พบผลลัพธ์ทั้งหมด 285 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2304/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำท้าพิสูจน์ลายมือชื่อและการบังคับใช้ตามคำสั่งศาล ศาลต้องวินิจฉัยตามผลการพิสูจน์ลายมือชื่อ ไม่ใช่การไม่วางเงิน
โจทก์จำเลยตกลงท้ากันให้พิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือของ ค.ภรรยาของจำเลยในเอกสารใบมอบอำนาจว่า ถ้าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของ ค. จริงจำเลยยอมแพ้ ถ้าไม่ใช่โจทก์ยอมแพ้โจทก์และจำเลยต่างสละข้อต่อสู้อื่นทั้งหมด และในวันเดียวกันนั้นเองศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์และจำเลยวางเงินค่าตรวจพิสูจน์ฝ่ายละ 2,000 บาท ภายใน 20 วันนับแต่วันสั่ง ถ้าฝ่ายใดไม่วางเงินภายในกำหนดเวลาก็ให้ถือว่าฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายแพ้คดี ดังนี้แม้จำเลยมิได้วางเงินดังกล่าว ภายในกำหนด ก็หามีผลทำให้จำเลยตกเป็นฝ่ายแพ้คดีเพราะการไม่วางเงินตามคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ เพราะการที่ฝ่ายใดไม่วางเงินให้ถือว่าฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายแพ้คดีนั้นเป็นเรื่องนอกเหนือที่คู่ความท้ากัน ศาลชั้นต้นจะนำมาเป็นเหตุวินิจฉัยให้จำเลยแพ้คดีหาได้ไม่ คำท้ายังมีผลบังคับได้ต่อไป เมื่อกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจได้ตรวจพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือนั้นว่าไม่ใช่ลายพิมพ์นิ้วมือของ ค. โจทก์จึงต้องตกเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2304/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของการท้าพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือ: ศาลต้องยึดผลการพิสูจน์จริง แม้จำเลยไม่วางเงินค่าตรวจพิสูจน์
โจทก์จำเลยตกลงท้ากันให้พิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือของ ค.ภรรยาของจำเลยในเอกสารใบมอบอำนาจว่า ถ้าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของ ค.จริงจำเลยยอมแพ้ ถ้าไม่ใช่โจทก์ยอมแพ้ โจทก์และจำเลยต่างสละข้อต่อสู้อื่นทั้งหมด และในวันเดียวกันนั้นเองศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์และจำเลยวางเงินค่าตรวจพิสูจน์ฝ่ายละ 2,000 บาท ภายใน 20 วัน นับแต่วันสั่ง ถ้าฝ่ายใดไม่วางเงินภายในกำหนดเวลาก็ให้ถือว่าฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายแพ้คดี ดังนี้แม้จำเลยมิได้วางเงินดังกล่าวภายในกำหนด ก็หามีผลทำให้จำเลยตกเป็นฝ่ายแพ้คดีเพราะการไม่วางเงินตามคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ เพราะการที่ฝ่ายใดไม่วางเงินให้ถือว่าฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายแพ้คดีนั้นเป็นเรื่องนอกเหนือที่คู่ความท้ากัน ศาลชั้นต้นจะนำมาเป็นเหตุวินิจฉัยให้จำเลยแพ้คดีหาได้ไม่ คำท้ายังมีผลบังคับได้ต่อไป เมื่อกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจได้ตรวจพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือนั้นว่าไม่ใช่ลายพิมพ์นิ้วมือของ ค. โจทก์จึงต้องตกเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2302/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่เมื่อมีการอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมาย และการยกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง
กรณีที่มีการอุทธรณ์เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย การวินิจฉัย ข้อกฎหมายนั้นๆ ศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงตามคำวินิจฉัยของ ศาลชั้นต้น แต่ถ้าศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมายศาลอุทธรณ์มีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่แล้วมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดไปตามนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(3)(ก) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจถือเอาข้อเท็จจริงตาม คำพิพากษาคดีแพ่งมาผูกพันโจทก์ในคดีอาญาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยศาลชั้นต้นชอบที่จะวินิจฉัยพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไว้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเพื่อประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณานั้น เท่ากับโจทก์อุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์มีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่แล้วพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดไปตามนั้นได้ ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ศาลชั้นต้นฟังว่าเอกสารสัญญากู้ที่จำเลยใช้เป็นหลักฐานฟ้องเรียกเงินกู้จากโจทก์ในคดีแพ่งเป็นเอกสารที่แท้จริงแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานแสดงหลักฐานเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 นั้น เป็น การยกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ใน ปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193ทวิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2302/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการวินิจฉัยข้อเท็จจริงในชั้นอุทธรณ์คดีอาญา และการห้ามอุทธรณ์ตามมาตรา 193 ทวิ
กรณีที่มีการอุทธรณ์เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย การวินิจฉัยข้อกฎหมายนั้นๆ ศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น แต่ถ้าศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์มีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่แล้วมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดไปตามนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243 (3) (ก) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15
โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจถือเอาข้อเท็จจริงตาม คำพิพากษาคดีแพ่งมาผูกพันโจทก์ในคดีอาญาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยศาลชั้นต้นชอบที่จะวินิจฉัยพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไว้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเพื่อประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณานั้นเท่ากับโจทก์อุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์มีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่แล้วพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดไปตามนั้นได้
ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ศาลชั้นต้นฟังว่าเอกสารสัญญากู้ที่จำเลยใช้เป็นหลักฐานฟ้องเรียกเงินกู้จากโจทก์ในคดีแพ่งเป็นเอกสารที่แท้จริงแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานแสดงหลักฐานเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 นั้น เป็น การยกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ใน ปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193ทวิ
โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจถือเอาข้อเท็จจริงตาม คำพิพากษาคดีแพ่งมาผูกพันโจทก์ในคดีอาญาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยศาลชั้นต้นชอบที่จะวินิจฉัยพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไว้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเพื่อประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณานั้นเท่ากับโจทก์อุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์มีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่แล้วพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดไปตามนั้นได้
ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ศาลชั้นต้นฟังว่าเอกสารสัญญากู้ที่จำเลยใช้เป็นหลักฐานฟ้องเรียกเงินกู้จากโจทก์ในคดีแพ่งเป็นเอกสารที่แท้จริงแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานแสดงหลักฐานเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 นั้น เป็น การยกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ใน ปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193ทวิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2282/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการฟ้องจากการเปลี่ยนแปลงสิ่งเช่าและการเช่าช่วง: สิทธิของผู้ให้เช่าเดิม vs. ผู้รับโอน
จำเลยแก้ไขเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงตึกแถวที่เช่าก่อนที่ผู้ให้เช่าเดิมจะขายตึกแถวให้โจทก์ สิทธิในการฟ้องร้องเพราะเหตุที่จำเลยเปลี่ยนแปลงตึกแถวที่เช่าจึงเป็นของผู้ให้เช่าเดิมหาตกมาเป็นของโจทก์เพราะเหตุที่โจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ตึกแถวไม่ สัญญาเช่ามีข้อความว่าผู้เช่าจะไม่นำตึกแถวไปให้เช่าช่วงหรือให้ผู้อื่นอยู่ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ให้เช่า สิทธิอันนี้ตกไปยังโจทก์ผู้รับโอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 569 เมื่อปรากฏว่าจำเลยผิดสัญญาเช่าโดยนำตึกแถวพิพาทไปให้บุคคลอื่นเช่าช่วงหรือให้ผู้อื่นอยู่โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์หรือผู้ให้เช่าเดิมโจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยได้ การที่จำเลยนำสืบว่าในการเจรจาตกลงเช่าผู้ให้เช่าเดิม อนุญาตด้วยวาจาว่า หากจะตกแต่งสถานที่เช่าให้เหมาะสมหรือนำไปให้ผู้อื่นเช่าช่วงก็ให้ทำได้ โดยบอกกล่าวแก่ผู้ให้เช่าเดิมด้วยวาจาก็พอ ย่อมเป็นการสืบเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารว่ายังมีข้อตกลงดังกล่าวอยู่อีกนอกเหนือไปจากสัญญา การนำสืบเช่นนี้เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 ค่าเสียหายอันเนื่องจากการผิดสัญญาซึ่งได้กำหนดไว้ในสัญญา เช่านี้เป็นเบี้ยปรับ ถ้าสูงเกินสมควรศาลมีอำนาจที่จะลดได้ตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2280/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะจากความขัดแย้งในครอบครัว ศาลพิจารณาเหตุผลและลดโทษ
จำเลยกับผู้ตายมีความสัมพันธ์ฉันสามีภริยา ผู้ตายเป็นคนโมโหร้าย จำเลยจะกลับไปเยี่ยมมารดา แต่ผู้ตายไม่ให้ ไป และกล่าวหาจำเลยว่าจะไปมีชู้ ด่าว่าจำเลยพร้อมทั้งตบตี จำเลยใช้ปืนของผู้ตายยิงผู้ตายเพียงนัดเดียว เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ เพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุ อันไม่เป็นธรรม ทั้งยิงผู้ตายในขณะนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2255/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนเชิดและผลผูกพันตามสัญญาซื้อขาย: เจ้าของที่ดินต้องรับผิดชอบแม้ไม่ได้ทำสัญญาเอง
จำเลยที่ 2 เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทได้รู้เห็นยินยอมให้ จำเลยที่ 1 ทำหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์เป็นการเชิดให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาตามนัยที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821 กรณีดังกล่าวไม่ต้องทำเป็นหนังสือแต่งตั้งตัวแทนตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 798(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2863/2525) เมื่อจำเลยที่ 2 เจ้าของที่ดินได้เชิดให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ดังนี้จำเลยที่ 1จึงไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดตามหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทร่วมกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2199/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่เคลือบคลุม แม้ไม่ได้ระบุรายละเอียดจำนวนเงินที่เสียหายทั้งหมด หากโจทก์สามารถสืบรายละเอียดได้ในชั้นพิจารณา
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยซึ่งเป็นหัวหน้าส่วนการคลังและคณะกรรมการรับผิดชอบเก็บรักษาเงินของโจทก์ มีความบกพร่องในหน้าที่และไม่ปฏิบัติตามระเบียบ เป็นเหตุให้ ส. ยักยอกเอาเงินดังกล่าวของโจทก์อันอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยและพวกไปทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ไม่ เคลือบคลุมแต่อย่างใด โจทก์หาจำต้องบรรยายไว้ในคำฟ้องถึงจำนวนเงินนี้โดยละเอียดว่าเป็นค่าอะไรบ้างและแต่ละจำนวนเป็นจำนวนเท่าใด เพราะจำนวนเงินดังกล่าวโจทก์นำสืบรายละเอียดได้ในชั้นพิจารณาของศาล และจำเลยก็มีโอกาสซักค้านพยานโจทก์เกี่ยวกับเงิน จำนวน นี้ ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2199/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่เคลือบคลุม แม้ไม่ระบุรายละเอียดเงินขาดบัญชี เพราะจำเลยสามารถต่อสู้คดีได้และรู้รายละเอียด
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยซึ่งเป็นหัวหน้าส่วนการคลังและคณะกรรมการรับผิดชอบเก็บรักษาเงินของโจทก์ มีความบกพร่องในหน้าที่และไม่ปฏิบัติตามระเบียบ เป็นเหตุให้ ส. ยักยอกเอาเงินดังกล่าวของโจทก์อันอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยและพวกไป ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยใช้ ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ไม่ เคลือบคลุมแต่อย่างใด โจทก์หาจำต้องบรรยายไว้ในคำฟ้องถึงจำนวนเงินนี้โดยละเอียดว่าเป็นค่าอะไรบ้างและแต่ละจำนวนเป็นจำนวนเท่าใด เพราะจำนวนเงินดังกล่าวโจทก์นำสืบรายละเอียดได้ในชั้นพิจารณาของศาล และจำเลยก็มีโอกาสซักค้านพยานโจทก์เกี่ยวกับเงินจำนวนนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2195/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดูจากเหตุเครื่องบินชนเสียชีวิต ศาลพิจารณาความสามารถรายได้ และภาระผู้รับอุปการะ
บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ อ. วันเกิดเหตุ อ. โดยสารเครื่องบินของจำเลยที่ 1 มา และนักบินซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 กระทำในทางการที่จ้างโดยประมาทเลินเล่อปราศจากความระมัดระวังบินต่ำเกินไปก่อนถึงสนามเป็นเหตุให้เครื่องบินชนโรงงานและ อ. เสียชีวิตเป็นเหตุให้โจทก์ขาดผู้อุปการะเลี้ยงดูตามกฎหมาย ดังนี้ ฟ้องไม่เคลือบคลุม
รายได้ปกติของสามีโจทก์ประมาณเดือนละ 45,000 บาท มีบุตรเกิดจากภรรยาเดิมที่จะต้องรับอุปการะเลี้ยงดู 1 คน และอาจมีบิดามารดาที่จะต้องอุปการะเลี้ยงดูอยู่อีกโจทก์เองไม่มีบุตรกับสามี ศาลกำหนดค่าขาดอุปการะเลี้ยงดูให้โจทก์เดือนละ 15,000 บาท แต่ให้ได้รับคราวเดียวเป็นเวลา 10 ปี ซึ่งโจทก์อาจนำเงินนี้ไปแสวงหาผลประโยชน์ที่มั่นคงเช่นฝากธนาคาร ก็จะได้ดอกเบี้ยตลอดไปไม่น้อยกว่ารายได้แต่ละเดือนที่โจทก์ควรจะได้จากสามี
รายได้ปกติของสามีโจทก์ประมาณเดือนละ 45,000 บาท มีบุตรเกิดจากภรรยาเดิมที่จะต้องรับอุปการะเลี้ยงดู 1 คน และอาจมีบิดามารดาที่จะต้องอุปการะเลี้ยงดูอยู่อีกโจทก์เองไม่มีบุตรกับสามี ศาลกำหนดค่าขาดอุปการะเลี้ยงดูให้โจทก์เดือนละ 15,000 บาท แต่ให้ได้รับคราวเดียวเป็นเวลา 10 ปี ซึ่งโจทก์อาจนำเงินนี้ไปแสวงหาผลประโยชน์ที่มั่นคงเช่นฝากธนาคาร ก็จะได้ดอกเบี้ยตลอดไปไม่น้อยกว่ารายได้แต่ละเดือนที่โจทก์ควรจะได้จากสามี