พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,129 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4719/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขยายเวลาชำระภาษี การยื่นแบบเกินกำหนด และข้อยกเว้นภาษีจากทรัพย์สินที่ไม่ใช่การค้า
แถลงการณ์กระทรวงการคลัง เรื่องเปิดโอกาสให้เสียภาษีอากรเพิ่มเติม ลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2525 มีความประสงค์ที่จะขยายเวลาชำระภาษีอากร โดยเปิดโอกาสให้ผู้ที่มิได้ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษี หรือยื่น แบบแสดงรายการไว้ไม่ถูกต้องครบถ้วน หรือมิได้หักภาษีไว้ ณ ที่จ่าย หรือหักไว้ไม่ครบถ้วน ได้มายื่นชำระภาษีอากรหรือเสียภาษีอากรเพิ่มเติม หรือนำส่งภาษีให้ถูกต้องครบถ้วน โดยไม่ต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มใด ๆ ทั้งสิ้น จากข้อความที่ว่า ไม่ต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มนั้นแสดงอยู่ในตัว ว่าในขณะที่กระทรวงการคลังออกแถลงการณ์ ได้ล่วงเลยกำหนดเวลาชำระ ภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรมาแล้ว แต่ผู้ต้องเสียภาษีอากรยังมิได้ ยื่นแบบแสดงรายการ หรือยื่นแบบแสดงรายการไว้ไม่ถูกต้องครบถ้วน หรือ มิได้หักภาษีไว้ ณ ที่จ่าย โดยระบุว่าการขยายเวลานั้นไม่รวมถึงภาษีอากร ที่ต้องเสียหรือนำส่งที่ถึงกำหนดเวลาเสียหรือนำส่งตามปกติในหรือ หลังวันที่ที่ลงในแถลงการณ์ แสดงว่าแถลงการณ์กระทรวงการคลัง ที่ ขยายเวลาออกไปถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2525 นั้นไม่รวมถึงการเสีย ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้พึงประเมินประจำปี 2524 ที่ต้อง ยื่นรายการภายในวันที่ 31 มีนาคม 2525 ดังนี้การที่โจทก์ขายที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไรเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2524 แต่โจทก์มิได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2525 ตามมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์เพิ่งมายื่นแบบแสดงรายการ ภาษีเงินได้เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2525 ซึ่งล่วงเลยเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ โจทก์จึงไม่อยู่ในข่ายที่จะได้รับประโยชน์จากแถลงการณ์กระทรวงการคลัง ฉบับดังกล่าวและไม่ได้รับยกเว้น ภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(9)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4719/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขยายเวลาชำระภาษีสรรพากร: กรณีผู้ยื่นภาษีล่าช้าหลังกำหนด และผลกระทบต่อการได้รับการยกเว้นภาษี
แถลงการณ์กระทรวงการคลัง เรื่องเปิดโอกาสให้เสียภาษีอากรเพิ่มเติม ลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2525 มีความประสงค์ที่จะขยายเวลาชำระภาษีอากร โดยเปิดโอกาสให้ผู้ที่มิได้ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษี หรือยื่นแบบแสดงรายการไว้ไม่ถูกต้องครบถ้วน หรือมิได้หักภาษีไว้ ณ ที่จ่าย หรือหักไว้ไม่ครบถ้วน ได้มายื่นชำระภาษีอากรหรือเสียภาษีอากรเพิ่มเติม หรือนำส่งภาษีให้ถูกต้องครบถ้วน โดยไม่ต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มใด ๆ ทั้งสิ้น จากข้อความที่ว่า ไม่ต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มนั้น แสดงอยู่ในตัวว่าในขณะที่กระทรวงการคลังออกแถลงการณ์ ได้ล่วงเลยกำหนดเวลาชำระภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรมาแล้ว แต่ผู้ต้องเสียภาษีอากรยังมิได้ ยื่นแบบแสดงรายการ หรือยื่นแบบแสดงรายการไว้ไม่ถูกต้องครบถ้วน หรือ มิได้หักภาษีไว้ ณ ที่จ่าย โดยระบุว่าการขยายเวลานั้นไม่รวมถึงภาษีอากรที่ต้องเสียหรือนำส่งที่ถึงกำหนดเวลาเสียหรือนำส่งตามปกติในหรือหลังวันที่ที่ลงในแถลงการณ์ แสดงว่าแถลงการณ์กระทรวงการคลังที่ขยายเวลาออกไปถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2525 นั้นไม่รวมถึงการเสีย ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้พึงประเมินประจำปี 2524 ที่ต้องยื่นรายการภายในวันที่ 31 มีนาคม 2525 ดังนี้การที่โจทก์ขายที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไรเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2524 แต่โจทก์มิได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2525 ตามมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์เพิ่งมายื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2525 ซึ่งล่วงเลยเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ โจทก์จึงไม่อยู่ในข่ายที่จะได้รับประโยชน์จากแถลงการณ์กระทรวงการคลังฉบับดังกล่าว และไม่ได้รับยกเว้น ภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(9)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4706/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินเช่าเพื่อทำนา แม้มีส่วนปลูกบ้านก็ยังคงเป็นที่นาตามกฎหมายเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ที่ดินส่วนที่จำเลยใช้ในการปลูกบ้านนั้น เป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน แปลงที่จำเลยเช่าเพื่อทำนา ดังนั้นที่ดินที่จำเลยใช้ในการปลูกบ้าน จึงยังคงเป็นที่นาอยู่หาได้เปลี่ยนสภาพจากที่นามาเป็นที่อยู่อาศัยไม่ ที่ดินที่เช่าเพื่อการทำนานั้นถือได้ว่าเป็นที่นาทั้งแปลงไม่ว่าส่วนหนึ่งส่วนใด ของที่ดินจะใช้เป็นที่ปลูกบ้านหรือไม่
ตามคำนิยาม 'นา' ในพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524 มาตรา 21 ก็ให้หมายความว่า'ที่ดินที่เช่าเพื่อทำนาทั้งหมด หรือเป็นส่วนใหญ่' ซึ่งแสดงว่าที่นานั้นไม่จำเป็นต้องใช้ในการทำนา ทั้งแปลงที่ดินส่วนที่ไม่ได้ใช้ทำนาก็ยังคงเป็นที่นาอยู่
ตามคำนิยาม 'นา' ในพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524 มาตรา 21 ก็ให้หมายความว่า'ที่ดินที่เช่าเพื่อทำนาทั้งหมด หรือเป็นส่วนใหญ่' ซึ่งแสดงว่าที่นานั้นไม่จำเป็นต้องใช้ในการทำนา ทั้งแปลงที่ดินส่วนที่ไม่ได้ใช้ทำนาก็ยังคงเป็นที่นาอยู่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4706/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินเช่าทำนา แม้มีส่วนปลูกบ้าน ก็ยังคงเป็นที่นาตาม พ.ร.บ.เช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ที่ดินส่วนที่จำเลยใช้ในการปลูกบ้านนั้น เป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน แปลงที่จำเลยเช่าเพื่อทำนา ดังนั้นที่ดินที่จำเลยใช้ในการปลูกบ้าน จึงยังคงเป็นที่นาอยู่หาได้เปลี่ยนสภาพจากที่นามาเป็นที่อยู่อาศัยไม่ ที่ดินที่เช่าเพื่อการทำนานั้นถือได้ว่าเป็นที่นาทั้งแปลงไม่ว่าส่วนหนึ่งส่วนใดของที่ดินจะใช้เป็นที่ปลูกบ้านหรือไม่
ตามคำนิยาม 'นา' ในพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 21 ก็ให้หมายความว่า'ที่ดินที่เช่าเพื่อทำนาทั้งหมดหรือเป็นส่วนใหญ่' ซึ่งแสดงว่าที่นานั้นไม่จำเป็นต้องใช้ในการทำนา ทั้งแปลงที่ดินส่วนที่ไม่ได้ใช้ทำนาก็ยังคงเป็นที่นาอยู่
ตามคำนิยาม 'นา' ในพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 21 ก็ให้หมายความว่า'ที่ดินที่เช่าเพื่อทำนาทั้งหมดหรือเป็นส่วนใหญ่' ซึ่งแสดงว่าที่นานั้นไม่จำเป็นต้องใช้ในการทำนา ทั้งแปลงที่ดินส่วนที่ไม่ได้ใช้ทำนาก็ยังคงเป็นที่นาอยู่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4706/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินเช่าเพื่อทำนา แม้ส่วนหนึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัย ยังคงเป็นที่นาตามกฎหมายเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ที่ดินส่วนที่จำเลยใช้ในการปลูกบ้านนั้นเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงที่จำเลยเช่าเพื่อทำนาดังนั้นที่ดินที่จำเลยใช้ในการปลูกบ้านจึงยังคงเป็นที่นาอยู่หาได้เปลี่ยนสภาพจากที่นามาเป็นที่อยู่อาศัยไม่ที่ดินที่เช่าเพื่อการทำนานั้นถือได้ว่าเป็นที่นาทั้งแปลงไม่ว่าส่วนหนึ่งส่วนใดของที่ดินจะใช้เป็นที่ปลูกบ้านหรือไม่ ตามคำนิยาม'นา'ในพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา21ก็ให้หมายความว่า'ที่ดินที่เช่าเพื่อทำนาทั้งหมดหรือเป็นส่วนใหญ่'ซึ่งแสดงว่าที่นานั้นไม่จำเป็นต้องใช้ในการทำนาทั้งแปลงที่ดินส่วนที่ไม่ได้ใช้ทำนาก็ยังคงเป็นที่นาอยู่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4647/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบ ผู้ร้องต้องพิสูจน์ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด
การร้องขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 มาตรา 154 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 นั้น ผู้ร้องขอคืนของกลาง มีหน้าที่พิสูจน์ว่าตนมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4647/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ขอคืนของกลางที่ถูกริบจากการกระทำผิดแร่ ผู้ขอต้องพิสูจน์ว่าไม่มีส่วนรู้เห็น
การร้องขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบตามพระราชบัญญัติแร่พ.ศ.2510 มาตรา 154 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา36นั้นผู้ร้องขอคืนของกลาง มีหน้าที่พิสูจน์ว่าตนมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4647/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ร้องขอคืนของกลางที่ถูกริบจากความผิดของผู้อื่น
การร้องขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบตามพระราชบัญญัติแร่พ.ศ.2510มาตรา154และประมวลกฎหมายอาญามาตรา36นั้นผู้ร้องขอคืนของกลางมีหน้าที่พิสูจน์ว่าตนมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4613/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาแก้โทษจำคุกและรอการลงโทษ ไม่ถือเป็นคดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย3เดือนศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าลงโทษจำคุก1ปี6เดือนและให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด2ปีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา56ดังนี้ถือไม่ได้ว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเกินหนึ่งปีเป็นคดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา219.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4613/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์โทษจำคุกและการรอการลงโทษ ศาลฎีกาตัดสินว่าคดีนี้ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย 3 เดือน ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือนและให้รอการลงโทษไว้ มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเกินหนึ่งปี เป็นคดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219