คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชูเชิด รักตะบุตร์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,129 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4225/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเรียกดอกเบี้ยเงินเพิ่มภาษี: กฎหมายภาษีอากรได้กำหนดโทษปรับ (เงินเพิ่ม) เพียงอย่างเดียว ไม่อำนวยสิทธิให้เรียกดอกเบี้ยเพิ่มได้
ประมวลรัษฎากรมาตรา89ทวิที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นบัญญัติให้ผู้ประกอบการค้าที่ไม่ชำระภาษีให้เสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ1ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระและกำหนดไว้ด้วยว่าเงินเพิ่มดังกล่าวต้องไม่เกินกว่าจำนวนภาษีที่ต้องชำระจึงแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่ากฎหมายได้บัญญัติทางแก้สำหรับกรณีลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ค่าภาษีการค้าที่ค้างไว้โดยเฉพาะแล้วจะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา224ว่าด้วยดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดมาเรียกร้องเอากับลูกหนี้ซ้ำอีกไม่ได้ลูกหนี้จึงไม่ต้องเสียดอกเบี้ยของเงินเพิ่มสำหรับภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4176/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญชาติไทยโดยการเกิดนอกราชอาณาจักร และการฟ้องแย้งสิทธิโดยไม่ต้องพิสูจน์สัญชาติก่อน
บุคคลผู้เกิดนอกราชอาณาจักรไทยโดยมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทยส่วนบิดามิใช่บิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ปรากฏว่าบิดามีสัญชาติใด บุคคลนั้นย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 7(2)
โจทก์ติดต่อให้จำเลยจดแจ้งชื่อโจทก์ซึ่งเป็นคนมีสัญชาติไทยลงในทะเบียนบ้านแล้ว จำเลยปฏิเสธอ้างว่าโจทก์เป็นคนมีสัญชาติลาว ดังนี้เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้ว
ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 57 กำหนดให้ผู้ซึ่งประสงค์ขอพิสูจน์สัญชาติไทยปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนเมื่อไม่พอใจคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่จะร้องขอต่อศาลให้พิจารณาก็ได้ แต่กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ มิใช่การร้องขอต่อศาลให้พิจารณาเกี่ยวกับการพิสูจน์สัญชาติ หากแต่เป็นการฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ต่อศาล จึงไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนดังนี้โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4176/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญชาติไทยโดยการเกิดนอกราชอาณาจักรและการพิสูจน์สัญชาติเมื่อถูกโต้แย้งสิทธิ
บุคคลผู้เกิดนอกราชอาณาจักรไทยโดยมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทยส่วนบิดามิใช่บิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ปรากฏว่าบิดามีสัญชาติใด บุคคลนั้นย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 7 (2)
โจทก์ติดต่อให้จำเลยจดแจ้งชื่อโจทก์ซึ่งเป็นคนมีสัญชาติไทยลงในทะเบียนบ้านแล้ว จำเลยปฏิเสธอ้างว่าโจทก์เป็นคนมีสัญชาติลาว ดังนี้เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้ว
ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 57 กำหนดให้ผู้ซึ่งประสงค์ขอพิสูจน์สัญชาติไทยปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อน เมื่อไม่พอใจคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่จะร้องขอต่อศาลให้พิจารณาก็ได้ แต่กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ มิใช่การร้องขอต่อศาลให้พิจารณาเกี่ยวกับการพิสูจน์สัญชาติ หากแต่เป็นการฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ต่อศาล จึงไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อน ดังนี้โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4176/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญชาติไทยโดยการเกิดและการโต้แย้งสิทธิ การฟ้องจำเลยนายทะเบียนราษฎรโดยไม่ต้องพิสูจน์สัญชาติก่อน
บุคคลผู้เกิดนอกราชอาณาจักรไทยโดยมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทยส่วนบิดามิใช่บิดาที่ชอบด้วยกฎหมายและไม่ปรากฏว่าบิดามีสัญชาติใดบุคคลนั้นย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามพระราชบัญญัติสัญชาติพ.ศ.2508มาตรา7(2) โจทก์ติดต่อให้จำเลยจดแจ้งชื่อโจทก์ซึ่งเป็นคนมีสัญชาติไทยลงในทะเบียนบ้านแล้วจำเลยปฏิเสธอ้างว่าโจทก์เป็นคนมีสัญชาติลาวดังนี้เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้ว ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองพ.ศ.2522มาตรา57กำหนดให้ผู้ซึ่งประสงค์ขอพิสูจน์สัญชาติไทยปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนเมื่อไม่พอใจคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่จะร้องขอต่อศาลให้พิจารณาก็ได้แต่กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้มิใช่การร้องขอต่อศาลให้พิจารณาเกี่ยวกับการพิสูจน์สัญชาติหากแต่เป็นการฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ต่อศาลจึงไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนดังนี้โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4140/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจผู้จัดการมรดกในการฟ้องสิทธิเรียกร้องนอกพินัยกรรม และการซื้อขายโบราณวัตถุ
อำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1719 ไม่ได้จำกัดแต่เฉพาะทรัพย์ที่กำหนดไว้ในพินัยกรรมเท่านั้นทรัพย์มรดกในส่วนที่มิได้จำหน่ายโดยพินัยกรรม หรือส่วนที่พินัยกรรมไม่มีผลบังคับย่อมตกได้แก่ทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1620 ผู้จัดการมรดกก็มีอำนาจหน้าที่จัดการแบ่งปันให้แก่ทายาทด้วย ดังนั้น ผู้จัดการมรดกจึงมีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้ที่ไม่ได้ระบุไว้ในพินัยกรรม
สัญญากู้ยืมเงินเพื่อไปซื้อโบราณวัตถุตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวไม่เป็นโมฆะ เพราะไม่มีกฎหมายห้ามมิให้มีการซื้อขายโบราณวัตถุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4140/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจผู้จัดการมรดกฟ้องหนี้สินนอกพินัยกรรม และความชอบธรรมของสัญญากู้ซื้อโบราณวัตถุ
อำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719 ไม่ได้จำกัดแต่เฉพาะทรัพย์ที่กำหนดไว้ในพินัยกรรมเท่านั้นทรัพย์มรดกในส่วนที่มิได้จำหน่ายโดยพินัยกรรม หรือส่วนที่พินัยกรรมไม่มีผลบังคับย่อมตกได้แก่ทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1620 ผู้จัดการมรดกก็มีอำนาจหน้าที่จัดการแบ่งปันให้แก่ทายาทด้วย ดังนั้น ผู้จัดการมรดกจึงมีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้ที่ไม่ได้ระบุไว้ในพินัยกรรม
สัญญากู้ยืมเงินเพื่อไปซื้อโบราณวัตถุตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวไม่เป็นโมฆะ เพราะไม่มีกฎหมายห้ามมิให้มีการซื้อขายโบราณวัตถุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4140/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจผู้จัดการมรดกในการฟ้องหนี้สินนอกพินัยกรรม และการซื้อขายโบราณวัตถุไม่ขัดกฎหมาย
อำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1719ไม่ได้จำกัดแต่เฉพาะทรัพย์ที่กำหนดไว้ในพินัยกรรมเท่านั้นทรัพย์มรดกในส่วนที่มิได้จำหน่ายโดยพินัยกรรมหรือส่วนที่พินัยกรรมไม่มีผลบังคับย่อมตกได้แก่ทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1620ผู้จัดการมรดกก็มีอำนาจหน้าที่จัดการแบ่งปันให้แก่ทายาทด้วยดังนั้นผู้จัดการมรดกจึงมีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้ที่ไม่ได้ระบุไว้ในพินัยกรรม สัญญากู้ยืมเงินเพื่อไปซื้อโบราณวัตถุตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวไม่เป็นโมฆะเพราะไม่มีกฎหมาย ห้ามมิให้มีการซื้อขายโบราณวัตถุ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4094/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเรา แม้อวัยวะเพศไม่ล่วงล้ำเข้าไปในช่องคลอด และการพิจารณาความต่อเนื่องของการกระทำความผิด
จำเลยอายุ 28 ปี ผู้เสียหายเป็นเด็กหญิงอายุ 9 ปี จำเลยใส่อวัยวะเพศของจำเลยไปที่ช่องขาตรงปากช่องคลอดและกระทำการในลักษณะของการกระทำชำเรา มีรอยแดงช้ำบริเวณรอบ ๆ ช่องคลอด การกระทำของจำเลยดังกล่าวถือได้ว่า จำเลยได้กระทำชำเราผู้เสียหายแล้ว แต่อวัยวะเพศของจำเลยไม่ได้เข้าไปในช่องอวัยวะเพศของผู้เสียหายคงอยู่ที่บริเวณปากช่องคลอดของผู้เสียหายเท่านั้น ดังนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเรา
การที่จำเลยได้กระทำอนาจารโดยกอดจูบผู้เสียหายที่เตียงแล้วต่อมาจำเลยได้พยายามกระทำชำเราผู้เสียหายที่ห้องน้ำนั้น เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันโดยความมุ่งหมายที่จะกระทำชำเรา การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเรา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4094/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนกระทำชำเรา vs. พยายามข่มขืนกระทำชำเรา: การล่วงล้ำทางเพศและเจตนา
จำเลยอายุ28ปีผู้เสียหายเป็นเด็กหญิงอายุ9ปีจำเลยใส่อวัยวะเพศของจำเลยไปที่ช่องขาตรงปากช่องคลอดและกระทำการในลักษณะของการกระทำชำเรามีรอยแดงช้ำบริเวณรอบๆช่องคลอดการกระทำของจำเลยดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยได้กระทำชำเราผู้เสียหายแล้วแต่อวัยวะเพศของจำเลยไม่ได้เข้าไปในช่องอวัยวะเพศของผู้เสียหายคงอยู่ที่บริเวณปากช่องคลอดของผู้เสียหายเท่านั้นดังนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเรา การที่จำเลยได้กระทำอนาจารโดยกอดจูบผู้เสียหายที่เตียงแล้วต่อมาจำเลยได้พยายามกระทำชำเราผู้เสียหายที่ห้องน้ำนั้นเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันโดยความมุ่งหมายที่จะกระทำชำเราการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเรา.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3874/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีอาญาเกี่ยวกับฆาตกรรม ศาลอุทธรณ์แก้ไขบทมาตราและโทษจำคุก โจทก์ฎีกาได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 จำคุก 15 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 72 จำคุก 3 ปี เป็นการแก้ทั้งบทกฎหมายและกำหนดโทษที่ลงโทษจำเลย เป็นการแก้ไขมาก คู่ความไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
จำเลยกับผู้ตายเป็นสามีภรรยากันมาประมาณ 7 ปีมีบุตรด้วยกัน 3 คน และมีปากเสียงทะเลาะกันเสมอ ๆ ขณะก่อนเกิดเหตุ จำเลยกับผู้ตายก็มีปากเสียงทะเลาะกันอีก การที่ผู้ตายบ่นว่ากล่าวหาจำเลยพาชายชู้มานอนที่เตียงนอนและไล่จำเลยออกจากบ้าน ทั้งขู่ว่าหากจำเลยไม่ไปจากบ้านจะฆ่าจำเลยนั้น ก็เป็นเรื่องสามีภรรยาเป็นปากเสียงทะเลาะกันตามปกติที่เคยเป็นมา จะถือว่าจำเลยถูกกดขี่ข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมหาได้ไม่ จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงมิใช่เหตุบันดาลโทสะ
of 113