พบผลลัพธ์ทั้งหมด 165 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3289/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ และขอบเขตการฟ้องบุคคลภายนอกตามสัญญาประกันภัย
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยใช้ค่าทำศพบุตรของโจทก์ซึ่งถึงแก่ความตายเพราะการกระทำละเมิดของลูกจ้างจำเลย แม้โจทก์จะมิได้นำสืบถึงรายละเอียดว่าได้ใช้จ่ายเงินเป็นค่าทำศพไปเป็นจำนวนเท่าใด ศาลก็กำหนดให้จำเลยชดใช้ให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438
จำเลยที่ 1 ได้เอาประกันภัยค้ำจุนรถยนต์ของตนไว้กับจำเลยที่ 2 ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์คันนี้ไปในทางการที่จ้างโดยประมาทเป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้ร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ดังนี้ โจทก์ไม่จำต้องนำกรมธรรม์ประกันภัยระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 มาแสดงประกอบการนำสืบ เพราะโจทก์มิได้ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดในฐานะที่โจทก์เป็นผู้เอาประกันภัย หากแต่โจทก์เป็นบุคคลภายนอกฟ้องให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดตามสัญญาประกันภัยค้ำจุนที่ทำไว้กับผู้เอาประกันภัย กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867 วรรคแรก
จำเลยที่ 1 ได้เอาประกันภัยค้ำจุนรถยนต์ของตนไว้กับจำเลยที่ 2 ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์คันนี้ไปในทางการที่จ้างโดยประมาทเป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้ร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ดังนี้ โจทก์ไม่จำต้องนำกรมธรรม์ประกันภัยระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 มาแสดงประกอบการนำสืบ เพราะโจทก์มิได้ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดในฐานะที่โจทก์เป็นผู้เอาประกันภัย หากแต่โจทก์เป็นบุคคลภายนอกฟ้องให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดตามสัญญาประกันภัยค้ำจุนที่ทำไว้กับผู้เอาประกันภัย กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3289/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ และข้อยกเว้นการนำสืบหลักฐานสัญญาประกันภัย
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยใช้ค่าทำศพบุตรของโจทก์ซึ่งถึงแก่ความตายเพราะการกระทำละเมิดของลูกจ้างจำเลย แม้โจทก์จะมิได้นำสืบถึงรายละเอียดว่าได้ใช้จ่ายเงินเป็นค่าทำศพไปเป็นจำนวนเท่าใด ศาลก็กำหนดให้จำเลยชดใช้ให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438
จำเลยที่ 1 ได้เอาประกันภัยค้ำจุนรถยนต์ของตนไว้กับจำเลยที่ 2 ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์คันนี้ไปในทางการที่จ้างโดยประมาทเป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้ร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ดังนี้ โจทก์ไม่จำต้องนำกรมธรรม์ประกันภัยระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 มาแสดงประกอบการนำสืบ เพราะโจทก์มิได้ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดในฐานะที่โจทก์เป็นผู้เอาประกันภัย หากแต่โจทก์เป็นบุคคลภายนอกฟ้องให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดตามสัญญาประกันภัยค้ำจุนที่ทำไว้กับผู้เอาประกันภัย กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867วรรคแรก
จำเลยที่ 1 ได้เอาประกันภัยค้ำจุนรถยนต์ของตนไว้กับจำเลยที่ 2 ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์คันนี้ไปในทางการที่จ้างโดยประมาทเป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้ร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ดังนี้ โจทก์ไม่จำต้องนำกรมธรรม์ประกันภัยระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 มาแสดงประกอบการนำสืบ เพราะโจทก์มิได้ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดในฐานะที่โจทก์เป็นผู้เอาประกันภัย หากแต่โจทก์เป็นบุคคลภายนอกฟ้องให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดตามสัญญาประกันภัยค้ำจุนที่ทำไว้กับผู้เอาประกันภัย กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3156/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ร่วมระหว่างสามีภริยาที่ไม่จดทะเบียนสมรส: ผู้ร้องไม่ต้องรับผิดชอบหนี้ที่จำเลยก่อขึ้น
หนี้ที่สามีหรือภริยาก่อขึ้นในระหว่างสมรสที่กฎหมายให้ถือว่าเป็นหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1482(ก่อนตรวจชำระใหม่) นั้น หมายความว่าต้องเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย หนี้เงินกู้ที่จำเลยก่อขึ้นระหว่างที่จำเลยกับผู้ร้องอยู่กินเป็นสามีภริยากันโดยมิได้จดทะเบียนสมรส ซึ่งผู้ร้องมิได้ร่วมในการกู้ด้วย จึงมิใช่หนี้ร่วมอันผู้ร้องจะต้องร่วมรับผิด ผู้ร้องชอบที่จะขอกันส่วนของตนครึ่งหนึ่งจากการขายทอดตลาดที่ดินที่ผู้ร้องกับจำเลยเป็นเจ้าของรวมได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3121/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยเรื่องการริบของกลางและการพิพากษาความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องขอให้ริบเฮโรอีนของกลาง ศาลชั้นต้นพิพากษาโดยไม่มีคำสั่งในเรื่องของกลาง เมื่อจำเลยอุทธรณ์ แม้โจทก์จะไม่อุทธรณ์ในเรื่องของกลางศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจทำคำวินิจฉัยในเรื่องของกลางได้ เพราะมิใช่เป็นกรณีเพิ่มโทษจำเลย เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้และโจทก์ยังฎีกาขอให้ริบอยู่ ศาลฎีกาพิพากษาให้ริบของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3060/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาบุกรุกต้องพิเคราะห์จากข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ หากจำเลยกระทำโดยเข้าใจผิดว่าอยู่ในที่ดินของตนเอง ไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก
จำเลยสร้างรั้วในที่ดินพิพาทก่อนที่ข้อเท็จจริงจะปรากฏแน่นอนจากการรังวัดสอบเขตโฉนดของโจทก์ร่วมว่าที่ดินส่วนที่เป็นรั้วอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์ร่วม เป็นเรื่องเข้าใจว่ากระทำลงไปในที่ดินของจำเลยจึงขาดเจตนากระทำความผิด ไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก
จำเลยเพียงแต่เอาดินลูกรังมาถมทางเดินเดิมซึ่งเป็นคันนาเกลือไม่มีรั้วหรือสิ่งใดปิดกั้นห้ามเดินผ่าน เป็นการกระทำโดยเจตนาใช้เป็นทางเดินออกไปสู่ถนนใหญ่เท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยเจตนายึดถือการครอบครองที่ดินของโจทก์ร่วมอันเป็นความผิดฐานบุกรุก
จำเลยเพียงแต่เอาดินลูกรังมาถมทางเดินเดิมซึ่งเป็นคันนาเกลือไม่มีรั้วหรือสิ่งใดปิดกั้นห้ามเดินผ่าน เป็นการกระทำโดยเจตนาใช้เป็นทางเดินออกไปสู่ถนนใหญ่เท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยเจตนายึดถือการครอบครองที่ดินของโจทก์ร่วมอันเป็นความผิดฐานบุกรุก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2954/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินและการขัดขวางการก่อสร้าง: การกระทำไม่ถือเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทการที่จำเลยรื้อผังไม้สำหรับการปลูกสร้างโรงเรียนซึ่งผู้เสียหายได้ทำไว้ในที่ดินดังกล่าวแล้วนำไปกองไว้ย่อมเห็นเจตนาได้ว่าเพื่อระงับยับยั้งมิให้ก่อสร้างอาคารโรงเรียนในที่ดินของจำเลย เป็นการใช้สิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของตนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็มีเหตุสมควรที่จำเลยจะปฏิบัติเช่นนั้นได้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 89/2519)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2923/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้เงิน, การเปลี่ยนแปลงวงเงิน, การหักกลบลบหนี้, นิติกรรมอำพราง, สัญญาต่างตอบแทน
จำเลยมีที่ดินได้เสนอโจทก์เพื่อร่วมทำโครงการจัดสรรที่ดินพร้อมบ้านกับจำเลยพร้อมอนุมัติกู้เงินเพื่อลงทุนด้วยโจทก์อนุมัติ ได้ทำสัญญากัน 2 ฉบับ คือสัญญากู้เงินและสัญญาให้ผู้ซื้อกู้เงินโจทก์ไปซื้อที่ดินและบ้านตามโครงการดังนี้ สัญญาฉบับหลังเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาฉบับแรก ข้อความในสัญญาแต่ละฉบับมีผลผูกพันบังคับกันได้ ดังนั้น การตีความเจตนาของคู่สัญญาจึงต้องแปลจากสัญญาทั้ง 2 ฉบับรวมกัน ไม่ใช่ยกเอาเฉพาะข้อความตอนใดตอนหนึ่งหรือสัญญาฉบับใดฉบับหนึ่งหรือข้อใดข้อหนึ่งมาแปล จึงไม่ใช่นิติกรรมอำพราง และไม่ใช่สัญญากู้เงินโดยวิธีออกตั๋วสัญญาใช้เงินอย่างเดียว สัญญาทั้ง 2ฉบับจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนกันเป็นพิเศษยิ่งกว่าสัญญากู้ธรรมดาคู่สัญญาแต่ละฝ่ายต่างมีสิทธิและหน้าที่จะต้องปฏิบัติตอบแทนซึ่งกันและกันตามข้อความที่ระบุไว้ในสัญญา
โจทก์ยอมให้จำเลยกู้เงินสูงกว่าจำนวนที่ขอกู้ในการเสนอโครงการครั้งแรกแสดงว่าได้ตกลงเปลี่ยนแปลงวงเงินกันแล้วเท่ากับเป็นการยืนยันตามข้อตกลงนั้น ข้อตกลงนี้จึงผูกพันโจทก์ โจทก์จะปฏิเสธไม่ให้จำเลยและผู้ซื้อที่ดินกับบ้านกู้เงินถึงจำนวนดังกล่าวไม่ได้ เป็นการผิดสัญญา
เมื่อต่างฝ่ายต่างมีวัตถุแห่งหนี้เป็นเงินที่จะต้องชำระซึ่งกันและกัน ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้หักกลบลบหนี้กันได้เพราะเป็นความสะดวกในการบังคับคดี
โจทก์ยอมให้จำเลยกู้เงินสูงกว่าจำนวนที่ขอกู้ในการเสนอโครงการครั้งแรกแสดงว่าได้ตกลงเปลี่ยนแปลงวงเงินกันแล้วเท่ากับเป็นการยืนยันตามข้อตกลงนั้น ข้อตกลงนี้จึงผูกพันโจทก์ โจทก์จะปฏิเสธไม่ให้จำเลยและผู้ซื้อที่ดินกับบ้านกู้เงินถึงจำนวนดังกล่าวไม่ได้ เป็นการผิดสัญญา
เมื่อต่างฝ่ายต่างมีวัตถุแห่งหนี้เป็นเงินที่จะต้องชำระซึ่งกันและกัน ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้หักกลบลบหนี้กันได้เพราะเป็นความสะดวกในการบังคับคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2923/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้เงินและข้อตกลงเปลี่ยนแปลงวงเงิน การหักกลบลบหนี้ และอำนาจศาลในการบังคับคดี
จำเลยมีที่ดินได้เสนอโจทก์เพื่อร่วมทำโครงการจัดสรรที่ดินพร้อมบ้านกับจำเลยพร้อมอนุมัติกู้เงินเพื่อลงทุนด้วยโจทก์อนุมัติ ได้ทำสัญญากัน 2 ฉบับ คือสัญญากู้เงินและสัญญาให้ผู้ซื้อกู้เงินโจทก์ไปซื้อที่ดินและบ้านตามโครงการดังนี้ สัญญาฉบับหลังเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาฉบับแรก ข้อความในสัญญาแต่ละฉบับมีผลผูกพันบังคับกันได้ ดังนั้น การตีความเจตนาของคู่สัญญาจึงต้องแปลจากสัญญาทั้ง 2 ฉบับรวมกัน ไม่ใช่ยกเอาเฉพาะข้อความตอนใดตอนหนึ่งหรือสัญญาฉบับใดฉบับหนึ่งหรือข้อใดข้อหนึ่งมาแปล จึงไม่ใช่นิติกรรมอำพราง และไม่ใช่สัญญากู้เงินโดยวิธีออกตั๋วสัญญาใช้เงินอย่างเดียว สัญญาทั้ง 2 ฉบับจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนกันเป็นพิเศษยิ่งกว่าสัญญากู้ธรรมดาคู่สัญญาแต่ละฝ่ายต่างมีสิทธิและหน้าที่จะต้องปฏิบัติตอบแทนซึ่งกันและกันตามข้อความที่ระบุไว้ในสัญญา
โจทก์ยอมให้จำเลยกู้เงินสูงกว่าจำนวนที่ขอกู้ในการเสนอโครงการครั้งแรกแสดงว่าได้ตกลงเปลี่ยนแปลงวงเงินกันแล้วเท่ากับเป็นการยืนยันตามข้อตกลงนั้น ข้อตกลงนี้จึงผูกพันโจทก์ โจทก์จะปฏิเสธไม่ให้จำเลยและผู้ซื้อที่ดินกับบ้านกู้เงินถึงจำนวนดังกล่าวไม่ได้ เป็นการผิดสัญญา
เมื่อต่างฝ่ายต่างมีวัตถุแห่งหนี้เป็นเงินที่จะต้องชำระซึ่งกันและกัน ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้หักกลบลบหนี้กันได้เพราะเป็นความสะดวกในการบังคับคดี
โจทก์ยอมให้จำเลยกู้เงินสูงกว่าจำนวนที่ขอกู้ในการเสนอโครงการครั้งแรกแสดงว่าได้ตกลงเปลี่ยนแปลงวงเงินกันแล้วเท่ากับเป็นการยืนยันตามข้อตกลงนั้น ข้อตกลงนี้จึงผูกพันโจทก์ โจทก์จะปฏิเสธไม่ให้จำเลยและผู้ซื้อที่ดินกับบ้านกู้เงินถึงจำนวนดังกล่าวไม่ได้ เป็นการผิดสัญญา
เมื่อต่างฝ่ายต่างมีวัตถุแห่งหนี้เป็นเงินที่จะต้องชำระซึ่งกันและกัน ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้หักกลบลบหนี้กันได้เพราะเป็นความสะดวกในการบังคับคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2778/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่การพิสูจน์ของโจทก์ในคดีอาวุธปืนและการงดลงโทษเมื่อพยานหลักฐานไม่เพียงพอ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนที่ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของพนักงานเจ้าหน้าที่และกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนและกระสุนปืนไปในทางสาธารณะเข้าหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต และใช้อาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวยิงพยายามฆ่าผู้อื่นจำเลยให้การปฏิเสธเมื่อจับจำเลยได้ก็ไม่ได้อาวุธปืนและกระสุนปืนเป็นของกลางดังนี้ โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบว่าอาวุธปืนที่จำเลยถือมาในที่เกิดเหตุนั้นเป็นปืนไม่มีทะเบียนและจำเลยไม่มีใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนนั้น เมื่อโจทก์ไม่นำสืบให้ได้ความดังกล่าวจึงลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนและกระสุนปืนโดยไม่รับอนุญาตไม่ได้ (อ้างฎีกาที่795/2504)
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาจำเลยพาอาวุธปืนและกระสุนปืนติดตัวไปในทางสาธารณะและในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตเมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ในข้อหานี้ข้อหาดังกล่าวจึงถึงที่สุดแล้ว ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหานี้ไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาจำเลยพาอาวุธปืนและกระสุนปืนติดตัวไปในทางสาธารณะและในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตเมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ในข้อหานี้ข้อหาดังกล่าวจึงถึงที่สุดแล้ว ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหานี้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2778/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่นำสืบอาวุธปืนไม่มีทะเบียน-ใบอนุญาต & ศาลอุทธรณ์ลงโทษซ้ำข้อหาที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องไม่ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนที่ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของพนักงานเจ้าหน้าที่และกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนและกระสุนปืนไปในทางสาธารณะเข้าหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต และใช้อาวุธปืนและกระสุนปืนดังกล่าวยิงพยายามฆ่าผู้อื่นจำเลยให้การปฏิเสธเมื่อจับจำเลยได้ก็ไม่ได้อาวุธปืนและกระสุนปืนเป็นของกลางดังนี้ โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบว่าอาวุธปืนที่จำเลยถือมาในที่เกิดเหตุนั้นเป็นปืนไม่มีทะเบียนและจำเลยไม่มีใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนนั้น เมื่อโจทก์ไม่นำสืบให้ได้ความดังกล่าวจึงลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนและกระสุนปืนโดยไม่รับอนุญาตไม่ได้(อ้างฎีกาที่795/2504)
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาจำเลยพาอาวุธปืนและกระสุนปืนติดตัวไปในทางสาธารณะและในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตเมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ในข้อหานี้ข้อหาดังกล่าวจึงถึงที่สุดแล้ว ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหานี้ไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาจำเลยพาอาวุธปืนและกระสุนปืนติดตัวไปในทางสาธารณะและในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตเมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ในข้อหานี้ข้อหาดังกล่าวจึงถึงที่สุดแล้ว ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหานี้ไม่ได้