พบผลลัพธ์ทั้งหมด 24 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 664/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขนย้ายและครอบครองแร่โดยไม่ได้รับอนุญาต การริบของกลาง และการใช้บทกฎหมายที่ถูกต้อง
ใช้รถยนต์ขนแร่โดยไม่ได้รับใบอนุญาตขนแร่และไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีแร่ไว้ในครอบครอง ศาลจึงต้องริบทั้งแร่และรถยนต์ของกลางขณะกระทำผิด พระราชบัญญัติ แร่ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2522 ยังมิได้ใช้บังคับ ศาลจะนำ มาตรา 18,21,27แห่ง พระราชบัญญัติ แร่(ฉบับที่ 3)พ.ศ.2522 ซึ่งไม่เป็นคุณแก่จำเลยมาปรับบทลงโทษจำเลยหาได้ไม่ต้องลงโทษจำเลยตามกฎหมายเก่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2594/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: การอ้างเหตุความจำเป็นต้องยกขึ้นว่ากันตั้งแต่ศาลชั้นต้น และต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวน
จำเลยทั้งสองถูกฟ้องว่ากระทำการปิดกั้นและทดน้ำในลำน้ำอันเป็นการทำให้เสื่อมประโยชน์แก่ทางน้ำสาธารณะ จำเลยทั้งสอง ให้การและนำสืบทำนองเดียวกันว่าได้กระทำด้วยความจำเป็นเพื่อให้จำเลยและคนงานมีน้ำกินน้ำใช้ เช่นนี้ การที่จำเลยที่ 1 ฎีกาข้อกฎหมายอ้างว่ากระทำไปด้วยความจำเป็น. โดยยกข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวว่าเพื่อนำน้ำเข้าใช้ในกิจการเหมืองแร่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ปรากฏในสำนวนและมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแต่ในศาลชั้นต้น ฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยที่ 1 จึงต้องห้ามตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2594/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดด้วยความจำเป็นต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่นำสืบในศาลชั้นต้น การอ้างเหตุใหม่ในฎีกาจึงต้องห้าม
จำเลยทั้งสองถูกฟ้องว่ากระทำการปิดกั้นและทดน้ำในลำน้ำอันเป็นการทำให้เสื่อมประโยชน์แก่ทางน้ำสาธารณะ จำเลยทั้งสอง ให้การและนำสืบทำนองเดียวกันว่าได้กระทำด้วยความจำเป็นเพื่อให้จำเลยและคนงานมีน้ำกินน้ำใช้ เช่นนี้ การที่จำเลยที่ 1 ฎีกาข้อกฎหมายอ้างว่ากระทำไปด้วยความจำเป็น. โดยยกข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวว่าเพื่อนำน้ำเข้าใช้ในกิจการเหมืองแร่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ปรากฏในสำนวนและมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแต่ในศาลชั้นต้น ฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยที่ 1 จึงต้องห้ามตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1343/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขนแร่เกินใบอนุญาต: บริษัทต้องรับผิดชอบแม้ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจ
ลูกจ้างบริษัทจำกัดขนแร่ตามใบอนุญาตของบริษัทแต่ขนเกินใบอนุญาต จนต้องถือว่าแร่ทั้งหมดเป็นแร่ที่ขนโดยไม่ได้รับอนุญาตศาลพิพากษายกฟ้องแต่ให้ริบแร่บริษัทเป็นตัวการในการกระทำความผิดมิใช่ผู้อื่นที่ไม่รู้เห็นเป็นใจตามความหมายของ มาตรา 154 พระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ 2)2516 มาตรา39 บริษัทขอคืนแร่ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1909/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลคำพิพากษาไม่ผูกมัดบุคคลนอกคดี แม้เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินที่ถูกริบ ศาลต้องเปิดโอกาสให้สืบพยาน
ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยและริบแร่ แต่จำเลยไม่ใช่ตัวแทนหรือลูกจ้างผู้ร้อง ผู้ร้องมิใช่คู่ความในคดี คำพิพากษาไม่ผูกมัดผู้ร้องซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของแร่และไม่รู้เห็นเป็นใจในการทำผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1604/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของบริษัทต่อการขนแร่เกินปริมาณที่ได้รับอนุญาต โดยลูกจ้างกระทำผิด
ธ. รับจ้างขนแร่ของบริษัทเกินจำนวนในใบอนุญาตให้ขนกว่าร้อยละ 5 บริษัทต้องรับผิดในการกระทำของลูกจ้างตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 มาตรา 10 ฉบับที่ 2 พ.ศ.2516 มาตรา 8 ธ. ขนแร่ของตนรวมไปกับแร่ของบริษัท ถือว่าการขนแร่เป็นความผิดที่ผู้รับใบอนุญาตต้องรับผิดเป็นตัวการด้วยและถือเป็นแร่ผิดกฎหมายทั้งหมดตาม มาตรา110 ต้องริบตามมาตรา 154 ฉบับที่ 2 พ.ศ.2516 มาตรา39 ไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2561/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ถือประทานบัตรต่อการขนแร่โดยไม่ได้รับอนุญาต แม้มิได้รู้เห็นโดยตรง
ศาลพิพากษาริบแร่ดีบุกของกลาง ผู้ร้องเป็นผู้ถือประทานบัตรเป็นเจ้าของแร่ ลูกจ้างของผู้ร้องขนแร่โดยไม่มีใบอนุญาตขนแร่ ซึ่งผู้จัดการของผู้ร้องใช้ให้ทำ เท่ากับผู้ร้องยอมรับรู้ในกิจการที่ผู้จัดการดำเนินการเกี่ยวกับเหมืองแร่ ผู้ร้องอ้างว่ามิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยไม่ได้ ศาลไม่คืนแร่แก่ผู้ร้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 36/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าช่วงเหมืองแร่: การคิดค่าเช่าตามเนื้อที่ใช้จริง และดอกเบี้ยนับจากวันผิดนัด
พระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ พ.ศ. 2461 ที่ใช้ในขณะทำสัญญามิได้ห้ามการให้เช่าช่วงเหมืองแร่ต่อมา พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 76 ห้ามรับช่วงทำเหมือง แต่มิได้ห้ามเด็ดขาด อาจรับอนุญาตจากรัฐมนตรีได้ จึงอาจบังคับตามสัญญาได้ ไม่ตกเป็นโมฆะและพ้นวิสัย
ผู้เป็นหุ้นส่วนผู้ทำสัญญาให้เช่าช่วงทำเหมืองฟ้องคู่สัญญาได้ไม่ต้องรับอนุญาตจากหุ้นส่วนอื่น
สัญญาซึ่งผู้ได้รับประทานบัตรทำเหมืองแร่จ้างจำเลยรับเหมาให้จำเลยผลิตแร่ได้โดยจำเลยผู้รับจ้างจะชำระผลประโยชน์แก่โจทก์ผู้ว่าจ้างเป็นรายเดือน ดังนี้ ไม่ใช่สัญญาจ้างทำของ แต่เป็นสัญญาเช่าช่วงเหมืองแร่
ผู้ให้เช่าทำเหมืองเนื้อที่ 71 ไร่ แต่ส่งมอบเหมืองจริงเพียง 37 ไร่ ผู้ให้เช่าเรียกค่าเช่าได้เพียงเท่าเนื้อที่ที่ให้เช่าผลิตแร่ได้จริงเท่านั้น ศาลลดค่าเช่าลงครึ่งหนึ่งของจำนวนที่ตกลงกัน
กำหนดชำระค่าเช่าเหมืองแร่ไว้ แต่เมื่อล่วงเลยไปแล้วผู้ให้เช่า ก็ไม่ทักท้วง แต่ให้ผู้เช่าผ่อนเวลาชำระค่าเช่า
ผู้ให้เช่าคิดดอกเบี้ยในค่าเช่าที่ค้างฐานผิดนัดแต่ละเดือนไม่ได้ ศาลคิดให้ตั้งแต่วันบอกกล่าวให้ชำระค่าเช่าภายหลัง
ทำสัญญาเช่าไว้แล้ว จำเลยนำสืบลดค่าเช่าเป็นข้อตกลงกันใหม่แก้ไขข้อสัญญาเดิม จำเลยนำสืบด้วยพยานบุคคลได้ ไม่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
ผู้เป็นหุ้นส่วนผู้ทำสัญญาให้เช่าช่วงทำเหมืองฟ้องคู่สัญญาได้ไม่ต้องรับอนุญาตจากหุ้นส่วนอื่น
สัญญาซึ่งผู้ได้รับประทานบัตรทำเหมืองแร่จ้างจำเลยรับเหมาให้จำเลยผลิตแร่ได้โดยจำเลยผู้รับจ้างจะชำระผลประโยชน์แก่โจทก์ผู้ว่าจ้างเป็นรายเดือน ดังนี้ ไม่ใช่สัญญาจ้างทำของ แต่เป็นสัญญาเช่าช่วงเหมืองแร่
ผู้ให้เช่าทำเหมืองเนื้อที่ 71 ไร่ แต่ส่งมอบเหมืองจริงเพียง 37 ไร่ ผู้ให้เช่าเรียกค่าเช่าได้เพียงเท่าเนื้อที่ที่ให้เช่าผลิตแร่ได้จริงเท่านั้น ศาลลดค่าเช่าลงครึ่งหนึ่งของจำนวนที่ตกลงกัน
กำหนดชำระค่าเช่าเหมืองแร่ไว้ แต่เมื่อล่วงเลยไปแล้วผู้ให้เช่า ก็ไม่ทักท้วง แต่ให้ผู้เช่าผ่อนเวลาชำระค่าเช่า
ผู้ให้เช่าคิดดอกเบี้ยในค่าเช่าที่ค้างฐานผิดนัดแต่ละเดือนไม่ได้ ศาลคิดให้ตั้งแต่วันบอกกล่าวให้ชำระค่าเช่าภายหลัง
ทำสัญญาเช่าไว้แล้ว จำเลยนำสืบลดค่าเช่าเป็นข้อตกลงกันใหม่แก้ไขข้อสัญญาเดิม จำเลยนำสืบด้วยพยานบุคคลได้ ไม่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2829/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิประทานบัตรทำเหมืองแร่และการคุ้มครองสิทธิจากการบุกรุก รวมถึงประเด็นอายุความฟ้องร้อง
เดิมบิดาโจทก์ได้รับประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่ในที่พิพาทบิดาโจทก์ถึงแก่กรรม โจทก์ได้รับมรดกสิทธิตามประทานบัตรโดยถูกต้องตามกฎหมายเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2499 ประทานบัตรนี้สิ้นอายุในวันที่ 31 มีนาคม 2507 วันที่ 9 มกราคม 2507 โจทก์ขอต่ออายุ ต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้ต่ออายุประทานบัตรให้โจทก์12 ปีตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2507 เป็นต้นไปประทานบัตรของโจทก์จึงมิได้ขาดต่ออายุ จำเลยอ้างว่าพ. เข้าแผ้วถางปลูกพืชพันธ์ในที่พิพาทอยู่ 9 ปีแล้วขายให้จำเลยเมื่อปี พ.ศ. 2513 ดังนี้สิทธิของโจทก์ตามประทานบัตรจึงมีอยู่ก่อน พ. เข้าไปยึดถือครอบครอง และขณะฟ้องโจทก์ก็ยังมีสิทธิตามประทานบัตรนั้นอยู่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องด้วยว่า โจทก์ครอบครองที่พิพาทโดยได้รับประทานบัตรทำเหมืองแร่ในที่พิพาท โจทก์เสียภาษีและค่าธรรมเนียมประทานบัตรตลอดมา จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกต้นผลอาสินทำรั้วในที่พิพาท ขอให้ขับไล่ ฟ้องเช่นนี้ถือได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยตามสิทธิประทานบัตรตามพระราชบัญญัติแร่พ.ศ. 2510 ด้วย
พ. ผู้ที่จำเลยอ้างว่าได้ขายหรือมอบที่พิพาทให้จำเลยก็ดี จำเลยก็ดีเข้าไปปลูกต้นผลอาสิน สร้างรั้ว หรืออาคารลงในที่พิพาท เป็นการยึดถือครอบครองในเขตพื้นที่ประทานบัตรของโจทก์ โดยไม่ปรากฏว่ามีสิทธิที่จะทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนสิทธิของโจทก์ผู้ถือประทานบัตร โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้
การได้รับประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่ ไม่ทำให้โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินเขตประทานบัตร กรณีไม่ใช่เรื่องฟ้องเรียกคืนสิทธิครอบครองจากผู้แย่งการครอบครองจะนำเอาสิทธิฟ้องคดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 มาปรับแก่คดีหาได้ไม่ ต้องปรับด้วยอายุความทั่วไปตามมาตรา 164 และการพ้นอายุความก็ต้องนับแต่มีการบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่พิพาท เมื่อจำเลยเข้าไปครอบครองที่พิพาทยังไม่ถึง 10 ปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
โจทก์บรรยายฟ้องด้วยว่า โจทก์ครอบครองที่พิพาทโดยได้รับประทานบัตรทำเหมืองแร่ในที่พิพาท โจทก์เสียภาษีและค่าธรรมเนียมประทานบัตรตลอดมา จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกต้นผลอาสินทำรั้วในที่พิพาท ขอให้ขับไล่ ฟ้องเช่นนี้ถือได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยตามสิทธิประทานบัตรตามพระราชบัญญัติแร่พ.ศ. 2510 ด้วย
พ. ผู้ที่จำเลยอ้างว่าได้ขายหรือมอบที่พิพาทให้จำเลยก็ดี จำเลยก็ดีเข้าไปปลูกต้นผลอาสิน สร้างรั้ว หรืออาคารลงในที่พิพาท เป็นการยึดถือครอบครองในเขตพื้นที่ประทานบัตรของโจทก์ โดยไม่ปรากฏว่ามีสิทธิที่จะทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนสิทธิของโจทก์ผู้ถือประทานบัตร โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้
การได้รับประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่ ไม่ทำให้โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินเขตประทานบัตร กรณีไม่ใช่เรื่องฟ้องเรียกคืนสิทธิครอบครองจากผู้แย่งการครอบครองจะนำเอาสิทธิฟ้องคดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 มาปรับแก่คดีหาได้ไม่ ต้องปรับด้วยอายุความทั่วไปตามมาตรา 164 และการพ้นอายุความก็ต้องนับแต่มีการบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่พิพาท เมื่อจำเลยเข้าไปครอบครองที่พิพาทยังไม่ถึง 10 ปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1871/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขนย้ายแร่เพื่อความปลอดภัยไม่ต้องเสียค่าภาคหลวงก่อน เอกสารไม่ใช่ใบขนปลอม
ก่อนที่จะมีพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ออกใช้บังคับการขนย้ายแร่ออกนอกเขตเหมืองไปเก็บรักษาเพื่อความปลอดภัย มิใช่กรณีที่จะส่งออกไปนอกราชอาณาจักร หรือเพื่อจำหน่ายภายในราชอาณาจักร ไม่จำต้องมีใบขนแร่ และไม่ต้องเสียค่าภาคหลวงก่อนที่จะทำการขนแร่
จำเลยเขียนข้อความไว้ตอนบนของหนังสือกำกับนำแร่เคลื่อนที่ว่า "ใบขนเลขที่ 280/08 ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2508 และใบขนเลขที่ 290/08 ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2508" เมื่อข้อความที่จำเลยเขียนไม่ใช่ข้อความที่กฎหมายบังคับให้ต้องเขียนไว้ การที่จำเลยเขียนข้อความดังกล่าวก็ไม่ทำให้หนังสือกำกับนำแร่เคลื่อนที่มีลักษณะเป็นใบขนแร่ไปได้ และแม้จำเลยจะเขียนไว้เพื่อแสดงว่าแร่ที่ขนย้ายมานั้นได้เสียค่าภาคหลวงแล้ว ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง แต่เมื่อการขนย้ายแร่ในกรณีเช่นนี้ไม่จำต้องมีใบขน ไม่จำต้องเสียค่าภาคหลวงก่อนทำการขน และต่อมาภายหลังได้เสียค่าภาคหลวงถูกต้องครบถ้วนแล้ว เช่นนี้ การกระทำของจำเลยจึงไม่ใช่การกระทำที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น จำเลยจึงยังไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารหรือเอกสารสิทธิ
จำเลยเขียนข้อความไว้ตอนบนของหนังสือกำกับนำแร่เคลื่อนที่ว่า "ใบขนเลขที่ 280/08 ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2508 และใบขนเลขที่ 290/08 ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2508" เมื่อข้อความที่จำเลยเขียนไม่ใช่ข้อความที่กฎหมายบังคับให้ต้องเขียนไว้ การที่จำเลยเขียนข้อความดังกล่าวก็ไม่ทำให้หนังสือกำกับนำแร่เคลื่อนที่มีลักษณะเป็นใบขนแร่ไปได้ และแม้จำเลยจะเขียนไว้เพื่อแสดงว่าแร่ที่ขนย้ายมานั้นได้เสียค่าภาคหลวงแล้ว ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง แต่เมื่อการขนย้ายแร่ในกรณีเช่นนี้ไม่จำต้องมีใบขน ไม่จำต้องเสียค่าภาคหลวงก่อนทำการขน และต่อมาภายหลังได้เสียค่าภาคหลวงถูกต้องครบถ้วนแล้ว เช่นนี้ การกระทำของจำเลยจึงไม่ใช่การกระทำที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น จำเลยจึงยังไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารหรือเอกสารสิทธิ