พบผลลัพธ์ทั้งหมด 764 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3252/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเกินคำขอในคดีขับไล่: ศาลยึดตามเจตนาของคู่ความ แม้เลขที่บ้านไม่ตรงกัน
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยโดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยปลูกบ้านเลขที่7/29 ลงบนที่ดินแปลงที่จำเลยเช่า ส่วนคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ขอให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 7 ออกไป ซึ่งแม้เลขที่บ้านจะไม่ตรงกับที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องก็ตาม แต่ไม่ปรากฏว่าบ้านที่จำเลยปลูกในที่ดินที่เช่านั้นมีหลังอื่นอีก จึงย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า บ้านที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องก็คือบ้านหลังที่โจทก์ขอให้จำเลยรื้อถอนออกไปตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ ทั้งการที่ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านที่ปลูกในที่ดินที่เช่าออกไปนั้น ไม่จำเป็นต้องระบุเลขที่บ้านก็มีผลบังคับได้อยู่แล้ว เพราะเมื่อจำเลยไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินที่เช่าแล้ว จำเลยก็ต้องขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยทั้งหมดออกไปรวมทั้งบ้านที่ปลูกไว้ด้วย ดังนั้นคำพิพากษาที่ให้รื้อบ้านเลขที่ 7/29 ของจำเลยออกไปจากที่ดินที่เช่าจึงหาเป็นการพิพากษาเกินคำขอไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3252/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินเช่า แม้เลขที่บ้านไม่ตรงตามคำฟ้อง ไม่ถือเป็นการพิพากษาเกินคำขอ
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยโดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยปลูกบ้านเลขที่7/29 ลงบนที่ดินแปลงที่จำเลยเช่า ส่วนคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ขอให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 7 ออกไป ซึ่งแม้เลขที่บ้านจะไม่ตรงกับที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องก็ตาม แต่ไม่ปรากฏว่าบ้านที่จำเลยปลูกในที่ดินที่เช่านั้นมีหลังอื่นอีก จึงย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าบ้านที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องก็คือบ้านหลังที่โจทก์ขอให้จำเลยรื้อถอนออกไปตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ ทั้งการที่ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านที่ปลูกในที่ดินที่เช่าออกไปนั้นไม่จำเป็นต้องระบุเลขที่บ้านก็มีผลบังคับได้อยู่แล้ว เพราะเมื่อจำเลยไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินที่เช่าแล้ว จำเลยก็ต้องขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยทั้งหมดออกไปรวมทั้งบ้านที่ปลูกไว้ด้วย ดังนั้นคำพิพากษาที่ให้รื้อบ้านเลขที่ 7/29 ของจำเลยออกไปจากที่ดินที่เช่าจึงหาเป็นการพิพากษาเกินคำขอไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3185/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องชำรุดบกพร่อง: จำเลยรับรองคุณภาพหม้อแปลงไฟฟ้า การฟ้องเรียกค่าซ่อมเป็นเรื่องชำรุดบกพร่อง ไม่ใช่ผิดสัญญา
การที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายที่โจทก์เสียไปในการซ่อมแซมหม้อแปลงไฟฟ้าที่จำเลยขายให้โจทก์ ซึ่งเกิดชำรุดขึ้นภายในระยะเวลาที่จำเลยจะต้องรับผิดชอบ เป็นการฟ้องจำเลยให้รับผิดเพื่อชำรุดบกพร่อง มิใช่เป็นการฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาซื้อขาย หรือเลิกสัญญากับจำเลยโจทก์จึงต้องฟ้องจำเลยภายใน 1 ปี นับแต่เวลาที่ได้พบเห็นความชำรุดบกพร่อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 474.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3185/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องชำรุดบกพร่อง: การฟ้องค่าซ่อมหม้อแปลงไฟฟ้าต้องฟ้องภายใน 1 ปีนับจากพบความชำรุด
การที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายที่โจทก์เสียไปในการซ่อมแซมหม้อแปลงไฟฟ้าที่จำเลยขายให้โจทก์ ซึ่งเกิดชำรุดขึ้นภายในระยะเวลาที่จำเลยจะต้องรับผิดชอบ เป็นการฟ้องจำเลยให้รับผิดเพื่อชำรุดบกพร่อง มิใช่เป็นการฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาซื้อขาย หรือเลิกสัญญากับจำเลย โจทก์จึงต้องฟ้องจำเลยภายใน 1 ปี นับแต่เวลาที่ได้พบเห็นความชำรุดบกพร่อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 474
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2557/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พรากเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี เพื่อการอนาจาร: การกระทำข่มขืนใจ พาไปในที่เปลี่ยว และมีเจตนาไม่ชอบ
ผู้เสียหายเป็นเด็กผู้หญิงอายุไม่เกิน 13 ปี นั่งรถโดยสารของจำเลยกลับบ้าน เมื่อจำเลยขับรถมาถึงปากซอยเข้าบ้านผู้เสียหาย ผู้เสียหายบอกให้จำเลยจอดรถเพื่อจะลง จำเลยไม่ยอมจอดรถให้ผู้เสียหายลง กลับขับรถที่มีแต่ผู้เสียหายนั่งอยู่ตามลำพังกับจำเลยไปในสถานที่เปลี่ยวซึ่งไม่ปรากฏว่ามีบ้านผู้ใดปลูกอยู่อาศัยบริเวณข้างทางเลย ทั้งสองข้างทางก็เป็นที่รกเต็มไปด้วยต้นไม้ต่าง ๆ และพูดขอดูอวัยวะเพศของผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายกระโดดลงจากรถของจำเลย จำเลยยังขับรถแล่นไล่ตามดักหน้าดักหลังผู้เสียหาย พฤติการณ์ของจำเลยเป็นการข่มขืนใจและพาผู้เสียหายไปโดยความไม่สมัครใจของผู้เสียหาย เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2557/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พรากเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี เพื่อการอนาจาร: การกระทำข่มขืนใจ พาไปที่เปลี่ยว และพฤติการณ์ไม่สมเหตุสมผล
ผู้เสียหายเป็นเด็กผู้หญิงอายุไม่เกิน 13 ปี นั่งรถโดยสารของจำเลยกลับบ้าน เมื่อจำเลยขับรถมาถึงปากซอยเข้าบ้านผู้เสียหายผู้เสียหายบอกให้จำเลยจอดรถเพื่อจะลง จำเลยไม่ยอมจอดรถให้ผู้เสียหายลง กลับขับรถที่มีแต่ผู้เสียหายนั่งอยู่ตามลำพังกับจำเลยไปในสถานที่เปลี่ยวซึ่งไม่ปรากฏว่ามีบ้านผู้ใดปลูกอยู่อาศัยบริเวณข้างทางเลยทั้งสองข้างทางก็เป็นที่รกเต็มไปด้วยต้นไม้ต่าง ๆ และพูดขอดูอวัยวะเพศของผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายกระโดดลงจากรถของจำเลยจำเลยยังขับรถแล่นไล่ตามดักหน้าดักหลังผู้เสียหาย พฤติการณ์ของจำเลยเป็นการข่มขืนใจและพาผู้เสียหายไปโดยความไม่สมัครใจของผู้เสียหาย เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2446/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอคืนของกลาง: เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง & การใช้ยานพาหนะในการกระทำผิด
ในชั้นขอคืนของกลางตาม ป.อ. มาตรา 36 ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีเพียงว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของแท้จริง และมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดเท่านั้นเมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่ารถจักรยานยนต์ของกลางเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดผู้ร้องที่ 2 ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ได้ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงประกอบคำรับสารภาพของผู้ร้องที่ 2 ได้ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงประกอบคำรับสารภาพของผู้ร้องที่ 2 ว่ารถจักรยานยนต์ของกลางเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิดซึ่งต้องริบตาม ป.อ. มาตรา33(1) ผู้ร้องที่ 2 มิได้อุทธรณ์ ดังนี้ ข้อเท็จจริงต้องฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ผู้ร้องจะยกขึ้นโต้เถียงในชั้นขอคืนของกลางอีกไม่ได้.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2360/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: การบุกรุกและทำร้ายร่างกายในคราวเดียวกัน
จำเลยเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายแล้วใช้กำลังทำร้ายผู้เสียหายทันทีเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องในคราวเดียวกันและจำเลยมีเจตนาเข้าไปเพื่อจะกระทำร้ายผู้เสียหาย ดังนี้จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2298/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บันดาลโทสะจากการถูกยิงก่อน: การกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าและเหตุลดโทษ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 เสพสุราอยู่ในลักษณะมึนเมาและอาจจะมีเหตุกินใจกันมาก่อน จำเลยที่ 1 ได้ใช้อาวุธปืนยิงจำเลยที่ 2 ได้รับบาดเจ็บ จำเลยที่ 2 จึงยิงจำเลยที่ 1 เป็นการแก้แค้น การกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนตามกฎหมาย แต่การที่จำเลยที่ 2 ถูกจำเลยที่ 1 ยิงก่อนถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2298/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บันดาลโทสะจากการถูกยิงก่อน: การกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
จำเลยที่ 1 ที่ 2 เสพสุราอยู่ในลักษณะมึนเมาและอาจจะมีเหตุกินใจกันมาก่อน จำเลยที่ 1 ได้ใช้อาวุธปืนยิงจำเลยที่ 2 ได้รับบาดเจ็บจำเลยที่ 2 จึงยิงจำเลยที่ 1 เป็นการแก้แค้น การกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนตามกฎหมาย แต่การที่จำเลยที่ 2 ถูกจำเลยที่ 1 ยิงก่อนถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมการกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72.