พบผลลัพธ์ทั้งหมด 390 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3983/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความลาภมิควรได้: เริ่มนับเมื่อทราบสัญญาเป็นโมฆะ
โจทก์เพิ่งทราบว่าสัญญาขายฝากเป็นโมฆะเมื่อศาลได้มีคำพิพากษาในคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินที่ขายฝาก เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้เพื่อเรียกเงินคืนจากจำเลยในฐานลาภมิควรได้ภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ศาลพิพากษา คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3912/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 218: ข้อโต้แย้งเรื่องพยานหลักฐานเป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกัน ให้ลงโทษจำเลยฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่รับอนุญาต กระทงหนึ่ง จำคุก 5ปี กับฐานมีไม้หวงห้ามแปรรูปโดยไม่รับอนุญาต จำคุก 5 ปีอีกกระทงหนึ่ง คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังและเชื่อถือได้ว่าจำเลย กระทำความผิด เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามโดยบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3912/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 218: ข้อโต้แย้งเรื่องพยานหลักฐานเป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกัน ให้ลงโทษจำเลยฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่รับอนุญาต กระทงหนึ่ง จำคุก 5ปี กับฐานมีไม้หวงห้ามแปรรูปโดยไม่รับอนุญาต จำคุก 5 ปีอีกกระทงหนึ่ง คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังและเชื่อถือได้ว่าจำเลย กระทำความผิด เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามโดยบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3872/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ: ผลผูกพัน, การปฏิบัติตามสัญญา, และผลกระทบต่อข้อพิพาทที่ระงับแล้ว
เมื่อได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันแล้ว ข้อพิพาทซึ่งได้ฟ้องร้องกันไว้ก่อนทำสัญญาย่อมระงับสิ้นไปด้วย เว้นแต่จะได้ระบุเป็นข้อยกเว้นไว้
เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความแต่ละข้อมีความสมบูรณ์เป็นเอกเทศต่างหากจากกัน มิได้เป็นเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องปฏิบัติตอบแทนกัน แม้ฝ่ายหนึ่งปฏิบัติผิดสัญญาข้อหนึ่งก็หาเป็นผลให้ข้อพิพาทซึ่งระงับสิ้นไปแล้วตามสัญญาอีกข้อหนึ่งยังไม่ระงับไปไม่
เมื่อศาลได้วินิจฉัยถึงเนื้อหาแห่งคดีเห็นว่า สิทธิในการดำเนินคดีต่อไป หรืออำนาจฟ้องของโจทก์ระงับสิ้นลงโดยผลแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์จำเลยได้ตกลงกันทำขึ้นภายหลังฟ้องคดี ซึ่งศาลไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้ จึงชอบที่ศาลจะพิพากษายกฟ้องโจทก์
เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความแต่ละข้อมีความสมบูรณ์เป็นเอกเทศต่างหากจากกัน มิได้เป็นเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องปฏิบัติตอบแทนกัน แม้ฝ่ายหนึ่งปฏิบัติผิดสัญญาข้อหนึ่งก็หาเป็นผลให้ข้อพิพาทซึ่งระงับสิ้นไปแล้วตามสัญญาอีกข้อหนึ่งยังไม่ระงับไปไม่
เมื่อศาลได้วินิจฉัยถึงเนื้อหาแห่งคดีเห็นว่า สิทธิในการดำเนินคดีต่อไป หรืออำนาจฟ้องของโจทก์ระงับสิ้นลงโดยผลแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์จำเลยได้ตกลงกันทำขึ้นภายหลังฟ้องคดี ซึ่งศาลไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้ จึงชอบที่ศาลจะพิพากษายกฟ้องโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3836/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
น.ส.3 ไม่ใช่หลักฐานแสดงความเป็นเจ้าของที่ดิน ศาลต้องสืบพยานข้อเท็จจริงก่อนวินิจฉัย
หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) หาใช่เป็นหลักฐานที่แสดงว่าผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินนั้นเสมอไปดังเช่นโฉนดที่ดินไม่
โจทก์นำยึดที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งมีชื่อจำเลย ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของผู้ร้องจำเลยเป็นเพียงผู้เช่าอาศัยทำกินเท่านั้น รูปคดีจำต้องสืบพยานฟังข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสความก่อน ศาลจะวินิจฉัยคดีโดยอาศัยเหตุที่ว่าจำเลยมีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จึงถือว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองโดยมิได้ทำการสืบพยานเสียก่อนนั้นเป็นการไม่ชอบ
โจทก์นำยึดที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งมีชื่อจำเลย ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของผู้ร้องจำเลยเป็นเพียงผู้เช่าอาศัยทำกินเท่านั้น รูปคดีจำต้องสืบพยานฟังข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสความก่อน ศาลจะวินิจฉัยคดีโดยอาศัยเหตุที่ว่าจำเลยมีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จึงถือว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองโดยมิได้ทำการสืบพยานเสียก่อนนั้นเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3836/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
น.ส.3 ไม่ใช่หลักฐานแสดงความเป็นเจ้าของที่ดิน ศาลต้องสืบพยานข้อเท็จจริงก่อนวินิจฉัย
หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) หาใช่เป็นหลักฐานที่แสดงว่าผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินนั้นเสมอไปดังเช่นโฉนดที่ดินไม่
โจทก์นำยึดที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งมีชื่อจำเลย ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของผู้ร้องจำเลยเป็นเพียงผู้เช่าอาศัยทำกินเท่านั้น รูปคดีจำต้องสืบพยานฟังข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสความก่อน ศาลจะวินิจฉัยคดีโดยอาศัยเหตุที่ว่าจำเลยมีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จึงถือว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองโดยมิได้ทำการสืบพยานเสียก่อนนั้นเป็นการไม่ชอบ
โจทก์นำยึดที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งมีชื่อจำเลย ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของผู้ร้องจำเลยเป็นเพียงผู้เช่าอาศัยทำกินเท่านั้น รูปคดีจำต้องสืบพยานฟังข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสความก่อน ศาลจะวินิจฉัยคดีโดยอาศัยเหตุที่ว่าจำเลยมีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จึงถือว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองโดยมิได้ทำการสืบพยานเสียก่อนนั้นเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3825/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานะลูกจ้าง: การรับเข้าทำงานแม้เป็นช่วงทดลองงานก็ถือเป็นลูกจ้าง, ศาลรับฟังคำให้การพยานในชั้นสอบสวนได้
การที่นายจ้างรับบุคคลใดเข้าทำงานจะเป็นการรับไว้ประจำหรืออยู่ในขั้นทดลองงานก็ตาม ย่อมถือได้ว่าได้มีการรับบุคคลนั้นเพื่อการทำงานของตนแล้ว จึงอยู่ในฐานะลูกจ้างของนายจ้าง
คำให้การพยานในชั้นสอบสวนเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่งที่จะนำมาประกอบการวินิจฉัยในการรับฟังเกี่ยวกับข้อเท็จจริงแห่งพฤติการณ์และการกระทำทั้งหลายได้ ไม่มีบทกฎหมายใดห้ามไว้โดยเด็ดขาด
คำให้การพยานในชั้นสอบสวนเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่งที่จะนำมาประกอบการวินิจฉัยในการรับฟังเกี่ยวกับข้อเท็จจริงแห่งพฤติการณ์และการกระทำทั้งหลายได้ ไม่มีบทกฎหมายใดห้ามไว้โดยเด็ดขาด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3795/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องอาญาเช็คเด้งสมบูรณ์ แม้คำขอท้ายฟ้องไม่ระบุมาตรา 3 แต่ระบุในส่วนฐานความผิดชัดเจน
แม้คำขอท้ายคำฟ้องจะระบุอ้างแต่พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 โดยไม่ได้อ้างบทมาตรา 3 ไว้ด้วย แต่โจทก์ก็ได้ระบุไว้ที่หน้า คำฟ้องในช่องข้อหาหรือฐานความผิดว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 มาตรา 3และตามพระราชบัญญัติดังกล่าวซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 5 มาตราก็มี มาตรา 3 เท่านั้น ที่บัญญัติว่าการกระทำเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ ซึ่งโจทก์ได้บรรยายการกระทำผิดของจำเลยไว้ครบถ้วนตามมาตรา 3 แล้ว จำเลยย่อมเข้าใจดีและไม่หลงต่อสู้ คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวย่อมมีผลเท่ากับการอ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6)แล้ว จึงเป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3789/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับรองบุตรนอกกฎหมาย และความรับผิดของทายาทในหนี้สินของผู้ตาย
บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1627หาใช่มุ่งหมายเฉพาะบุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้จดทะเบียนรับรองบุตรแล้วเท่านั้นไม่ แต่ยังหมายความรวมถึงบุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองโดยพฤติการณ์ที่ปรากฏแก่บุคคลทั่วไปว่าเป็นบุตรด้วย
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องยืม ให้จำเลยรับผิดที่ผู้ตายกู้ยืมเงินของโจทก์ไปศาลแพ่งพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าเช็ค2 ฉบับที่ผู้ตายสั่งจ่ายให้โจทก์มิใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมคดีถึงที่สุด โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เรื่องตั๋วเงิน ให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คที่ผู้ตายสั่งจ่ายไว้ดังนี้ สิทธิของโจทก์ที่อ้างตามฟ้องคดีนี้กับคดีก่อนไม่เหมือนกัน ประเด็นที่วินิจฉัยในคดีทั้งสองเรื่องก็อาศัยเหตุต่างกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ศาลได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดในฐานะที่เป็นผู้สืบสันดานและทายาทของผู้ตาย ดังนั้นความรับผิดของจำเลยแต่ละคนจึงจำกัดอยู่เพียงไม่เกินทรัพย์มรดกของผู้ตายที่ตนได้รับตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1601 และ1738 วรรคสองอยู่แล้ว หาจำเป็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยซ้ำกับบทบัญญัติแห่งกฎหมายไม่ การที่โจทก์จะบังคับคดีเอาแก่ทายาทคนใดได้มากน้อยเพียงใด ย่อมเป็นไปตามกฎหมายและเป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวในชั้นบังคับคดีอีกส่วนหนึ่งต่างหาก ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันในชั้นนี้
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องยืม ให้จำเลยรับผิดที่ผู้ตายกู้ยืมเงินของโจทก์ไปศาลแพ่งพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าเช็ค2 ฉบับที่ผู้ตายสั่งจ่ายให้โจทก์มิใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมคดีถึงที่สุด โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เรื่องตั๋วเงิน ให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คที่ผู้ตายสั่งจ่ายไว้ดังนี้ สิทธิของโจทก์ที่อ้างตามฟ้องคดีนี้กับคดีก่อนไม่เหมือนกัน ประเด็นที่วินิจฉัยในคดีทั้งสองเรื่องก็อาศัยเหตุต่างกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ศาลได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดในฐานะที่เป็นผู้สืบสันดานและทายาทของผู้ตาย ดังนั้นความรับผิดของจำเลยแต่ละคนจึงจำกัดอยู่เพียงไม่เกินทรัพย์มรดกของผู้ตายที่ตนได้รับตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1601 และ1738 วรรคสองอยู่แล้ว หาจำเป็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยซ้ำกับบทบัญญัติแห่งกฎหมายไม่ การที่โจทก์จะบังคับคดีเอาแก่ทายาทคนใดได้มากน้อยเพียงใด ย่อมเป็นไปตามกฎหมายและเป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวในชั้นบังคับคดีอีกส่วนหนึ่งต่างหาก ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันในชั้นนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3789/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับรองบุตรนอกกฎหมายและการรับผิดของทายาทในหนี้สินของผู้ตาย
บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1627 หาใช่มุ่งหมายเฉพาะบุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้จดทะเบียนรับรองบุตรแล้วเท่านั้นไม่ แต่ยังหมายความรวมถึงบุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองโดยพฤติการณ์ที่ปรากฏแก่บุคคลทั่วไปว่าเป็นบุตรด้วย
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องยืม ให้จำเลยรับผิดที่ผู้ตายกู้ยืมเงินของโจทก์ไปศาลแพ่งพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าเช็ค 2 ฉบับที่ผู้ตายสั่งจ่ายให้โจทก์มิใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมคดีถึงที่สุด โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เรื่องตั๋วเงิน ให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คที่ผู้ตายสั่งจ่ายไว้ดังนี้ สิทธิของโจทก์ที่อ้างตามฟ้องคดีนี้กับคดีก่อนไม่เหมือนกัน ประเด็นที่วินิจฉัยในคดีทั้งสองเรื่องก็อาศัยเหตุต่างกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ศาลได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดในฐานะที่เป็นผู้สืบสันดานและทายาทของผู้ตาย ดังนั้นความรับผิดของจำเลยแต่ละคนจึงจำกัดอยู่เพียงไม่เกินทรัพย์มรดกของผู้ตายที่ตนได้รับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1601 และ1738 วรรคสองอยู่แล้ว หาจำเป็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยซ้ำกับบทบัญญัติแห่งกฎหมายไม่ การที่โจทก์จะบังคับคดีเอาแก่ทายาทคนใดได้มากน้อยเพียงใด ย่อมเป็นไปตามกฎหมายและเป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวในชั้นบังคับคดีอีกส่วนหนึ่งต่างหาก ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันในชั้นนี้
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องยืม ให้จำเลยรับผิดที่ผู้ตายกู้ยืมเงินของโจทก์ไปศาลแพ่งพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าเช็ค 2 ฉบับที่ผู้ตายสั่งจ่ายให้โจทก์มิใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมคดีถึงที่สุด โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เรื่องตั๋วเงิน ให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คที่ผู้ตายสั่งจ่ายไว้ดังนี้ สิทธิของโจทก์ที่อ้างตามฟ้องคดีนี้กับคดีก่อนไม่เหมือนกัน ประเด็นที่วินิจฉัยในคดีทั้งสองเรื่องก็อาศัยเหตุต่างกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ศาลได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดในฐานะที่เป็นผู้สืบสันดานและทายาทของผู้ตาย ดังนั้นความรับผิดของจำเลยแต่ละคนจึงจำกัดอยู่เพียงไม่เกินทรัพย์มรดกของผู้ตายที่ตนได้รับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1601 และ1738 วรรคสองอยู่แล้ว หาจำเป็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยซ้ำกับบทบัญญัติแห่งกฎหมายไม่ การที่โจทก์จะบังคับคดีเอาแก่ทายาทคนใดได้มากน้อยเพียงใด ย่อมเป็นไปตามกฎหมายและเป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวในชั้นบังคับคดีอีกส่วนหนึ่งต่างหาก ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันในชั้นนี้