พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,129 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 297/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีจึงไม่สามารถนำมาฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่า จำเลยที่ 1 เอานาฬิกาของโจทก์ไปโดยโจทก์ยินยอม ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โดยฟังว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอรับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้าย แต่เป็นเรื่องจำเลยที่ 1 เอานาฬิกาจากร้านโจทก์ไปเพราะได้ติดต่อกับพี่ชายโจทก์ไว้ เช่นนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220โจทก์ฎีกาว่าจำเลยเจตนาเอาทรัพย์ของโจทก์ไปเป็นประโยชน์ส่วนตนและข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ซื้อนาฬิกาโดยติดต่อกับพี่ชายโจทก์ซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงฎีกาไม่ได้.(ที่มา-เนติ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 288/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จิตบกพร่อง/จิตฟั่นเฟือน และความรับผิดทางอาญา: การกระทำโดยไม่สามารถรู้ผิดชอบ
แม้จะไม่ปรากฏว่าได้มีการส่งตัวจำเลยไปให้จิตแพทย์ตรวจและลงความเห็น แต่พฤติการณ์ของจำเลยแสดงให้เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำของผู้ที่มีจิตบกพร่อง และได้กระทำไปขณะที่จำเลยไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้เพราะจิตบกพร่องหรือจิตฟั่นเฟือนแม้การที่จำเลยมีจิตบกพร่องหรือจิตฟั่นเฟือนนั้นจะไม่เป็นอยู่ตลอดเวลาจำเลยก็ไม่ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65.(ที่มา-เนติ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 258/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขาย vs. รับจ้างทำของ: การผลิตอิฐทนไฟตามสั่งพิจารณาจากความสำคัญของวัตถุดิบและงานสำเร็จ
ข้อแตกต่างระหว่างการซื้อขายและการรับจ้างทำของนั้นหาได้อยู่ที่เจตนาและกิริยาของคู่กรณีที่ประพฤติต่อกันแต่ประการเดียวไม่แต่ความสำคัญอยู่ที่จะต้องพิจารณาว่าสัมภาระกับงานที่รับทำจนสำเร็จนั้นสิ่งไหนสำคัญกว่ากัน ถ้า การงานที่รับทำจนสำเร็จสำคัญกว่าสัมภาระก็เป็นการรับจ้างทำของ แต่ถ้า ไม่สำคัญกว่าก็เป็นการซื้อขาย การผลิตอิฐทนไฟไม่ว่าจะเป็นการผลิตตามแบบมาตรฐานหรือผลิตตามคำสั่งเป็นการเฉพาะรายของโจทก์นั้น วัตถุดิบหรือสัมภาระที่ใช้ในการทำอิฐ ทน ไฟ ได้แก่ บล๊อกไซด์ชามอสอลูมิน่า ดิน ทนไฟ นำมาผสมกันเติม ด้วยสารเคมี แล้วนำไปอัดเป็นรูปแบบต่าง ๆ จากนั้นจึงนำไปเผาไฟ อิฐทนไฟที่ผลิตได้หาได้มีความสำคัญไปกว่าสัมภาระหรือวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิตไม่ การผลิตอิฐทนไฟตามคำสั่งเฉพาะรายของลูกค้าจึงหาใช่เป็นการรับจ้างทำของไม่ แต่เป็นการผลิตและจำหน่ายอิฐทนไฟเช่นเดียวกันอิฐทนไฟแบบมาตรฐานรายรับที่ได้จากการผลิตและจำหน่ายอิฐทนไฟตามคำสั่งของลูกค้าเป็นการเฉพาะรายจึงต้องเสียภาษีการค้าในประเภทการค้า 1.การขายของ ชนิด 1(ก) ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 7 เช่นเดียวกับการผลิตและจำหน่ายอิฐทนไฟแบบมาตรฐาน จะนำมาแยกเสียภาษีการค้าในประเภทการค้า4. การรับจ้างทำของ ชนิด 1(ฉ) ในอัตราร้อยละ 2 หาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 258/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขาย vs. รับจ้างทำของ: การผลิตอิฐทนไฟตามสั่งเสียภาษีการค้าประเภทใด
ข้อแตกต่างระหว่างการซื้อขายและการรับจ้างทำของนั้นหาได้อยู่ที่เจตนาและกริยาของคู่กรณีที่ประพฤติต่อกันแต่ประการเดียวไม่ แต่ความสำคัญอยู่ที่ว่า สัมภาระกับการงานที่รับทำจนสำเร็จนั้นสิ่งไหนสำคัญกว่ากัน ถ้าการงานที่รับทำจนสำเร็จสำคัญกว่าสัมภาระก็เป็นรับจ้างทำของ แต่ถ้าไม่สำคัญกว่าก็เป็นการซื้อขาย
การผลิตอิฐทนไฟไม่ว่าจะเป็นการผลิตแบบมาตรฐานหรือผลิตตามคำสั่งเป็นการเฉพาะราย วัตถุดิบหรือสัมภาระที่ใช้ได้แก่บล๊อกไซด์ ชามอส อลูมิน่า ดินทนไฟ นำมาผสมกัน เติมด้วยสารเคมีแล้วนาไปอัดเป็นรูปแบบต่าง ๆ จากนั้นจึงนำไปเผาไฟ จึงเห็นได้ว่าอิฐทนไฟที่ผลิตหาได้มีความสำคัญไปกว่าสัมภาระหรือวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิตไม่ การผลิตอิฐทนไฟตามคำสั่งเฉพาะรายของลูกค้าจึงมิใช่เป็นการรับจ้างทำของ แต่เป็นการผลิตและจำหน่ายอิฐทนไฟเช่นเดียวกับอิฐทนไฟแบบมาตรฐานนั่นเอง ดังนั้นรายรับที่ได้จากการผลิตและจำหน่ายอิฐทนไฟตามคำสั่งของลูกค้าเป็นการเฉพาะราย จึงต้องเสียภาษีการค้าในประเภทการค้า 1.การขายของ ชนิด 1 (ก) ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 7 เช่นเดียวกับรายรับที่ได้จากการผลิตและจำหน่ายอิฐทนไฟแบบมาตรฐาน มิใช่เสียภาษีการค้าในประเภทการค้า 4.การรับจ้างทำของ ชนิด 1 (ฉ) ในอัตราร้อยละ 2
การผลิตอิฐทนไฟไม่ว่าจะเป็นการผลิตแบบมาตรฐานหรือผลิตตามคำสั่งเป็นการเฉพาะราย วัตถุดิบหรือสัมภาระที่ใช้ได้แก่บล๊อกไซด์ ชามอส อลูมิน่า ดินทนไฟ นำมาผสมกัน เติมด้วยสารเคมีแล้วนาไปอัดเป็นรูปแบบต่าง ๆ จากนั้นจึงนำไปเผาไฟ จึงเห็นได้ว่าอิฐทนไฟที่ผลิตหาได้มีความสำคัญไปกว่าสัมภาระหรือวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิตไม่ การผลิตอิฐทนไฟตามคำสั่งเฉพาะรายของลูกค้าจึงมิใช่เป็นการรับจ้างทำของ แต่เป็นการผลิตและจำหน่ายอิฐทนไฟเช่นเดียวกับอิฐทนไฟแบบมาตรฐานนั่นเอง ดังนั้นรายรับที่ได้จากการผลิตและจำหน่ายอิฐทนไฟตามคำสั่งของลูกค้าเป็นการเฉพาะราย จึงต้องเสียภาษีการค้าในประเภทการค้า 1.การขายของ ชนิด 1 (ก) ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 7 เช่นเดียวกับรายรับที่ได้จากการผลิตและจำหน่ายอิฐทนไฟแบบมาตรฐาน มิใช่เสียภาษีการค้าในประเภทการค้า 4.การรับจ้างทำของ ชนิด 1 (ฉ) ในอัตราร้อยละ 2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 258/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขาย vs. รับจ้างทำของ: การพิจารณาจากความสำคัญของวัตถุดิบและผลงานสำเร็จ
ข้อแตกต่างระหว่างการซื้อขายและการรับจ้างทำของนั้นหาได้อยู่ที่เจตนาและกริยาของคู่กรณีที่ประพฤติต่อกันแต่ประการเดียวไม่ แต่ความสำคัญอยู่ที่ว่า สัมภาระกับการงานที่รับทำจนสำเร็จนั้นสิ่งไหนสำคัญกว่ากัน ถ้าการงานที่รับทำจนสำเร็จสำคัญกว่าสัมภาระก็เป็นรับจ้างทำของ แต่ถ้าไม่สำคัญกว่าก็เป็นการซื้อขาย
การผลิตอิฐทนไฟไม่ว่าจะเป็นการผลิตแบบมาตรฐานหรือผลิตตามคำสั่งเป็นการเฉพาะราย วัตถุดิบหรือสัมภาระที่ใช้ได้แก่บล๊อกไซด์ชามอสอลูมิน่า ดินทนไฟ นำมาผสมกัน เติมด้วยสารเคมีแล้วนาไปอัดเป็นรูปแบบต่าง ๆ จากนั้นจึงนำไปเผาไฟ จึงเห็นได้ว่าอิฐทนไฟที่ผลิตหาได้มีความสำคัญไปกว่าสัมภาระหรือวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิตไม่ การผลิตอิฐทนไฟตามคำสั่งเฉพาะรายของลูกค้าจึงมิใช่เป็นการรับจ้างทำของ แต่เป็นการผลิตและจำหน่ายอิฐทนไฟเช่นเดียวกับอิฐทนไฟแบบมาตรฐานนั่นเองดังนั้นรายรับที่ได้จากการผลิตและจำหน่ายอิฐทนไฟตามคำสั่งของลูกค้าเป็นการเฉพาะราย จึงต้องเสียภาษีการค้าในประเภทการค้า 1.การขายของ ชนิด 1(ก) ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 7 เช่นเดียวกับรายรับที่ได้จากการผลิตและจำหน่ายอิฐทนไฟแบบมาตรฐาน มิใช่เสียภาษีการค้าในประเภทการค้า 4.การรับจ้างทำของ ชนิด 1(ฉ) ในอัตราร้อยละ 2.
การผลิตอิฐทนไฟไม่ว่าจะเป็นการผลิตแบบมาตรฐานหรือผลิตตามคำสั่งเป็นการเฉพาะราย วัตถุดิบหรือสัมภาระที่ใช้ได้แก่บล๊อกไซด์ชามอสอลูมิน่า ดินทนไฟ นำมาผสมกัน เติมด้วยสารเคมีแล้วนาไปอัดเป็นรูปแบบต่าง ๆ จากนั้นจึงนำไปเผาไฟ จึงเห็นได้ว่าอิฐทนไฟที่ผลิตหาได้มีความสำคัญไปกว่าสัมภาระหรือวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิตไม่ การผลิตอิฐทนไฟตามคำสั่งเฉพาะรายของลูกค้าจึงมิใช่เป็นการรับจ้างทำของ แต่เป็นการผลิตและจำหน่ายอิฐทนไฟเช่นเดียวกับอิฐทนไฟแบบมาตรฐานนั่นเองดังนั้นรายรับที่ได้จากการผลิตและจำหน่ายอิฐทนไฟตามคำสั่งของลูกค้าเป็นการเฉพาะราย จึงต้องเสียภาษีการค้าในประเภทการค้า 1.การขายของ ชนิด 1(ก) ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 7 เช่นเดียวกับรายรับที่ได้จากการผลิตและจำหน่ายอิฐทนไฟแบบมาตรฐาน มิใช่เสียภาษีการค้าในประเภทการค้า 4.การรับจ้างทำของ ชนิด 1(ฉ) ในอัตราร้อยละ 2.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 241/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาษีเงินเพิ่มและการเรียกดอกเบี้ยระหว่างผิดนัด: กฎหมายเฉพาะคุ้มครองลูกหนี้จากการเรียกร้องซ้ำซ้อน
ป. รัษฎากร มาตรา 89 ทวิ ได้บัญญัติให้เรียกเงินเพิ่มภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนของจำนวนภาษีการค้าที่ต้องชำระเพิ่ม แต่ทั้งนี้ไม่เกินจำนวนภาษีการค้าที่ต้องชำระ เป็นทางแก้ สำหรับกรณีลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ภาษีที่ค้างชำระไว้โดยเฉพาะแล้ว จะนำ ป.พ.พ. มาตรา 224 ว่าด้วยดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดมาเรียกร้องเอากับลูกหนี้ซ้ำอีกหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 215/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาบุกรุกที่สาธารณะ: การทำนาโดยได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการหมู่บ้าน ไม่ถือเป็นเจตนาบุกรุก
จำเลยเข้าทำนาและกั้นรั้วในถนนสาธารณประโยชน์ เนื่องจากคณะกรรมการพัฒนาหมู่บ้านได้ขอตัดถนนสายใหม่ผ่านกลางที่นาของสามีจำเลย คณะกรรมการดังกล่าวมิได้จ่ายค่าทดแทนที่ดินให้จึงให้สามีจำเลยและจำเลยทำนาในที่ดินส่วนหนึ่งของถนนสาธารณประโยชน์สายเก่าแทน เช่นนี้ การที่จำเลยเข้าทำนาในที่พิพาทโดยความยินยอมของคณะกรรมการดังกล่าวมิได้กระทำไปโดยเจตนาที่จะบุกรุกที่ดินอันเป็นสาธารณประโยชน์ แม้ต่อมาจำเลยจะทราบจากผู้ใหญ่บ้านว่าที่ดินส่วนที่จำเลยทำนาเป็นถนนสาธารณสมบัติของแผ่นดินก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาบุกรุกเพราะจำเลยเข้าใจมาแต่ต้นว่าจำเลยมีสิทธิที่จะทำนาในที่ดินส่วนนั้นได้.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 205/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่อสู้คดีเช็คโดยอ้างว่าดอกเบี้ยเกินกฎหมาย ศาลต้องสืบพยานเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่าเช็คที่โจทก์นำมาฟ้องเกิดจากมูลหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยรวมเอาดอกเบี้ยที่เรียกเกินกฎหมายไว้ด้วยจำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ซึ่งจะถือว่าจำเลยที่ 3 รับตามฟ้องไม่ได้ แม้โจทก์จะได้ส่งคำเบิกความของโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องในคดีอาญาต่อศาลเพื่อแสดงว่า กรณีเป็นเรื่องที่จำเลยออกเช็คพิพาทแล้วนำไปแลกเงินสด การเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราจึงไม่เป็นการต้องห้ามเพราะไม่ใช่เรื่องกู้ยืมเงินก็เป็นเพียงคำบอกเล่า ศาลชอบที่จะให้โจทก์นำสืบให้ได้ความตามฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์จึงไม่ชอบ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 205/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่อสู้คดีเช็คพิพาทเรื่องดอกเบี้ยเกินกฎหมาย ศาลต้องสืบพยานเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงก่อนพิพากษา
จำเลยที่ 1 ที่ 1 ที่ 2 ให้การว่าเช็คที่โจทก์นำมาฟ้องเกิดจากมูลหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยรวมเอาดอกเบี้ยที่เรียกเกินกฎหมายไว้ด้วยจำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาซึ่งจะถือว่าจำเลยที่ 3 รับตามฟ้องไม่ได้ แม้โจทก์จะได้ส่งคำเบิกความของโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องในคดีอาญาต่อศาลเพื่อแสดงว่า กรณีเป็นเรื่องที่จำเลยออกเช็คพิพาทแล้วนำไปแลกเงินสด การเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราจึงไม่เป็นการต้องห้ามเพราะไม่ใช่เรื่องกู้ยืมเงินก็เป็นเพียงคำบอกเล่า ศาลชอบที่จะให้โจทก์นำสืบให้ได้ความตามฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์จึงไม่ชอบ.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 138/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดอกเบี้ยเงินภาษีอากรคืน: ศาลฎีกาวินิจฉัยให้คิดดอกเบี้ยตาม พ.ร.บ.ศุลกากร ตั้งแต่วันชำระอากร ไม่ใช่วันฟ้อง
พระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 มาตรา 112 จัตวา วรรคสี่แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่ามุ่งประสงค์จะให้ผู้มีสิทธิรับเงินอากรคืนเพราะเหตุที่ได้ชำระไว้เกินจำนวนอันพึงต้องเสียหรือเสียเพิ่ม ได้รับดอกเบี้ยของเงินที่จะได้รับคืนในอัตราร้อยละ 0.625 ต่อเดือน หรือร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินที่จะได้รับคืนนับตั้งแต่วันที่ได้ชำระค่าอากรนั้น หาใช่นับตั้งแต่วันฟ้องไม่กรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระราชบัญญัติศุลกากรโดยเฉพาะ จึงจะนำบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 224 ว่าด้วยผิดนัดมาใช้บังคับมิได้.