คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สหัส สิงหวิริยะ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 949 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1626/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายข้าวเปลือกผิดนัดชำระราคา ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง หากเป็นการผิดสัญญาทางแพ่ง
ผู้เสียหายตกลงขายข้าวเปลือกจำนวนมากแก่จำเลยโดยยินยอม ให้จำเลยนำข้าวเปลือกที่ตกลงซื้อขายกันนั้นไปก่อน แล้วมีข้อสัญญาว่าจำเลยจะชำระราคาให้ภายหลังตามวันที่กำหนดไว้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาในการซื้อขายกัน เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระราคาให้ตามวันที่ให้สัญญาจึงเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต ก็เป็นเรื่องที่บรรยายเพื่อให้ครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงไม่ทำให้คดีผิดสัญญาทางแพ่งกลับกลายเป็นคดีอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1626/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายข้าวเปลือกผิดนัดชำระราคา: ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง แต่เป็นผิดสัญญาทางแพ่ง
ผู้เสียหายตกลงขายข้าวเปลือกจำนวนมากแก่จำเลยโดยยินยอมให้จำเลยนำข้าวเปลือกที่ตกลงซื้อขายกันนั้นไปก่อน แล้วมีข้อสัญญาว่าจำเลยจะชำระราคาให้ภายหลังตามวันที่กำหนดไว้ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาในการซื้อขายกัน เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระราคาให้ตามวันที่ให้สัญญา จึงเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต ก็เป็นเรื่องที่บรรยายเพื่อให้ครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง ไม่ทำให้คดีผิดสัญญาทางแพ่งกลับกลายเป็นคดีอาญา.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1590/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องเรียกค่าจัดการศพ: ผู้มิใช่ทายาทจัดการศพโดยสมัครใจ ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินจากกองมรดก
โจทก์มิได้เป็นบุคคลตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1649เข้าไปจัดการทำศพของผู้ตายโดยสมัครใจเอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าจัดการทำศพจากกองมรดกของผู้ตาย.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1482/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำให้การต้องชัดเจนเหตุแห่งการไม่ชอบด้วยกฎหมาย หากมิได้อ้างเหตุ ศาลไม่อาจรับฟังพยานหลักฐานได้
จำเลยให้การเพียงว่าโจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริต นำสัญญากู้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมาฟ้อง โดยมิได้อ้างเหตุแห่งการนั้นไว้ในคำให้การว่า ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเหตุใดอย่างไร ดังนี้เป็นคำให้การที่ไม่แจ้งชัดซึ่งเหตุแห่งการนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ไม่มีสิทธินำพยานมาสืบตามที่ให้การต่อสู้แม้ศาลชั้นต้นจะยอมให้สืบ ก็รับฟังไม่ได้.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1440/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทุจริตเช็ค: การห้ามธนาคารจ่ายเงินเพื่อตรวจสอบหนี้สินก่อนชำระค่าหุ้น ไม่ถือเป็นความผิด
จำเลยซื้อหุ้นของบริษัท ป.จากโจทก์ โดยโจทก์รับรองว่าจะช่วยเรียกเก็บหนี้จากลูกหนี้ของบริษัทให้การที่จำเลยห้ามธนาคารมิให้ ใช้เงินตามเช็คพิพาทซึ่งจำเลยสั่งจ่ายให้โจทก์เป็นค่าซื้อหุ้นดังกล่าว เพราะจำเลยจะต้องตรวจสอบบัญชีลูกหนี้ซึ่งมี รายละเอียดไม่สมบูรณ์ถึง 158 รายการ ที่โจทก์จะต้องไปเรียกเก็บ เงินให้จำเลยเสียก่อน ถือว่าไม่เป็นการกระทำโดยมีเจตนาทุจริต

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1440/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การออกเช็คซื้อหุ้นและการตรวจสอบหนี้สินของบริษัท การกระทำโดยไม่มีเจตนาทุจริต
จำเลยซื้อหุ้นของบริษัท ป. จากโจทก์ โดยโจทก์รับรองว่าจะช่วยเรียกเก็บหนี้จากลูกหนี้ของบริษัทให้ การที่จำเลยห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คพิพาท ซึ่งจำเลยสั่งจ่ายให้โจทก์เป็นค่าซื้อหุ้นดังกล่าว เพราะจำเลยจะต้องตรวจสอบบัญชีลูกหนี้ ซึ่งมีรายละเอียดไม่สมบูรณ์ถึง 158 รายการ ที่โจทก์จะต้องไปเรียกเก็บเงินให้จำเลยเสียก่อน ถือว่าไม่เป็นการกระทำโดยมีเจตนาทุจริต.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1287/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานโจทก์มีพิรุธ คำเบิกความมีน้ำหนักน้อย ขาดหลักฐานยืนยันความผิดจำเลยที่ 2
พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้ใช้จ้างวานให้จำเลยที่ 1 กับพวกไปฆ่าผู้ตาย นับว่ามีพฤติการณ์เป็นผู้ที่ร่วมกระทำผิดด้วย จึงถือได้ว่าเป็นคำซัดทอดของผู้ที่กระทำผิดเพื่อให้ตนเองพ้นจากการเป็นผู้ต้องหาเพราะพนักงานสอบสวนย่อมจะกันไว้เป็นพยานเพื่อให้เบิกความปรักปรำจำเลยที่ 2 ทำให้มีข้อระแวงสงสัยว่าพยานอาจกระทำตามลำพังเอง หรืออาจได้รับการติดต่อจากบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่จำเลยที่ 2 ทั้งนี้เพื่อให้ตนและผู้ที่ใช้จ้างวานตนพ้นผิด ดังนี้ คำเบิกความของพยานปากดังกล่าวจึงมีน้ำหนักน้อย จะนำมาใช้ยันจำเลยที่ 2 ซึ่งให้การปฏิเสธตลอดมาหาได้ไม่
การที่จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนว่าพยานปากนี้บอกว่าได้รับการติดต่อจากจำเลยที่ 2 เป็นผู้ว่าจ้างให้ฆ่าผู้ตายนั้นเป็นเพียงพยานบอกเล่าที่จำเลยที่1 ได้รับทราบจากปากคำของพยานเท่านั้น จึงไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1146/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนี้จากการละเมิดอันแบ่งแยกมิได้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยจำกัดความรับผิด ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ผู้กระทำละเมิดรับผิดเต็มจำนวน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้จำนวนหนึ่งอันเกิดจากมูลละเมิด ศาลชั้นต้นพิพากษาแบ่งให้จำเลยที่ 1 ที่ 2ชำระครึ่งหนึ่ง และจำเลยที่ 3 ที่ 4 ชำระอีกครึ่งหนึ่ง จึงไม่มีเหตุที่จะให้โจทก์ต้องอุทธรณ์ในเรื่องค่าเสียหายขึ้นมาอีก ดังนี้แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้เต็มจำนวน ก็ถือได้ว่าปัญหาเรื่องค่าเสียหายเต็มจำนวนได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในชั้นศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยคนใดคนหนึ่งเท่านั้นที่ทำละเมิดต่อโจทก์ ก็ต้องให้ผู้นั้นรับผิดเต็มจำนวน จะแบ่งให้รับผิดเพียงบางส่วนหาชอบไม่ ฉะนั้นการที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ 3 ที่ 4 เท่านั้นที่จะต้องรับผิด และพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพียงเฉพาะส่วนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้รับผิด โจทก์ฎีกาศาลฎีกาฟังว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 เท่านั้นที่จะต้องรับผิดศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 รับผิดต่อโจทก์เต็มตามมูลหนี้แห่งการละเมิดได้.(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2531)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1146/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดร่วมกันและแยกกัน ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่รับผิดรับผิดเต็มจำนวน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้จำนวนหนึ่งอันเกิดจากมูลละเมิด ศาลชั้นต้นพิพากษาแบ่งให้จำเลยที่ 1 ที่ 2ชำระครึ่งหนึ่งและจำเลยที่ 3 ที่ 4 ชำระอีกครึ่งหนึ่ง จึงไม่มีเหตุที่จะให้โจทก์ต้องอุทธรณ์ในเรื่องค่าเสียหายขึ้นมาอีก ดังนี้แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้เต็มจำนวนก็ถือได้ว่าปัญหาเรื่องค่าเสียหายเต็มจำนวนได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในชั้นศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยคนใดคนหนึ่งเท่านั้นที่ทำละเมิดต่อโจทก์ ก็ต้องให้ผู้นั้นรับผิดเต็มจำนวน จะแบ่งให้รับผิดเพียงบางส่วนหาชอบไม่ ฉะนั้นการที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ 3 ที่ 4 เท่านั้นที่จะต้องรับผิด และพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพียงเฉพาะส่วนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้รับผิด โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยที่ 1ที่ 2 เท่านั้นที่จะต้องรับผิด ศาลฎีกาก็มีอำนาจ พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 รับผิดต่อโจทก์เต็มตามมูลหนี้แห่งการละเมิดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1146/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดร่วมกันและแบ่งแยก หนี้อันแบ่งแยกมิได้ ศาลมีอำนาจพิพากษาให้รับผิดเต็มจำนวน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้จำนวนหนึ่งอันเกิดจากมูลละเมิด ศาลชั้นต้นพิพากษาแบ่งให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ชำระครึ่งหนึ่ง และจำเลยที่ 3 ที่ 4 ชำระอีกครึ่งหนึ่ง จึงไม่มีเหตุที่จะให้โจทก์ต้องอุทธรณ์ในเรื่องค่าเสียหายขึ้นมาอีก ดังนี้แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้เต็มจำนวน ก็ถือได้ว่าปัญหาเรื่องค่าเสียหายเต็มจำนวนได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในชั้นศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยคนใดคนหนึ่งเท่านั้นที่ทำละเมิดต่อโจทก์ ก็ต้องให้ผู้นั้นรับผิดเต็มจำนวน จะแบ่งให้รับผิดเพียงบางส่วนหาชอบไม่ ฉะนั้นการที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ 3 ที่ 4 เท่านั้นที่จะต้องรับผิด และพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพียงเฉพาะส่วนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้รับผิด โจทก์ฎีกาศาลฎีกาฟังว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 เท่านั้นที่จะต้องรับผิด ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 รับผิดต่อโจทก์เต็มตามมูลหนี้แห่งการละเมิดได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2531)
of 95