พบผลลัพธ์ทั้งหมด 274 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2844/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายเครื่องปรับอากาศ: ข้อพิพาทเรื่องการเป็นผู้ซื้อและการฟ้องแย้งค่านายหน้าที่ไม่สามารถฎีกาได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินค่าซื้อเครื่องปรับอากาศ 110,000 บาทแก่โจทก์ จำเลยให้การว่าไม่ได้เป็นผู้ซื้อแต่เป็นนายหน้าจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ และฟ้องแย้งให้โจทก์ชำระเงินค่านายหน้า 10,600 บาทแก่จำเลยศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเครื่องปรับอากาศและยกฟ้องแย้งจำเลยดังนี้ ฟ้องแย้งของจำเลยต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยในปัญหาข้อเท็จจริงและศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ ก็ไม่เป็นเหตุให้จำเลยมีสิทธิฎีกาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2843/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดิน: เหตุสุดวิสัยจากการไม่ยินยอมของเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม ทำให้จำเลยไม่ผิดสัญญา
โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยซึ่งมีกรรมสิทธิ์รวมกับ ย.หลังจากทำสัญญากันแล้วย. ไม่ยอมรังวัดแบ่งแยก จำเลยก็ฟ้อง ย.และทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันย. ในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกทั้งได้ไปยื่นคำร้องขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินในวันเดียวกันนั้น และได้แจ้งให้โจทก์ทราบถึงการปฏิบัติตามสัญญาเป็นระยะ ๆ การที่จำเลยไม่สามารถรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินให้เสร็จเรียบร้อยภายในกำหนดสามเดือนตามสัญญา เป็นพฤติการณ์ที่จำเลยไม่ต้องรับผิดชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 205 จำเลยจึงยังไม่ผิดนัดเมื่อการรังวัดแบ่งแยกเสร็จแล้ว จำเลยได้นัดวันเวลาที่จะทำสัญญาซื้อขายกับโจทก์ให้เสร็จสิ้น แต่โจทก์ไม่ไปตามนัดเพราะเลยกำหนดสามเดือนตามสัญญา จึงจะถือว่าโจทก์ผิดสัญญาไม่ได้เช่นเดียวกันจำเลยจะริบมัดจำโจทก์ไม่ได้
(เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 750/2518)
(เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 750/2518)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2843/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อขายที่ดิน: เหตุสุดวิสัยจากการไม่ยินยอมของเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม และผลกระทบต่อการผิดสัญญา
โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยซึ่งมีกรรมสิทธิ์รวมกับ ย. หลังจากทำสัญญากันแล้ว ย. ไม่ยอมรังวัดแบ่งแยกจำเลยก็ฟ้อง ย.และทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ย. ในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกทั้งได้ไปยื่นคำร้องขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินในวันเดียวกันนั้น และได้แจ้งให้โจทก์ทราบถึงการปฏิบัติตามสัญญาเป็นระยะ ๆ การที่จำเลยไม่สามารถรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินให้เสร็จเรียบร้อยภายในกำหนดสามเดือนตามสัญญาเป็นพฤติการณ์ที่จำเลยไม่ต้องรับผิดชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 205 จำเลยจึงยังไม่ผิดนัดเมื่อการรังวัดแบ่งแยกเสร็จแล้ว จำเลยได้นัดวันเวลาที่จะทำสัญญาซื้อขายกับโจทก์ให้เสร็จสิ้น แต่โจทก์ไม่ไปตามนัดเพราะเลยกำหนดสามเดือนตามสัญญา จึงจะถือว่าโจทก์ผิดสัญญาไม่ได้เช่นเดียวกันจำเลยจะริบมัดจำโจทก์ไม่ได้
(เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 750/2518)
(เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 750/2518)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2805/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีจำเลยต่างชาติ และความรับผิดในสัญญาประกันภัยที่ไม่มีลายมือชื่อ
การรวมกันประกอบกิจการนั้น ผู้เข้าร่วมประกอบกิจการอาจเป็นหุ้นส่วนกันได้แต่การประกอบกิจการแทนกันนั้นเป็นเรื่องตัวการตัวแทนบุคคลสองฝ่ายจึงไม่อาจทั้งร่วมกันและและแทนกันในการประกอบกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งได้
จำเลยทั้งสี่ต่างมีสภาพเป็นนิติบุคคล ภูมิลำเนาของจำเลยแต่ละคนจึงต้องเป็นไปตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 71 บัญญัติไว้เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 3 จดทะเบียนและตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ต่างประเทศไม่มีสำนักงานสาขาอยู่ในประเทศไทยโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 แม้จำเลยที่ 3 จะยื่นคำให้การเข้ามา แต่เมื่อฟ้องโจทก์ต้องห้ามมิให้เสนอต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 2 แล้วก็ไม่ทำให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีถึงจำเลยที่ 3 ได้
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867สัญญาประกันภัยต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดและกรมธรรม์ประกันภัยที่ผู้รับประกันภัยออกให้ต้องลงลายมือชื่อของผู้รับประกัน ดังนั้นเมื่อสาขาของบริษัทจำเลยที่ 3 ที่สิงคโปร์เป็นผู้รับประกันภัยสินค้า และเป็นผู้ออกกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ 4 ไม่ได้ลงชื่อในกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิด
จำเลยทั้งสี่ต่างมีสภาพเป็นนิติบุคคล ภูมิลำเนาของจำเลยแต่ละคนจึงต้องเป็นไปตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 71 บัญญัติไว้เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 3 จดทะเบียนและตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ต่างประเทศไม่มีสำนักงานสาขาอยู่ในประเทศไทยโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 แม้จำเลยที่ 3 จะยื่นคำให้การเข้ามา แต่เมื่อฟ้องโจทก์ต้องห้ามมิให้เสนอต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 2 แล้วก็ไม่ทำให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีถึงจำเลยที่ 3 ได้
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867สัญญาประกันภัยต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดและกรมธรรม์ประกันภัยที่ผู้รับประกันภัยออกให้ต้องลงลายมือชื่อของผู้รับประกัน ดังนั้นเมื่อสาขาของบริษัทจำเลยที่ 3 ที่สิงคโปร์เป็นผู้รับประกันภัยสินค้า และเป็นผู้ออกกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ 4 ไม่ได้ลงชื่อในกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2805/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีข้ามแดนและการรับผิดในสัญญาประกันภัย: ภูมิลำเนาของนิติบุคคลและลายมือชื่อในกรมธรรม์
การรวมกันประกอบกิจการนั้น ผู้เข้าร่วมประกอบกิจการอาจเป็นหุ้นส่วนกันได้ แต่การประกอบกิจการแทนกันนั้นเป็นเรื่องตัวการตัวแทนบุคคลสองฝ่ายจึงไม่อาจทั้งร่วมกัน และแทนกันในการประกอบกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งได้
จำเลยทั้งสี่ต่างมีสภาพเป็นนิติบุคคล ภูมิลำเนาของจำเลยแต่ละคนจึงต้องเป็นไปตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 71 บัญญัติไว้เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 3 จดทะเบียนและตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ต่างประเทศไม่มีสำนักงานสาขาอยู่ในประเทศไทยโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 แม้จำเลยที่ 3 จะยื่นคำให้การเข้ามา แต่เมื่อฟ้องโจทก์ต้องห้ามมิให้เสนอต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 2 แล้วก็ไม่ทำให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีถึงจำเลยที่ 3 ได้
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867 สัญญาประกันภัยต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดและกรมธรรม์ประกันภัยที่ผู้รับประกันภัยออกให้ต้องลงลายมือชื่อของผู้รับประกัน ดังนั้นเมื่อสาขาของบริษัทจำเลยที่ 3 ที่สิงคโปร์เป็นผู้รับประกันภัยสินค้า และเป็นผู้ออกกรมธรรม์ประกันภัยจำเลยที่ 4 ไม่ได้ลงชื่อในกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิด
จำเลยทั้งสี่ต่างมีสภาพเป็นนิติบุคคล ภูมิลำเนาของจำเลยแต่ละคนจึงต้องเป็นไปตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 71 บัญญัติไว้เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 3 จดทะเบียนและตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ต่างประเทศไม่มีสำนักงานสาขาอยู่ในประเทศไทยโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 แม้จำเลยที่ 3 จะยื่นคำให้การเข้ามา แต่เมื่อฟ้องโจทก์ต้องห้ามมิให้เสนอต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 2 แล้วก็ไม่ทำให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีถึงจำเลยที่ 3 ได้
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867 สัญญาประกันภัยต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดและกรมธรรม์ประกันภัยที่ผู้รับประกันภัยออกให้ต้องลงลายมือชื่อของผู้รับประกัน ดังนั้นเมื่อสาขาของบริษัทจำเลยที่ 3 ที่สิงคโปร์เป็นผู้รับประกันภัยสินค้า และเป็นผู้ออกกรมธรรม์ประกันภัยจำเลยที่ 4 ไม่ได้ลงชื่อในกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2797/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 216 และฟ้องไม่สมบูรณ์ตามมาตรา 158
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ข้อหาร่วมกันกรอกข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 162 และข้อหาร่วมกันปลอมเอกสารราชการโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา161ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเฉพาะข้อหามาตรา 161 แต่พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดทั้งสองมาตรา ลงโทษตามมาตรา 161ซึ่งเป็นบทหนักชั้นอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยข้อหามาตรา 162 จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดสำหรับข้อหานี้โจทก์ฎีกาโดยบรรยายเพียงว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดข้อหามาตรา162 จึงเป็นฎีกาที่มิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนอย่างไรเป็นฎีกาที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216
โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 เพียงว่า จำเลยที่3 ได้ร่วมกันกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำความผิดโดยมิได้บรรยายให้ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 กระทำอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158
โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 เพียงว่า จำเลยที่3 ได้ร่วมกันกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำความผิดโดยมิได้บรรยายให้ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 กระทำอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2797/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากฎีกาโจทก์ไม่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และฟ้องจำเลยที่ 3 ไม่สมบูรณ์
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ข้อหาร่วมกันกรอกข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 162 และข้อหาร่วมกันปลอมเอกสารราชการโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา161 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเฉพาะข้อหามาตรา 161 แต่พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดทั้งสองมาตรา ลงโทษตามมาตรา 161 ซึ่งเป็นบทหนักชั้นอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยข้อหามาตรา 162 จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดสำหรับข้อหานี้โจทก์ฎีกาโดยบรรยายเพียงว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดข้อหามาตรา 162 จึงเป็นฎีกาที่มิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนอย่างไร เป็นฎีกาที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216
โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 เพียงว่า จำเลยที่ 3 ได้ร่วมกันกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำความผิดโดยมิได้บรรยายให้ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 กระทำอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158
โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 เพียงว่า จำเลยที่ 3 ได้ร่วมกันกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำความผิดโดยมิได้บรรยายให้ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 กระทำอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2783/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกเหตุสาธารณสมบัติของแผ่นดินขึ้นในชั้นฎีกาที่ไม่เคยกล่าวอ้างในชั้นฟ้อง ถือเป็นการต้องห้ามมิให้ฎีกา
ฎีกาโจทก์ที่ว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงต้องห้ามมิให้จำเลยต่อสู้กับแผ่นดินนั้น โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์เพิ่งยกปัญหาข้อนี้ขึ้นกล่าวอ้างในฎีกาจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2783/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการยกข้ออ้างใหม่ในฎีกา: สาธารณสมบัติของแผ่นดินต้องระบุในฟ้อง
ฎีกาโจทก์ที่ว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงต้องห้ามมิให้จำเลยต่อสู้กับแผ่นดินนั้น โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์เพิ่งยกปัญหาข้อนี้ขึ้นกล่าวอ้างในฎีกาจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2748/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของนายประกัน: เมื่อผู้ต้องหาหลบหนีหลังส่งตัวให้โจทก์แล้ว นายประกันไม่ต้องรับผิด
อัยการโจทก์นำผู้ต้องหาไปฟ้องแล้ว แต่ศาลไม่ประทับฟ้องเนื่องจากโจทก์ไม่ลงชื่อในคำฟ้อง ในช่วงนี้ผู้ต้องหาหลบหนีไปดังนี้ จำเลยได้ปฏิบัติการชำระหนี้ถูกต้องตามสัญญาประกัน โดยส่งตัวผู้ต้องหาตามกำหนดนัดแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากหนี้อันพึงจะต้องชำระ จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 113 เป็น บทบัญญัติถึงขั้นตอนเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ในการทำสัญญาประกัน แต่ละฝ่ายเพื่อมิให้ก้าวก่ายหรือซ้ำซ้อนกันเท่านั้น มิใช่เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับความรับผิดของนายประกันซึ่งจะต้องพิจารณาตามกฎหมายแพ่ง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 113 เป็น บทบัญญัติถึงขั้นตอนเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ในการทำสัญญาประกัน แต่ละฝ่ายเพื่อมิให้ก้าวก่ายหรือซ้ำซ้อนกันเท่านั้น มิใช่เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับความรับผิดของนายประกันซึ่งจะต้องพิจารณาตามกฎหมายแพ่ง