พบผลลัพธ์ทั้งหมด 390 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2811/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ภาษีเพิ่มเติมเกินกำหนด: สิทธิโต้แย้งสิ้นสุด, ฟ้องเรียกเก็บได้
จำเลยได้รับแบบแจ้งการประเมินภาษีเพิ่มเติมตามฟ้องแล้วยื่นอุทธรณ์การประเมินอากรขาเข้าต่ออธิบดีกรมศุลกากรเกินกำหนด 30 วันนับแต่วันได้รับแจ้งการประเมินตามพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 มาตรา 112 ทวิ วรรคท้ายและไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์การประเมินภาษีการค้าต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากร หรือหากจะถือว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่ยื่นต่ออธิบดีกรมศุลกากรเป็นอุทธรณ์การประเมินภาษีการค้าด้วยในฐานะที่กรมศุลกากรเป็นเจ้าหน้าที่เรียกเก็บภาษีการค้าเพื่อกรมสรรพากร การยื่นอุทธรณ์ภาษีการค้าของจำเลยก็เกินกำหนด 30 วันนับแต่วันได้รับแจ้งการประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 เช่นกัน อุทธรณ์การประเมินของจำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ที่จะรับไว้วินิจฉัยไม่ได้จึงไม่มีข้อวินิจฉัยหรือผลการพิจารณาอุทธรณ์ที่จะแจ้งให้จำเลยทราบ และเมื่อจำเลยไม่ชำระค่าอากรขาเข้าและภาษีการค้าตามที่เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์เรียกเก็บโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
จำเลยมิได้ยื่นอุทธรณ์การประเมินภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย จำเลยย่อมหมดสิทธิที่จะโต้แย้งคัดค้านว่าการประเมินภาษีเพิ่มเติมของโจทก์ไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยมิได้ยื่นอุทธรณ์การประเมินภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย จำเลยย่อมหมดสิทธิที่จะโต้แย้งคัดค้านว่าการประเมินภาษีเพิ่มเติมของโจทก์ไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2811/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ภาษีเพิ่มเติมเกินกำหนด ทำให้จำเลยหมดสิทธิโต้แย้งการประเมิน และโจทก์มีอำนาจฟ้องได้
จำเลยได้รับแบบแจ้งการประเมินภาษีเพิ่มเติมตามฟ้องแล้วยื่นอุทธรณ์การประเมินอากรขาเข้าต่ออธิบดีกรมศุลกากรเกินกำหนด 30 วันนับแต่วันได้รับแจ้งการประเมินตามพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 มาตรา 112 ทวิ วรรคท้าย และไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์การประเมินภาษีการค้าต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ตามประมวลรัษฎากร หรือหากจะถือว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่ยื่นต่ออธิบดีกรมศุลกากรเป็นอุทธรณ์การประเมินภาษีการค้าด้วยในฐานะที่กรมศุลกากรเป็นเจ้าหน้าที่เรียกเก็บภาษีการค้าเพื่อกรมสรรพากร การยื่นอุทธรณ์ภาษีการค้าของจำเลยก็เกินกำหนด 30 วันนับแต่วันได้รับแจ้งการประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 เช่นกัน อุทธรณ์การประเมินของจำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ที่จะรับไว้วินิจฉัยไม่ได้จึงไม่มีข้อวินิจฉัยหรือผลการพิจารณาอุทธรณ์ที่จะแจ้งให้จำเลยทราบ และเมื่อจำเลยไม่ชำระค่าอากรขาเข้าและภาษีการค้าตามที่เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์เรียกเก็บโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
จำเลยมิได้ยื่นอุทธรณ์การประเมินภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย จำเลยย่อมหมดสิทธิที่จะโต้แย้งคัดค้านว่าการประเมินภาษีเพิ่มเติมของโจทก์ไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยมิได้ยื่นอุทธรณ์การประเมินภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย จำเลยย่อมหมดสิทธิที่จะโต้แย้งคัดค้านว่าการประเมินภาษีเพิ่มเติมของโจทก์ไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2700/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์และการฉายภาพยนตร์โดยไม่ได้รับอนุญาต: ความถูกต้องของอำนาจฟ้องและข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง
บรรยายฟ้องว่าจำเลยนำฟิล์มภาพยนตร์ซึ่ง อ. และ ส. เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ออกฉายเรียกเก็บเงินในการค้าโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ และมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในภาพยนตร์ของผู้เสียหาย และเป็นการฉายภาพยนตร์โดยฝ่าฝืนกฎหมายเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แล้ว ไม่จำต้องบรรยายว่าพนักงานเจ้าหน้าที่หมายถึงผู้ใดและภาพยนตร์ดังกล่าวสร้างขึ้นในประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์เพราะเป็นข้อเท็จจริงในทางนำสืบ
ส. เป็นเพียงผู้เช่าลิขสิทธิ์ภาพยนตร์จาก อ. จึงมิใช่เจ้าของลิขสิทธิ์และไม่มีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีฐานละเมิดลิขสิทธิ์ และการที่ ส. ได้รับมอบอำนาจจาก อ. ให้ไปร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา แต่ ส. ไปร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครราชสีมา ถือไม่ได้ว่าเป็นการร้องทุกข์แทน อ. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครราชสีมาจึงไม่มีอำนาจสอบสวนในข้อหาความผิดดังกล่าวซึ่งเป็นความผิด ยอมความได้ และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ภาพยนตร์เรื่องใดได้รับอนุญาตจากกรมตำรวจให้นำออกฉายตามสถานที่มหรสพได้แล้ว ย่อมสามารถนำออกฉาย ณ สถานที่มหรสพใดได้ในภายหลังโดยไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าพนักงานอื่นใดซ้ำอีก
ส. เป็นเพียงผู้เช่าลิขสิทธิ์ภาพยนตร์จาก อ. จึงมิใช่เจ้าของลิขสิทธิ์และไม่มีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีฐานละเมิดลิขสิทธิ์ และการที่ ส. ได้รับมอบอำนาจจาก อ. ให้ไปร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา แต่ ส. ไปร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครราชสีมา ถือไม่ได้ว่าเป็นการร้องทุกข์แทน อ. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครราชสีมาจึงไม่มีอำนาจสอบสวนในข้อหาความผิดดังกล่าวซึ่งเป็นความผิด ยอมความได้ และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ภาพยนตร์เรื่องใดได้รับอนุญาตจากกรมตำรวจให้นำออกฉายตามสถานที่มหรสพได้แล้ว ย่อมสามารถนำออกฉาย ณ สถานที่มหรสพใดได้ในภายหลังโดยไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าพนักงานอื่นใดซ้ำอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2700/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์และการฉายภาพยนตร์โดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยไม่มีอำนาจฟ้องและขาดองค์ประกอบความผิด
บรรยายฟ้องว่าจำเลยนำฟิล์มภาพยนตร์ซึ่ง อ. และ ส. เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ออกฉายเรียกเก็บเงินในการค้าโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์และมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในภาพยนตร์ของผู้เสียหาย และเป็นการฉายภาพยนตร์โดยฝ่าฝืนกฎหมาย เป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว ไม่จำต้องบรรยายว่าพนักงานเจ้าหน้าที่หมายถึงผู้ใดและภาพยนตร์ดังกล่าวสร้างขึ้นในประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์เพราะเป็นข้อเท็จจริงในทางนำสืบ
ส. เป็นเพียงผู้เช่าลิขสิทธิ์ภาพยนตร์จาก อ. จึงมิใช่เจ้าของลิขสิทธิ์และไม่มีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีฐานละเมิดลิขสิทธิ์ และการที่ ส. ได้รับมอบอำนาจจาก อ. ให้ไปร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา แต่ ส. ไปร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครราชสีมา ถือไม่ได้ว่าเป็นการร้องทุกข์แทน อ. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครราชสีมาจึงไม่มีอำนาจสอบสวนในข้อหาความผิดดังกล่าวซึ่งเป็นความผิด ยอมความได้ และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ภาพยนตร์เรื่องใดได้รับอนุญาตจากกรมตำรวจให้นำออกฉายตามสถานที่มหรสพได้แล้ว ย่อมสามารถนำออกฉาย ณ สถานที่มหรสพใดได้ในภายหลังโดยไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าพนักงานอื่นใดซ้ำอีก
ส. เป็นเพียงผู้เช่าลิขสิทธิ์ภาพยนตร์จาก อ. จึงมิใช่เจ้าของลิขสิทธิ์และไม่มีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีฐานละเมิดลิขสิทธิ์ และการที่ ส. ได้รับมอบอำนาจจาก อ. ให้ไปร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา แต่ ส. ไปร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครราชสีมา ถือไม่ได้ว่าเป็นการร้องทุกข์แทน อ. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครราชสีมาจึงไม่มีอำนาจสอบสวนในข้อหาความผิดดังกล่าวซึ่งเป็นความผิด ยอมความได้ และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ภาพยนตร์เรื่องใดได้รับอนุญาตจากกรมตำรวจให้นำออกฉายตามสถานที่มหรสพได้แล้ว ย่อมสามารถนำออกฉาย ณ สถานที่มหรสพใดได้ในภายหลังโดยไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าพนักงานอื่นใดซ้ำอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2627/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละสิทธิการตรวจพิสูจน์หลักฐานและการพิจารณาคดีเสร็จสิ้น ศาลไม่ต้องวินิจฉัยเรื่องการตรวจพิสูจน์
จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ส่งเอกสารสัญญากู้ไปให้กองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ ตรวจพิสูจน์ ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งในเรื่องนี้ คงมีคำสั่งในคำร้องของจำเลยฉบับเดียวกันนี้เพียงว่า ให้นำสำนวนคดีที่จำเลยอ้างมาผูกรวมไว้ เมื่อศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานจำเลยจนจำเลยแถลงหมดพยานไม่ติดใจสืบพยานต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีเสร็จการพิจารณาและนัดฟังคำพิพากษา โดยไม่มีฝ่ายใดหยิบยกเรื่องการตรวจพิสูจน์เอกสารขึ้นเพื่อการวินิจฉัยของศาลชั้นต้นอีกเลยดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยได้สละแล้วซึ่งการขอให้มีการตรวจพิสูจน์เอกสารและการนำสืบโดยผู้ชำนาญการพิเศษ ทั้งถือได้ว่าการพิจารณาของศาลชั้นต้นได้เสร็จสิ้นแล้ว การที่จำเลยยกเอาข้อที่ตนได้สละ และมิได้เป็นข้อที่ว่ากันมาแต่ในศาลชั้นต้นมาเป็นข้ออุทธรณ์เพื่อขอให้มีการสืบพยานจำเลยในข้อนี้ จึงขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ที่แก้ไขใหม่ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
การตรวจบุคคล วัตถุ สถานที่ หรือตั้งผู้เชี่ยวชาญ ย่อมอยู่ในดุลพินิจของศาลเมื่อเห็นเป็นการสมควร ซึ่งย่อมขึ้นอยู่แก่พฤติการณ์ของคดีแต่ละกรณี มิใช่เป็นการบังคับให้จำต้องกระทำเสมอไป ดังที่บัญญัติไว้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 99 และมาตรา 129 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15
การตรวจบุคคล วัตถุ สถานที่ หรือตั้งผู้เชี่ยวชาญ ย่อมอยู่ในดุลพินิจของศาลเมื่อเห็นเป็นการสมควร ซึ่งย่อมขึ้นอยู่แก่พฤติการณ์ของคดีแต่ละกรณี มิใช่เป็นการบังคับให้จำต้องกระทำเสมอไป ดังที่บัญญัติไว้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 99 และมาตรา 129 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2627/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละสิทธิขอตรวจพิสูจน์หลักฐาน และดุลพินิจศาลในการตรวจพิสูจน์เอกสาร
จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ส่งเอกสารสัญญากู้ไปให้กองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ ตรวจพิสูจน์ ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งในเรื่องนี้ คงมีคำสั่งในคำร้องของจำเลยฉบับเดียวกันนี้เพียงว่า ให้นำสำนวนคดีที่จำเลยอ้างมาผูกรวมไว้ เมื่อศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานจำเลยจนจำเลยแถลงหมดพยานไม่ติดใจสืบพยานต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีเสร็จการพิจารณาและนัดฟังคำพิพากษา โดยไม่มีฝ่ายใดหยิบยกเรื่องการตรวจพิสูจน์เอกสารขึ้นเพื่อการวินิจฉัยของศาลชั้นต้นอีกเลยดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยได้สละแล้วซึ่งการขอให้มีการตรวจพิสูจน์เอกสารและการนำสืบโดยผู้ชำนาญการพิเศษ ทั้งถือได้ว่าการพิจารณาของศาลชั้นต้นได้เสร็จสิ้นแล้ว การที่จำเลยยกเอาข้อที่ตนได้สละ และมิได้เป็นข้อที่ว่ากันมาแต่ในศาลชั้นต้นมาเป็นข้ออุทธรณ์เพื่อขอให้มีการสืบพยานจำเลยในข้อนี้ จึงขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ที่แก้ไขใหม่ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
การตรวจบุคคล วัตถุ สถานที่ หรือตั้งผู้เชี่ยวชาญ ย่อมอยู่ในดุลพินิจของศาลเมื่อเห็นเป็นการสมควร ซึ่งย่อมขึ้นอยู่แก่พฤติการณ์ของคดีแต่ละกรณี มิใช่เป็นการบังคับให้จำต้องกระทำเสมอไป ดังที่บัญญัติไว้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 99 และมาตรา 129ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
การตรวจบุคคล วัตถุ สถานที่ หรือตั้งผู้เชี่ยวชาญ ย่อมอยู่ในดุลพินิจของศาลเมื่อเห็นเป็นการสมควร ซึ่งย่อมขึ้นอยู่แก่พฤติการณ์ของคดีแต่ละกรณี มิใช่เป็นการบังคับให้จำต้องกระทำเสมอไป ดังที่บัญญัติไว้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 99 และมาตรา 129ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2586/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองนาพิพาทหลังบอกเลิกสัญญาซื้อขาย: การวิดน้ำจับปลาไม่เป็นลักทรัพย์
ผู้เสียหายตกลงขายนาพิพาทให้จำเลยแล้ว ต่อมาได้บอกเลิกการขายโดยยินยอมให้จำเลยเกี่ยวข้าวในนา และวิดน้ำจับเอาปลา ในบ่อไปได้ การที่จำเลยจับเอาปลาในบ่อที่นาพิพาทของผู้เสียหายไป จึงไม่เป็นการกระทำผิดฐานลักทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2584/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของกรมสรรพากร/กทม. ในการเฉลี่ยเงินจากการขายทอดตลาดทรัพย์สินผู้ค้างภาษี แม้ยังไม่ฟ้องคดี
ประมวลรัษฎากร มาตรา 12 เป็นกฎหมายพิเศษให้อำนาจแก่เจ้าพนักงาน ที่จะเรียกเก็บภาษีอากรค้างได้โดยสั่งยึดและสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สินได้เองโดยไม่จำต้องนำคดีขึ้นฟ้องร้องต่อศาล สิทธิของกรมสรรพากรและกรุงเทพมหานคร ผู้ร้องตามประมวลรัษฎากรถือได้ว่าเป็นสิทธิอื่น ๆ ซึ่งบุคคลภายนอกอาจขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินได้ตามกฎหมายซึ่งบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 287 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โจทก์ชนะคดีและนำยึดที่ดินจำเลยออกขายทอดตลาด ผู้ร้องจึงมีสิทธิที่จะร้องขอเฉลี่ยเงินที่ขายทอดตลาดนั้นได้ตามมาตรา 290
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2447/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงนอกสัญญาเช่าซื้อ: ศาลอนุญาตให้จำเลยนำสืบพยานได้หากพิสูจน์ได้ว่าข้อตกลงครอบคลุมการติดตั้งพัดลมดูดอากาศ
แม้ในสัญญาเช่าซื้อเครื่องปรับอากาศมิได้ระบุว่าผู้ขายมีหน้าที่ต้องติดตั้งพัดลมดูดอากาศให้แก่ผู้ซื้อด้วย การที่ผู้ซื้อจะนำสืบพยานบุคคลและพยานหลักฐานอื่นอธิบายให้เห็นว่าข้อตกลงในการติดตั้งเครื่องปรับอากาศตามสัญญาเช่าซื้อได้รวมถึงการที่ผู้ขายจะต้องทำการติดตั้งพัดลมดูดอากาศให้ด้วย หาใช่เป็นการนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมจากสัญญาเช่าซื้ออันเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2447/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานนอกสัญญาเช่าซื้อเพื่อพิสูจน์ข้อตกลงเพิ่มเติมเกี่ยวกับหน้าที่ติดตั้งอุปกรณ์เสริมไม่ขัดต่อกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
แม้ในสัญญาเช่าซื้อเครื่องปรับอากาศมิได้ระบุว่าผู้ขายมีหน้าที่ต้องติดตั้งพัดลมดูดอากาศให้แก่ผู้ซื้อด้วย การที่ผู้ซื้อจะนำสืบพยานบุคคลและพยานหลักฐานอื่นอธิบายให้เห็นว่าข้อตกลงในการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ตามสัญญาเช่าซื้อได้รวมถึงการที่ผู้ขายจะต้องทำการติดตั้งพัดลมดูดอากาศให้ด้วย หาใช่เป็นการนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมจากสัญญาเช่าซื้ออันเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 ไม่