พบผลลัพธ์ทั้งหมด 540 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3750/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของผู้จัดการและผู้ช่วยผู้จัดการเมื่อผู้ช่วยฯ กระทำละเมิด โดยผู้จัดการมีหน้าที่จำกัดเฉพาะงานนโยบาย
จำเลยที่1 เป็นผู้จัดการร้านสหกรณ์โจทก์จำเลยที่ 2เป็นผู้ช่วยผู้จัดการ ตามข้อบังคับของโจทก์ข้อ 53 ระบุว่าหากผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนผู้จัดการ ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องทำให้เกิดความเสียหายผู้จัดการต้องรับผิดชอบด้วย แต่ในการแต่งตั้ง จำเลยที่1 นั้นจำเลยที่1 ขอรับหน้าที่เฉพาะงานนโยบายเท่านั้นซึ่งคณะกรรมการของโจทก์ตกลงยินยอมด้วยส่วนการบริหารงาน ร้านโจทก์นั้นปรากฏว่าจำเลยที่2 เป็น ผู้บริหารงานของโจทก์ แต่ผู้เดียวตลอดมาดังนี้จำเลยที่ 1ไม่มีหน้าที่บริหารงานของโจทก์ และการบริหารงานของจำเลยที่2 มิใช่การทำการแทนจำเลยที่ 1 ตามข้อบังคับข้อ 53 เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับ จำเลย ที่ 2 กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงจะอาศัยข้อบังคับดังกล่าว ให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดด้วยหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3750/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดความรับผิดของผู้จัดการ: การมอบหมายงานนโยบายและการกระทำละเมิดของผู้ช่วย
จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการร้านสหกรณ์โจทก์จำเลยที่ 2 เป็นผู้ช่วยผู้จัดการ ตามข้อบังคับของโจทก์ข้อ 53 ระบุว่า หากผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนผู้จัดการปฏิบัติหน้าที่บกพร่องทำให้เกิดความเสียหาย ผู้จัดการต้องรับผิดชอบด้วย แต่ในการแต่งตั้งจำเลยที่ 1 นั้นจำเลยที่1 ขอรับหน้าที่เฉพาะงานนโยบายเท่านั้นซึ่งคณะกรรมการของโจทก์ตกลงยินยอมด้วย ส่วนการบริหารงานร้านโจทก์นั้นปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้บริหารงานของโจทก์แต่ผู้เดียวตลอดมา ดังนี้จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่บริหารงานของโจทก์ และการบริหารงานของจำเลยที่ 2 มิใช่การทำการแทนจำเลยที่ 1 ตามข้อบังคับข้อ 53 เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงจะอาศัยข้อบังคับดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดด้วยหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3709/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประกอบกิจการท่าเรือโดยไม่ได้รับอนุญาต และความรับผิดของกรรมการบริษัท
การที่จำเลยทั้งสองนำเรือมาดัดแปลงใช้เหล็กปิดปากระวางเพื่อให้ รถยนต์บรรทุกแล่นลงไปขนส่งสินค้ากับได้ใช้ลวดผูกโยงตรึงให้อยู่กับที่ และใช้เรือลำเลียงเดินทะเลมีขนาด1,075.40 ตันกรอส เทียบขนถ่ายสินค้า เช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการใช้สิ่งลอยน้ำเป็นสถานที่สำหรับให้บริการแก่ เรือเดินทะเลที่มีขนาดตั้งแต่ 500 ตันกรอสขึ้นไปอันเป็นการประกอบกิจการ ท่าเรือแล้ว หาได้ใช้ในสภาพที่เป็นเรือลำเลียงไม่การกระทำของจำเลย ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการประกอบกิจการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภค อันกระทบกระเทือนถึงความปลอดภัยหรือผาสุกของประชาชน ซึ่งต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 จำเลยทั้งสองฎีกาว่าทำการขนถ่ายสินค้า 2 ครั้งด้วยความจำเป็น ไม่มีเจตนาใช้เป็นท่าเรือกับฎีกาว่าเรือสมิหลา2 ไม่ใช่เรือเดินทะเลเป็นฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยทั้งสองฎีกาว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456มาตรา 47 นั้นปรากฏว่าโจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามมาตรา 47 และศาลล่างทั้งสองมิได้หยิบยกบทกฎหมายดังกล่าวมาลงโทษจำเลยทั้งสอง แต่อย่างใดฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นสาระแก่คดีศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย การประกอบกิจการท่าเรือ แม้ผู้ประกอบกิจการจะไม่ได้มุ่งหาประโยชน์ จากกิจการดังกล่าวก็ต้องได้รับอนุญาตเพราะกระทบกระเทือนถึงความปลอดภัย หรือผาสุกของประชาชน จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการกระทำกิจการต่างๆ แทนลำพังจำเลยที่ 1 ไม่อาจกระทำกิจการด้วยตนเองได้การกระทำความผิด เกิดขึ้นเนื่องมาจากจำเลยที่ 2 โดยตรงย่อมถือว่าจำเลยที่ 2ร่วมกระทำ ความผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3709/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประกอบกิจการท่าเรือโดยไม่ได้รับอนุญาต มีความผิดตามกฎหมาย
การที่จำเลยทั้งสองนำเรือมาดัดแปลงใช้เหล็กปิดปากระวางเพื่อให้ รถยนต์บรรทุกแล่นลงไปขนส่งสินค้า กับได้ใช้ลวดผูกโยงตรึงให้อยู่กับที่และใช้เรือลำเลียงเดินทะเลมีขนาด 1,075.40 ตันกรอส เทียบขนถ่ายสินค้าเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการใช้สิ่งลอยน้ำเป็นสถานที่สำหรับให้บริการแก่เรือเดินทะเลที่มีขนาดตั้งแต่ 500 ตันกรอสขึ้นไป อันเป็นการประกอบกิจการท่าเรือแล้ว หาได้ใช้ในสภาพที่เป็นเรือลำเลียงไม่การกระทำของจำเลยดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการประกอบกิจการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภคอันกระทบกระเทือนถึงความปลอดภัยหรือผาสุกของประชาชน ซึ่งต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58
จำเลยทั้งสองฎีกาว่าทำการขนถ่ายสินค้า 2 ครั้งด้วยความจำเป็น ไม่มีเจตนาใช้เป็นท่าเรือ กับฎีกาว่าเรือสมิหลา 2 ไม่ใช่เรือเดินทะเลเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยทั้งสองฎีกาว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 มาตรา 47 นั้นปรากฏว่าโจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามมาตรา 47 และศาลล่างทั้งสองมิได้หยิบยกบทกฎหมายดังกล่าวมาลงโทษจำเลยทั้งสองแต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นสาระแก่คดี ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การประกอบกิจการท่าเรือ แม้ผู้ประกอบกิจการจะไม่ได้มุ่งหาประโยชน์จากกิจการดังกล่าว ก็ต้องได้รับอนุญาตเพราะกระทบกระเทือนถึงความปลอดภัย หรือผาสุกของประชาชน
จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการกระทำกิจการต่าง ๆ แทนลำพังจำเลยที่ 1 ไม่อาจกระทำกิจการด้วยตนเองได้ การกระทำความผิดเกิดขึ้นเนื่องมาจากจำเลยที่ 2 โดยตรง ย่อมถือว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย
จำเลยทั้งสองฎีกาว่าทำการขนถ่ายสินค้า 2 ครั้งด้วยความจำเป็น ไม่มีเจตนาใช้เป็นท่าเรือ กับฎีกาว่าเรือสมิหลา 2 ไม่ใช่เรือเดินทะเลเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยทั้งสองฎีกาว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 มาตรา 47 นั้นปรากฏว่าโจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามมาตรา 47 และศาลล่างทั้งสองมิได้หยิบยกบทกฎหมายดังกล่าวมาลงโทษจำเลยทั้งสองแต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นสาระแก่คดี ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การประกอบกิจการท่าเรือ แม้ผู้ประกอบกิจการจะไม่ได้มุ่งหาประโยชน์จากกิจการดังกล่าว ก็ต้องได้รับอนุญาตเพราะกระทบกระเทือนถึงความปลอดภัย หรือผาสุกของประชาชน
จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการกระทำกิจการต่าง ๆ แทนลำพังจำเลยที่ 1 ไม่อาจกระทำกิจการด้วยตนเองได้ การกระทำความผิดเกิดขึ้นเนื่องมาจากจำเลยที่ 2 โดยตรง ย่อมถือว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3670/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิซื้อคืนที่ดิน: สัญญาประนีประนอมมีผลผูกพัน ไม่ใช่นิติกรรมอำพราง
ทำสัญญาซื้อขายที่ดินจดทะเบียนไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว โจทก์จำเลยทำสัญญาต่อกันอีกฉบับหนึ่งว่า โจทก์มีสิทธิซื้อที่ดินคืนได้ภายใน 10 ปี ดังนี้ สัญญาที่ทำต่อกันไม่ใช่สัญญาขายฝากหรือนิติกรรมอำพราง แต่ข้อกำหนดที่ให้ โจทก์มีสิทธิซื้อที่ดินคืนจากจำเลยได้ภายใน 10 ปี เป็นคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง จึงมีผลผูกพันคู่กรณีใช้บังคับกันได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3670/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิซื้อคืนที่ดิน: สัญญาประนีประนอมมีผลผูกพัน ไม่ใช่นิติกรรมอำพราง
ทำสัญญาซื้อขายที่ดินจดทะเบียนไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว โจทก์จำเลยทำสัญญาต่อกันอีกฉบับหนึ่งว่า โจทก์มีสิทธิซื้อที่ดิน คืนได้ภายใน 10 ปีดังนี้ สัญญาที่ทำต่อกัน ไม่ใช่สัญญาขายฝาก หรือนิติกรรมอำพรางแต่ข้อกำหนดที่ให้ โจทก์มีสิทธิซื้อที่ดินคืนจาก จำเลยได้ภายใน 10 ปีเป็นคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา456วรรคสองจึงมีผลผูกพัน คู่กรณีใช้บังคับกัน ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3615/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ค้าน้ำมันต่อการปลอมปนน้ำมันเชื้อเพลิง: ข้อสันนิษฐานทางกฎหมายและการพิสูจน์ความระมัดระวัง
ความผิดต่อพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2521 มาตรา 25 ตรี มีข้อสันนิษฐานไว้ในวรรคสองและวรรคสี่ความว่า ถ้าการกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิงเกิดขึ้นภายในสถานที่ทำการหรือสถานที่จำหน่ายของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 ทวิ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ค้าน้ำมันดังกล่าวเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้ว ที่จะป้องกันมิให้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า มีผู้กระทำความผิดถูกจับขณะกำลังปลอมปนน้ำมันโดยถ่ายน้ำมันก๊าดลงในถังเก็บน้ำมันโซล่าใต้ดินของจำเลยที่ 1 ในบริเวณปั๊มน้ำมันของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ไม่มีพยานมาสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าวได้ จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ค้าน้ำมัน และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่1จึงต้องรับผิดตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3615/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ค้าน้ำมันต่อการปลอมปนน้ำมันเชื้อเพลิง: ข้อสันนิษฐานทางกฎหมายและการใช้ความระมัดระวัง
ความผิดต่อพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิงพ.ศ.2521มาตรา25 ตรี มีข้อสันนิษฐานไว้ในวรรคสองและวรรคสี่ความว่าถ้าการกระทำความผิด ต่อพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิงเกิดขึ้นภายในสถานที่ทำการหรือ สถานที่จำหน่ายของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา6 ทวิ ให้สันนิษฐานไว้ก่อน ว่าผู้ค้าน้ำมันดังกล่าวเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยเว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่า ตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้วที่จะป้องกันมิให้มี การกระทำความผิดเกิดขึ้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่ามีผู้กระทำความผิด ถูกจับขณะกำลังปลอมปนน้ำมันโดยถ่ายน้ำมันก๊าดลงในถังเก็บ น้ำมันโซล่าใต้ดินของจำเลยที่ 1 ในบริเวณปั๊มน้ำมันของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ไม่มีพยานมาสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมาย ดังกล่าวได้จำเลยที่1ในฐานะผู้ค้าน้ำมันและจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็น หุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่1จึงต้องรับผิดตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3605/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลาออกด้วยความสมัครใจ แม้มิได้ปฏิบัติตามข้อบังคับบริษัทก็มีผลสมบูรณ์
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีว่า เมื่อพนักงานผู้ใด ประสงค์จะลาออกจากงาน ให้ยื่นหนังสือลาออกพร้อมเหตุผล ต่อผู้บังคับบัญชาเหนือตนล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๓๐ วันนั้น ถือได้ว่ากำหนดขึ้นเพื่อประโยชน์แก่นายจ้างในการที่จะได้ มีเวลาหาคนทำงานแทนผู้ลาออก ดังนั้น เมื่อนายจ้างและ ลูกจ้างตกลงกันที่จะไม่ปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าว ไม่ว่า ฝ่ายใดเป็นผู้เสนอก็ตามก็หามีกฎหมายห้ามมิให้กระทำได้ ไม่ การลาออกของลูกจ้างตามข้อเสนอของนายจ้างแม้มิได้ กระทำเป็นหนังสือตามระเบียบก็มีผลเป็นการลาออกที่สมบูรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3605/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงการลาออกที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรมีผลผูกพันได้ หากทั้งสองฝ่ายตกลง
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีว่า เมื่อพนักงานผู้ใดประสงค์จะลาออกจากงาน ให้ยื่นหนังสือลาออกพร้อมเหตุผลต่อผู้บังคับบัญชาเหนือตนล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วันนั้นถือได้ว่ากำหนดขึ้นเพื่อประโยชน์แก่นายจ้างในการที่จะได้มีเวลาหาคนทำงานแทนผู้ลาออก ดังนั้น เมื่อนายจ้างและลูกจ้างตกลงกันที่จะไม่ปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าว ไม่ว่าฝ่ายใดเป็นผู้เสนอก็ตามก็หามีกฎหมายห้ามมิให้กระทำได้ไม่ การลาออกของลูกจ้างตามข้อเสนอของนายจ้างแม้มิได้กระทำเป็นหนังสือตามระเบียบก็มีผลเป็นการลาออกที่สมบูรณ์