พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,129 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1682/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิบัติตามคำสั่งศาลก่อนอุทธรณ์: จำเลยต้องชำระเงินหรือหาประกันก่อนอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์
เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันมาวางศาล จำเลยมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งนั้นจะอ้างว่าได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับไว้ก่อนแล้วหาได้ไม่ เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งว่าจะต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล ดังนั้น จะนำวิธีการขอทุเลาการบังคับเช่นการยื่นอุทธรณ์คำพิพากษามาใช้บังคับไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1519-1521/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผูกพันตามข้อตกลงของคณะกรรมการปรองดองที่ได้รับการแต่งตั้งจากหน่วยงานของรัฐในการเวนคืน
ความตกลงระหว่างคณะกรรมการปรองดองเพื่อพิจารณาไกล่เกลี่ยค่าทดแทนให้แก่เจ้าของทรัพย์เพื่อสร้างทางพิเศษสายดินแดง- ท่าเรือกับเจ้าของผู้ครอบครอง หรือผู้ทรงสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ไม่มีกฎหมายกำหนดว่าจะต้องทำตามแบบอย่างไร การที่คณะกรรมการปรองดองให้ผู้เข้าร่วมประชุมลงชื่อไว้ในบัญชีผู้เข้าประชุมและจดข้อตกลงต่าง ๆ ไว้ในรายงานการประชุมเป็นหลักฐานถูกต้องตามแบบอย่างทางราชการย่อมใช้บังคับกันได้ หาต้องทำเป็นรูปสัญญาใด ๆ อีกไม่ คณะกรรมการดังกล่าวเป็นคณะกรรมการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยผู้มีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งกิจการของจำเลยแต่งตั้งขึ้น เพื่อพิจารณาไกล่เกลี่ยค่าทดแทนให้แก่เจ้าของผู้ครอบครองหรือผู้ทรงสิทธิอื่นในอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืน อันเป็นอำนาจหน้าที่ของจำเลย จึงเป็นตัวแทนของจำเลยในกิจการที่กล่าวนั้นด้วย เมื่อคณะกรรมการดังกล่าวได้ทำความตกลงกับโจทก์ยอมให้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยจึงต้องผูกพันตามนั้น จะอ้างระเบียบภายในว่าความตกลงดังกล่าวต้องได้รับอนุญาตจากผู้ว่าการหรือคณะกรรมการของจำเลยแล้วแต่กรณีก่อนมาปฏิเสธความผูกพันโดยไม่มีข้อความเช่นนั้นเป็นเงื่อนไขในข้อตกลงหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1519-1521/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผูกพันตามข้อตกลงของคณะกรรมการปรองดองที่ได้รับการแต่งตั้งจากหน่วยงานรัฐในการเวนคืนที่ดิน
ความตกลงระหว่างคณะกรรมการปรองดองเพื่อพิจารณาไกล่เกลี่ยค่าทดแทนให้แก่เจ้าของทรัพย์เพื่อสร้างทางพิเศษสายดินแดง- ท่าเรือ กับเจ้าของผู้ครอบครอง หรือผู้ทรงสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ไม่มีกฎหมายกำหนดว่าจะต้องทำตามแบบอย่างไร การที่คณะกรรมการปรองดองให้ผู้เข้าร่วมประชุมลงชื่อไว้ในบัญชีผู้เข้าประชุมและจดข้อตกลงต่างๆ ไว้ในรายงานการประชุมเป็นหลักฐานถูกต้องตามแบบอย่างทางราชการย่อมใช้บังคับกันได้ หาต้องทำเป็นรูปสัญญาใดๆอีกไม่ คณะกรรมการดังกล่าวเป็นคณะกรรมการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยผู้มีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งกิจการของจำเลยแต่งตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาไกล่เกลี่ยค่าทดแทนให้แก่เจ้าของผู้ครอบครองหรือผู้ทรงสิทธิอื่นในอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืน อันเป็นอำนาจหน้าที่ของจำเลย จึงเป็นตัวแทนของจำเลยในกิจการที่กล่าวนั้นด้วย เมื่อคณะกรรมการดังกล่าวได้ทำความตกลงกับโจทก์ยอมให้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยจึงต้องผูกพันตามนั้นจะอ้างระเบียบภายในว่าความตกลงดังกล่าวต้องได้รับอนุญาตจากผู้ว่าการหรือคณะกรรมการของจำเลยแล้วแต่กรณีก่อนมาปฏิเสธความผูกพันโดยไม่มีข้อความเช่นนั้นเป็นเงื่อนไขในข้อตกลงหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1459/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องประพฤติเนรคุณ: ข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นในชั้นศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
กำหนดเวลาหกเดือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 533 วรรคแรก เป็นอายุความ เมื่อจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น และมิใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยจะยกขึ้นเป็นข้อฎีกามิได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
(วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2526)
(วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2526)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1459/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องประพฤติเนรคุณ: ข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
กำหนดเวลาหกเดือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 533วรรคแรก เป็นอายุความ เมื่อจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น และมิใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนจำเลยจะยกขึ้นเป็นข้อฎีกามิได้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
(วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2526)
(วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2526)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1437/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าปลงศพ, ค่าขาดไร้อุปการะ และขอบเขตความรับผิดชอบของจำเลยร่วมในคดีละเมิด
ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอื่น ๆ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 นั้น ต้องพิจารณาตามความสมควร ตามความจำเป็น ตามฐานะของผู้ตายกับบิดามารดา ทั้งต้องพิจารณาถึงประเพณีการทำศพตามลัทธินิยมของแต่ละท้องที่ประกอบ และต้องมิใช่รายจ่ายที่ฟุ่มเฟือยจนเกินไป
การใช้จ่ายในการทำอนุสาวรีย์ไว้กระดูกผู้ตายซึ่งเป็นบุตรโจทก์ ค่าขาดรายได้ของโจทก์และค่าจ้างคนเฝ้าบ้านในขณะที่จัดการปลงศพ มิใช่ค่าใช้จ่ายในการปลงศพหรือค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอื่นตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443
โจทก์ที่ 1 มิใช่บิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ส่วน โจทก์ที่ 2 เป็นมารดาของผู้ตาย เมื่อปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะมา 60,000 บาท โดยมิได้แยกเรียกร้องว่าโจทก์แต่ละคนขาดไร้อุปการะเท่าใด และได้ความว่าโจทก์ที่ 2 แต่ผู้เดียวมีสิทธิได้รับค่าขาดไร้อุปการะเป็นเงิน 60,000 บาทโจทก์ที่ 2 จึงมีสิทธิได้รับค่าขาดไร้อุปการะเต็มจำนวน
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายอันเป็นการชำระหนี้ซึ่งไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้จำเลยที่ 2 จะอุทธรณ์ฎีกาเพียงผู้เดียว เมื่อศาลฎีกาลดค่าเสียหายลงก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลไป ถึงจำเลยที่ 1 ได้
การใช้จ่ายในการทำอนุสาวรีย์ไว้กระดูกผู้ตายซึ่งเป็นบุตรโจทก์ ค่าขาดรายได้ของโจทก์และค่าจ้างคนเฝ้าบ้านในขณะที่จัดการปลงศพ มิใช่ค่าใช้จ่ายในการปลงศพหรือค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอื่นตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443
โจทก์ที่ 1 มิใช่บิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ส่วน โจทก์ที่ 2 เป็นมารดาของผู้ตาย เมื่อปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะมา 60,000 บาท โดยมิได้แยกเรียกร้องว่าโจทก์แต่ละคนขาดไร้อุปการะเท่าใด และได้ความว่าโจทก์ที่ 2 แต่ผู้เดียวมีสิทธิได้รับค่าขาดไร้อุปการะเป็นเงิน 60,000 บาทโจทก์ที่ 2 จึงมีสิทธิได้รับค่าขาดไร้อุปการะเต็มจำนวน
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายอันเป็นการชำระหนี้ซึ่งไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้จำเลยที่ 2 จะอุทธรณ์ฎีกาเพียงผู้เดียว เมื่อศาลฎีกาลดค่าเสียหายลงก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลไป ถึงจำเลยที่ 1 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1437/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะ: หลักเกณฑ์การพิจารณาความสมควร ความจำเป็น ฐานะผู้ตาย และการแบ่งสิทธิเรียกร้อง
ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอื่น ๆ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 นั้น ต้องพิจารณาตามความสมควร ตามความจำเป็น ตามฐานะของผู้ตายกับบิดามารดา ทั้งต้องพิจารณาถึงประเพณีการทำศพตามลัทธินิยมของแต่ละท้องที่ประกอบ และต้องมิใช่รายจ่ายที่ฟุ่มเฟือยจนเกินไป
การใช้จ่ายในการทำอนุสาวรีย์ไว้กระดูกผู้ตายซึ่งเป็นบุตรโจทก์ ค่าขาดรายได้ของโจทก์และค่าจ้างคนเฝ้าบ้านในขณะที่จัดการปลงศพ มิใช่ค่าใช้จ่ายในการปลงศพหรือค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอื่นตามความหมาย แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443
โจทก์ที่ 1 มิใช่บิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ส่วน โจทก์ที่ 2 เป็นมารดาของผู้ตาย เมื่อปรากฏว่าโจทก์ทั้งสอง ฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะมา 60,000 บาท โดยมิได้แยกเรียกร้อง ว่าโจทก์แต่ละคนขาดไร้อุปการะเท่าใด และได้ความว่าโจทก์ที่ 2 แต่ผู้เดียวมีสิทธิได้รับค่าขาดไร้อุปการะเป็นเงิน 60,000 บาท โจทก์ที่ 2 จึงมีสิทธิได้รับค่าขาดไร้อุปการะเต็มจำนวน
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายอันเป็นการชำระหนี้ซึ่งไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้จำเลยที่ 2 จะอุทธรณ์ฎีกาเพียงผู้เดียว เมื่อศาลฎีกาลดค่าเสียหายลงก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 1ได้
การใช้จ่ายในการทำอนุสาวรีย์ไว้กระดูกผู้ตายซึ่งเป็นบุตรโจทก์ ค่าขาดรายได้ของโจทก์และค่าจ้างคนเฝ้าบ้านในขณะที่จัดการปลงศพ มิใช่ค่าใช้จ่ายในการปลงศพหรือค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอื่นตามความหมาย แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443
โจทก์ที่ 1 มิใช่บิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ส่วน โจทก์ที่ 2 เป็นมารดาของผู้ตาย เมื่อปรากฏว่าโจทก์ทั้งสอง ฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะมา 60,000 บาท โดยมิได้แยกเรียกร้อง ว่าโจทก์แต่ละคนขาดไร้อุปการะเท่าใด และได้ความว่าโจทก์ที่ 2 แต่ผู้เดียวมีสิทธิได้รับค่าขาดไร้อุปการะเป็นเงิน 60,000 บาท โจทก์ที่ 2 จึงมีสิทธิได้รับค่าขาดไร้อุปการะเต็มจำนวน
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายอันเป็นการชำระหนี้ซึ่งไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้จำเลยที่ 2 จะอุทธรณ์ฎีกาเพียงผู้เดียว เมื่อศาลฎีกาลดค่าเสียหายลงก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 1ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1372/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานหักล้างเอกสารสัญญากู้เงิน: การพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งกับเอกสารหลักฐาน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินไป 28,750 บาท จำเลยให้การว่ากู้ไปเพียง 4,000 บาท โดยโจทก์ให้จำเลยลงชื่อไว้ในแบบพิมพ์สัญญากู้โดยยังไม่ได้กรอกข้อความ การที่จำเลยนำสืบตัวจำเลยและพยานบุคคลอีกสองคนว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปจำนวน 4,000 บาท โจทก์ได้ให้จำเลยลงชื่อไว้ในแบบพิมพ์สัญญากู้โดยยังไม่ได้กรอกข้อความ เป็นการนำสืบให้เห็นว่า มีการกรอกข้อความที่ผิดความจริงว่าจำเลยกู้เงินไป 28,750 บาท ลงในสัญญากู้ฉบับที่โจทก์นำมาฟ้อง ซึ่งหากฟังได้สัญญากู้ดังกล่าวย่อมเป็นเอกสารปลอม การนำสืบเช่นนี้เป็นการนำสืบหักล้างเอกสาร จำเลยมีสิทธินำสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1372/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานหักล้างเอกสารสัญญากู้เงิน: การพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ต่างจากเอกสาร
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินไป 28,750 บาท จำเลยให้การว่ากู้ไปเพียง 4,000 บาท โดยโจทก์ให้จำเลยลงชื่อไว้ในแบบพิมพ์สัญญากู้โดยยังไม่ได้กรอกข้อความ การที่จำเลยนำสืบตัวจำเลยและพยานบุคคลอีกสองคนว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปจำนวน 4,000 บาท โจทก์ได้ให้จำเลยลงชื่อไว้ในแบบพิมพ์สัญญากู้โดยยังไม่ได้กรอกข้อความ เป็นการนำสืบให้เห็นว่า มีการกรอกข้อความที่ผิดความจริงว่าจำเลยกู้เงินไป 28,750 บาท ลงในสัญญากู้ฉบับที่โจทก์นำมาฟ้อง ซึ่งหากฟังได้สัญญากู้ดังกล่าวย่อมเป็นเอกสารปลอม การนำสืบเช่นนี้เป็นการนำสืบหักล้างเอกสาร จำเลยมีสิทธินำสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1355/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเป็นตัวแทนซื้อขายหุ้น แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็ฟังได้จากพฤติการณ์ หากจำเลยไม่โต้แย้งการเป็นตัวแทน
ในคำให้การจำเลยมิได้ต่อสู้ว่า โจทก์มิใช่ตัวแทนในการซื้อขายหุ้นของจำเลย แต่ต่อสู้ว่า โจทก์ซื้อหุ้นโดยที่จำเลยมิได้สั่งให้ซื้อ ดังนั้นปัญหาเรื่องการเป็นตัวแทนหรือไม่ จึงไม่เป็นประเด็นในคดี แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็ฟังได้ว่าโจทก์เป็นตัวแทนจำเลย