั้งสองข้อหานี้ แต่ลงโทษจำเลย ฐานลักทรัพย์โจทก์มิได้อุทธรณ์ความผิดในข้อหาปล้นทรัพย์และรับของโจร จึงถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาของ ศาลชั้นต้น จำเลยไปพบทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายปล้นเอาไปทิ้งไว้ริมทางรถไฟ จำเลยนำไปซุกซ่อนไว้ในป่าละเมาะเมื่อผู้เสียหายมิได้ติดตามเอาทรัพย์ ที่ถูกคนร้ายปล้นเอาไปคืนจากคนร้าย ถือได้ว่าการครอบครองทรัพย์ ของผู้เสียหายได้ สิ้นสุดลงตั้งแต่คนร้ายได้แย่งการครอบครองไป การครอบครอง ทรัพย์จึงเป็นของคนร้ายจำเลยเอาทรัพย์ดังกล่าว ไป จึง มิใช่เป็นการแย่งการครอบครองไปจากผู้เสียหาย จำเลย ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ของผู้เสียหายส่วนจำเลยจะมี ความผิด ฐานลักทรัพย์ของคนร้ายที่ปล้นเอาไปจากผู้เสียหายตาม ข้อเท็จจริง ที่ปรากฏในทางพิจารณาหรือไม่นั้น ไม่ใช่เป็น เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ศาลจึงลงโทษจำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1881/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท กรณีครอบครองและพยายามส่งออกยาเสพติด การลงโทษและขอบเขตความผิด
จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และพยายามส่งออก นอก ราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายซึ่งเฮโรอีนจำนวนเดียวกัน โดยเอาเฮโรอีน ของกลางบรรจุในกระป๋องสเปรย์ 2 กระป๋องใส่ไว้ใน กระเป๋าเดินทาง และในกระเป๋าเครื่องสำอางค์และถูกเจ้าพนักงาน จับได้ที่สนามบิน ในขณะที่จำเลยเตรียมตัวจะขึ้นเครื่องบิน ไปต่างประเทศ การกระทำของจำเลย จึงเป็นความผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท
นอกจากเฮโรอีนจำนวนข้างต้น เจ้าพนักงานยังพบเฮโรอีนอีกจำนวนหนึ่ง ในกระป๋องสเปรย์ซึ่งบรรจุอยู่ในกระเป๋าสีเหลืองซึ่ง จำเลยฝากไว้กับ เจ้าหน้าที่โรงแรมก่อนที่จำเลยจะเดินทางมา ยังสนามบิน ซึ่งเฮโรอีนจำนวนนี้ ก็เป็นจำนวนเดียวกับที่ จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและถูกจับได้ ที่สนามบิน ตามที่โจทก์ฟ้องนั่นเอง เป็นแต่เพียงจำเลยแยกเอาบางส่วนติดตัวไปส่วนที่เหลือฝากไว้ที่โรงแรมมิได้นำติดตัวไปเท่านั้น จึงไม่ทำให้การกระทำของจำเลยเป็นความผิดอีก กรรมหนึ่งต่างหาก คงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมาย หลายบท
นอกจากเฮโรอีนจำนวนข้างต้น เจ้าพนักงานยังพบเฮโรอีนอีกจำนวนหนึ่ง ในกระป๋องสเปรย์ซึ่งบรรจุอยู่ในกระเป๋าสีเหลืองซึ่ง จำเลยฝากไว้กับ เจ้าหน้าที่โรงแรมก่อนที่จำเลยจะเดินทางมา ยังสนามบิน ซึ่งเฮโรอีนจำนวนนี้ ก็เป็นจำนวนเดียวกับที่ จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและถูกจับได้ ที่สนามบิน ตามที่โจทก์ฟ้องนั่นเอง เป็นแต่เพียงจำเลยแยกเอาบางส่วนติดตัวไปส่วนที่เหลือฝากไว้ที่โรงแรมมิได้นำติดตัวไปเท่านั้น จึงไม่ทำให้การกระทำของจำเลยเป็นความผิดอีก กรรมหนึ่งต่างหาก คงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมาย หลายบท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1881/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท กรณีครอบครองและพยายามส่งออกเฮโรอีน การแยกพิจารณาเป็นกรรมใหม่ไม่ถูกต้อง
จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และพยายามส่งออก นอก ราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายซึ่งเฮโรอีนจำนวนเดียวกันโดยเอาเฮโรอีน ของกลางบรรจุในกระป๋องสเปรย์ 2 กระป๋องใส่ไว้ใน กระเป๋าเดินทาง และในกระเป๋าเครื่องสำอางค์และถูกเจ้าพนักงาน จับได้ที่สนามบิน ในขณะที่จำเลยเตรียมตัวจะขึ้นเครื่องบิน ไปต่างประเทศการกระทำของจำเลย จึงเป็นความผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท นอกจากเฮโรอีนจำนวนข้างต้น เจ้าพนักงานยังพบเฮโรอีนอีกจำนวนหนึ่ง ในกระป๋องสเปรย์ซึ่งบรรจุอยู่ในกระเป๋าสีเหลืองซึ่ง จำเลยฝากไว้กับ เจ้าหน้าที่โรงแรมก่อนที่จำเลยจะเดินทางมา ยังสนามบินซึ่งเฮโรอีนจำนวนนี้ ก็เป็นจำนวนเดียวกับที่ จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและถูกจับได้ ที่สนามบิน ตามที่โจทก์ฟ้องนั่นเอง เป็นแต่เพียงจำเลยแยกเอาบางส่วนติดตัวไปส่วนที่เหลือฝากไว้ที่โรงแรมมิได้นำติดตัวไปเท่านั้น จึงไม่ทำให้การกระทำของจำเลยเป็นความผิดอีก กรรมหนึ่งต่างหาก คงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมาย หลายบท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1871-1872/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: ประเด็นการรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทซ้ำกับคดีถึงที่สุดแล้ว ศาลยกฟ้อง
ศาลฎีกาได้พิพากษาให้โจทก์แบ่งที่ดินในโฉนดให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ในสำนวนแรกและแบ่งให้แก่นาง พ. มารดาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในสำนวนหลัง ต่อมาโจทก์และจำเลย ได้พิพาทกันในชั้นบังคับคดี เกี่ยวกับการรังวัดแบ่งแยกที่ดินในโฉนดดังกล่าว ว่ารังวัด แบ่งแยกถูกต้องตรงตามคำพิพากษาฎีกาหรือไม่ศาลชั้นต้นได้นัด พร้อมทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าตรงที่พิพาทด้านเหนือให้ เจ้าพนักงานรังวัด แบ่งให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสองสำนวน นี้เพียงแค่ติดสวนของโจทก์ เมื่อช่างแผนที่ไปรังวัด แบ่งแยกเสร็จแล้วโจทก์ไม่รับรองศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่ารูปแผนที่แบ่งแยกซึ่งช่างแผนที่ทำมานั้นถูกต้องตรงกับข้อตกลงของโจทก์ จำเลยแล้ว มีคำสั่งให้แบ่งแยกที่พิพาทให้จำเลยทั้งสองสำนวน ตามรูปแผนที่แบ่งแยกดังกล่าวคดีถึงที่สุดฉะนั้นที่โจทก์ฟ้องคดี ทั้งสองสำนวนนี้ว่า จำเลยทั้งสองสำนวนได้สมคบกันออกรูปแผนที่ หลังโฉนดซึ่ง เป็นที่พิพาทกันในคดีก่อนขัดกับคำพิพากษาฎีกา เป็นเหตุให้ ที่ดินของโจทก์ขาดไป. จึงเป็นการโต้เถียงว่า การรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทไม่ถูกต้องตรงตามคำพิพากษาฎีกาอัน เป็นประเด็นเดียวกัน กับประเด็นที่โจทก์จำเลยพิพาทกันใน ชั้นบังคับคดี ซึ่งได้มีคำพิพากษา หรือคำสั่งถึงที่สุดดังกล่าว แล้ว ฟ้องของโจทก์ทั้งสองสำนวนนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1742/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษในคดีฝิ่นเมื่อพ้นโทษไม่ครบ 3 ปี: ศาลฎีกาตัดสินว่าการรอการลงโทษไม่ถือเป็นการพ้นโทษ
คำว่าพ้นโทษตามมาตรา 68 แห่งพระราชบัญญัติฝิ่น พ.ศ.2472 ก็คือพ้นโทษที่ได้รับจริงๆ ในคดีก่อน เมื่อในคดีก่อนจำเลยไม่ได้รับโทษจำคุกโดยศาลรอการลงโทษไว้มีกำหนด 1ปี จึงไม่มีวันพ้นโทษจำคุกที่จะถือเอาเป็นเกณฑ์ในการเพิ่มโทษจำเลยได้ และการที่ศาลรอการลงโทษจำคุกไว้ก็ไม่ใช่โทษซึ่งเมื่อครบ 1 ปีตามที่รอไว้แล้วจะได้เป็นการพ้นโทษไปได้ในตัว ทั้งมาตรา 58 วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายอาญาก็บัญญัติไว้ด้วยว่า ถ้าภายในเวลาที่ศาลได้กำหนดตามมาตรา 56 ผู้นั้นมิได้กระทำความผิดดังกล่าวในวรรคแรกของ มาตรา 58 นั้น ก็ให้ผู้นั้นพ้นจากการที่จะถูกลงโทษในคดีนั้นซึ่งก็แสดงอยู่ชัดแจ้งว่าผู้นั้นหรือจำเลยไม่เคยถูกลงโทษมาก่อนนั่นเอง กรณีจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยพ้นโทษแล้วยังไม่ครบ 3 ปี มากระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติฝิ่นนี้อีก จึงเพิ่มโทษจำเลยตามมาตรา 68 แห่งพระราชบัญญัติฝิ่น พ.ศ.2472 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1742/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษทางอาญาเมื่อพ้นโทษไม่ครบ 3 ปี: การรอการลงโทษไม่ถือเป็นการพ้นโทษ
คำว่าพ้นโทษตามมาตรา 68 แห่งพระราชบัญญัติฝิ่น พ.ศ.2472ก็คือพ้นโทษที่ได้รับจริงๆในคดีก่อนเมื่อในคดีก่อนจำเลยไม่ได้รับโทษจำคุกโดยศาลรอการลงโทษไว้มีกำหนด 1ปีจึงไม่มีวันพ้นโทษจำคุกที่จะถือเอาเป็นเกณฑ์ในการเพิ่มโทษจำเลยได้และการที่ศาลรอการลงโทษจำคุกไว้ ก็ไม่ใช่โทษซึ่งเมื่อครบ 1 ปีตามที่รอไว้แล้วจะได้เป็นการพ้นโทษไปได้ในตัวทั้งมาตรา 58 วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายอาญาก็บัญญัติไว้ด้วยว่าถ้าภายในเวลาที่ศาลได้กำหนดตามมาตรา 56 ผู้นั้นมิได้กระทำความผิดดังกล่าวในวรรคแรกของ มาตรา 58 นั้น ก็ให้ผู้นั้นพ้นจากการที่จะถูกลงโทษในคดีนั้นซึ่งก็แสดงอยู่ชัดแจ้งว่าผู้นั้นหรือจำเลยไม่เคยถูกลงโทษมาก่อนนั่นเองกรณีจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยพ้นโทษแล้วยังไม่ครบ 3 ปี มากระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติฝิ่นนี้อีกจึงเพิ่มโทษจำเลยตามมาตรา 68 แห่งพระราชบัญญัติฝิ่น พ.ศ.2472 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1711/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำนองและค้ำประกันแยกสัญญา ไถ่ถอนจำนองได้โดยไม่ต้องชำระหนี้ค้ำประกัน
โจทก์จำนองที่ดินไว้แก่จำเลยเพื่อเป็นประกันหนี้บริษัท ภ.และหนี้ของโจทก์เองเป็นเงิน 180,000 บาท ในวันเดียวกันนั้นโจทก์ทำสัญญาค้ำประกันเงินกู้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีของบริษัท ภ.สัญญาจำนองและสัญญาค้ำประกันจึงแยกต่างหากจากกัน จำเลยมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินซึ่งจำนองในวงเงิน 180,000 บาท พร้อมทั้งค่าอุปกรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 715 เท่านั้น ส่วนหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชีของบริษัท ภ. ที่เกินกว่าจำนวนเงินที่จำนองเป็นประกันนั้นเป็นบุคคลสิทธิที่จำเลยจะต้องติดตามบังคับเอาจากโจทก์ตามสัญญาค้ำประกันในฐานะเป็นเจ้าหนี้สามัญ โจทก์จึงมีสิทธิไถ่จำนองได้โดยไม่ต้องชำระหนี้ของบริษัท ภ. ซึ่งนอกเหนือจากหนี้จำนอง เมื่อสัญญาจำนองมิได้กำหนดระยะเวลาไถ่ถอนไว้ และโจทก์ผู้จำนองแสดงความจำนงขอไถ่ถอนจำนองแล้ว จำเลยจะไม่ยอมให้ไถ่ถอนจำนองโดยอ้างว่า โจทก์ยังมีภาระผูกพันที่จะต้องชำระหนี้ค้ำประกันอยู่อีกไม่ได้ เพราะเป็นความรับผิดตามสัญญาคนละฉบับซึ่งแยกต่างหากจากกันและไม่เกี่ยวข้องกัน