พบผลลัพธ์ทั้งหมด 540 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3043/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอรับชำระหนี้จำนองหลังการขายทอดตลาด: สิทธิและการปฏิบัติตามกำหนดเวลาตามกฎหมาย
ผู้ร้องขอรับชำระหนี้จำนองจากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองโดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองซึ่งผู้ร้องมีบุริมสิทธิในการที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 หาใช่ร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์จำนองตามมาตรา 287 ไม่ เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ตามมาตรา 289 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งศาลชอบที่จะยกคำร้องของผู้ร้องเสีย (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 684/2513)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3043/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองหลังการขายทอดตลาด: สิทธิและกรอบเวลาตามกฎหมาย
ผู้ร้องขอรับชำระหนี้จำนองจากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองโดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองซึ่งผู้ร้องมีบุริมสิทธิในการที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 หาใช่ร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์จำนองตามมาตรา 287 ไม่ เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ตามมาตรา 289 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งศาลชอบที่จะยกคำร้องของผู้ร้องเสีย (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 684/2513)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2881/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของผู้จัดการมรดกในการให้เช่าทรัพย์มรดก และการฟ้องร้องผู้เช่าผิดสัญญา
จำเลยทำสัญญาเช่าตึกพิพาทจากโจทก์ผู้ให้เช่าในฐานะโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของ พ.หาได้เช่าจากมูลนิธิพ. ไม่ทั้งโฉนดที่ดินซึ่ง ตึกพิพาทตั้งอยู่มีชื่อโจทก์เป็น เจ้าของกรรมสิทธิ์ยังไม่ได้โอนให้แก่ มูลนิธิ พ.ตาม พินัยกรรมของเจ้ามรดกจึงต้องถือว่าการจัดการทรัพย์มรดก ยังไม่เสร็จสิ้น โจทก์ยังมีสิทธิและหน้าที่ที่จะทำการอันจำเป็น เพื่อให้การเป็นไปตามคำสั่งแจ้งชัด หรือโดยปริยายแห่งพินัยกรรม เพื่อจัดการมรดกดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719 ผู้ให้เช่าไม่จำต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ให้เช่า เมื่อผู้เช่าผิดสัญญา ผู้ให้เช่าย่อมฟ้องผู้เช่าซึ่งเป็นคู่สัญญากับตนได้ และผู้เช่าจะโต้แย้งว่าผู้ให้เช่าไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่า หาได้ไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าเพราะไม่ยอมออกจากตึกที่เช่า และส่งมอบทรัพย์ที่เช่าคืนภายหลังครบกำหนดตามสัญญาแล้ว การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2881/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของผู้จัดการมรดกในการให้เช่าทรัพย์มรดก แม้กรรมสิทธิ์ยังไม่โอน
จำเลยทำสัญญาเช่าตึกพิพาทจากโจทก์ผู้ให้เช่าในฐานะโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของ พ. หาได้เช่าจากมูลนิธิ พ. ไม่ทั้งโฉนดที่ดิน ซึ่งตึกพิพาทตั้งอยู่มีชื่อโจทก์เป็น เจ้าของกรรมสิทธิ์ยังไม่ได้โอนให้แก่ มูลนิธิ พ. ตามพินัยกรรมของเจ้ามรดกจึงต้องถือว่าการจัดการทรัพย์มรดก ยังไม่เสร็จสิ้น โจทก์ยังมีสิทธิและหน้าที่ที่จะทำการอันจำเป็น เพื่อให้การเป็นไปตามคำสั่งแจ้งชัด หรือโดยปริยายแห่งพินัยกรรม เพื่อจัดการมรดกดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719 ผู้ให้เช่าไม่จำต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ให้เช่า เมื่อผู้เช่าผิดสัญญา ผู้ให้เช่าย่อมฟ้องผู้เช่าซึ่งเป็นคู่สัญญากับตนได้ และผู้เช่าจะโต้แย้งว่าผู้ให้เช่าไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่า หาได้ไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าเพราะไม่ยอมออกจากตึกที่เช่า และส่งมอบทรัพย์ที่เช่าคืนภายหลังครบกำหนดตามสัญญาแล้ว การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์
เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าเพราะไม่ยอมออกจากตึกที่เช่า และส่งมอบทรัพย์ที่เช่าคืนภายหลังครบกำหนดตามสัญญาแล้ว การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2842/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินกิจการยาสูบโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิผู้ได้รับอนุญาตแล้ว เพราะไม่ใช่การผูกขาด
โจทก์ฟ้องจำเลยอ้างมูลละเมิด เนื่องมาจากโจทก์ได้รับอนุญาตจาก กรมสรรพสามิตให้ตั้งสถานีบ่มใบยา สร้างโรงบ่มใบยา ทำการบ่มใบยา เพาะปลูกต้นยาสูบซื้อและขายใบยา ในท้องที่ต่าง ๆ จำเลยได้ดำเนินกิจการอย่างเดียวกัน โดยไม่ได้รับอนุญาตทับลงบนบางท้องที่ซึ่งโจทก์ได้รับอนุญาต แม้การ กระทำของจำเลยดังกล่าวคือการตั้งสถานีบ่มใบยา สร้างโรงบ่มใบยา ทำการบ่มใบยาเพาะปลูกต้นยาสูบจะต้องได้รับ อนุญาตก่อนดำเนินการ ตามพระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ. 2509 แต่กิจการดังกล่าวนี้มิได้มีลักษณะเป็นการผูกขาด ซึ่งผู้ได้รับอนุญาตแล้วจะทำได้แต่เพียงผู้เดียวกิจการผูกขาด ตามพระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ. 2509 มีชนิดเดียวเท่านั้น คือการประกอบอุตสาหกรรมบุหรี่ซิกาแรต ซึ่งเป็นการผูกขาดของรัฐการกระทำของจำเลย ตามที่โจทก์ฟ้องแม้จะไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมสรรพสามิต ก็ไม่เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์จำเลยคงมีความผิดตามพระราชบัญญัติ ยาสูบ ถือไม่ได้ว่ามี กฎหมายรับรองคุ้มครองสิทธิของโจทก์อันจะก่อให้เกิด มูลละเมิดตามกฎหมายโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
หมายเหตุ ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2528
หมายเหตุ ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2528
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2842/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินกิจการยาสูบโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิผู้ได้รับอนุญาตก่อนหน้า
โจทก์ฟ้องจำเลยอ้างมูลละเมิด เนื่องมาจากโจทก์ได้รับอนุญาตจาก กรมสรรพสามิตให้ตั้งสถานีบ่มใบยา สร้างโรงบ่มใบยา ทำการบ่มใบยา เพาะปลูกต้นยาสูบซื้อและขายใบยาในท้องที่ ต่างๆจำเลยได้ดำเนินกิจการ อย่างเดียวกันโดยไม่ได้รับอนุญาตทับลงบนบางท้องที่ซึ่งโจทก์ได้รับอนุญาต แม้การ กระทำของจำเลยดังกล่าวคือการตั้งสถานีบ่มใบยาสร้างโรงบ่มใบยา ทำการบ่มใบยาเพาะปลูกต้นยาสูบจะต้องได้รับ อนุญาตก่อนดำเนินการ ตามพระราชบัญญัติยาสูบพ.ศ. 2509แต่ กิจการดังกล่าวนี้มิได้มีลักษณะเป็น การผูกขาดซึ่งผู้ได้ รับอนุญาตแล้วจะทำได้แต่เพียงผู้เดียวกิจการผูกขาด ตามพระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ. 2509 มีชนิดเดียวเท่านั้น คือการ ประกอบ อุตสาหกรรมบุหรี่ซิกาแรตซึ่งเป็นการผูกขาดของรัฐการกระทำของจำเลย ตามที่โจทก์ฟ้องแม้จะไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมสรรพสามิต ก็ไม่เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์จำเลยคงมีความผิดตามพระราชบัญญัติ ยาสูบ ถือไม่ได้ว่ามี กฎหมายรับรองคุ้มครองสิทธิของโจทก์อันจะก่อให้เกิด มูลละเมิดตามกฎหมายโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ หมายเหตุ ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2528
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2839/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ระยะเวลาคำตักเตือนและการเลิกจ้าง: คำตักเตือนมีอายุจำกัด พิจารณาพฤติการณ์เป็นรายกรณี
ลูกจ้างเข้าทำงานกะบ่ายตั้งแต่เวลา 15 นาฬิกา ซึ่งจะ ต้องทำงานจนถึงเวลา 23 นาฬิกา แต่เวลา 22.55 นาฬิกา ลูกจ้างออกไปนอกบริษัทนายจ้างโดยไม่มีบัตรผ่าน และไม่ได้ขออนุญาตผู้บังคับบัญชาก่อนแล้วกลับเข้ามาปั๊มบัตรลงชื่อเลิกงานตามกะ ดังนี้ลูกจ้างไม่ทำงานให้นายจ้างเพียง 5 นาที การปั๊มบัตรลงชื่อทำงานเต็มเวลา 8 ชั่วโมงนั้น เกิดโทษแก่บริษัทนายจ้างน้อยมาก ยังไม่พอถือว่าลูกจ้างทำการทุจริตต่อหน้าที่และยังไม่เป็นการกระทำผิดทางอาญาแก่นายจ้าง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ข้อ 47 (1)
แม้ประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ข้อ 47 (3) มิได้กำหนดว่าคำตักเตือนเป็นหนังสือมีระยะเวลานานเท่าใดจึงจะหมดอายุหรือระยะเวลานานเท่าใด จึงจะเป็นระยะเวลาที่นานเกินสมควรที่ไม่สามารถนำมาเป็นเหตุในการเลิกจ้างโดยไม่ ต้องจ่ายค่าชดเชยแต่ก็ไม่หมายความว่าเมื่อนายจ้าง ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว คำตักเตือนนั้นจะมีผลอยู่ตลอดไปหากลูกจ้างรู้สำนึกตัวและปรับปรุงแก้ไขการทำงานการประพฤติ ตัวของตนแล้วคำตักเตือนนั้นก็ควรสิ้นผลไปและการพิจารณาว่าระยะเวลาคำตักเตือนเป็นหนังสือกับการฝ่าฝืน ข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้างครั้งหลัง เป็นระยะเวลาเนิ่นนานหรือไม่เพียงใดนั้นจะต้องพิจารณาตามพฤติการณ์เป็นเรื่อง ๆ ไป
โจทก์ออกไปนอกบริเวณโรงงานเพื่อซื้อก๋วยเตี๋ยวหน้าโรงงานเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2526 เป็นเวลา 10 นาทีและได้รับคำเตือนเป็นหนังสือแล้วต่อมาโจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับฯ อีก ในวันที่ 16 เมษายน 2527 โดยออกจากบริเวณโรงงานก่อนครบกำหนดกะทำงาน 5 นาทีดังนี้เมื่อพิจารณาถึงเหตุที่ โจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับฯ ความเสียหายการงานของบริษัทจำเลย ซึ่งเป็นนายจ้างและระยะเวลาของคำตักเตือนเป็นหนังสือครั้งแรกกับการกระทำผิดครั้งนี้แล้วถือว่าคำตักเตือนนั้นมีอายุเนิ่นนานเกินสมควรที่จะนำมาพิจารณาสำหรับการเลิกจ้างในการฝ่าฝืนข้อบังคับฯ ครั้งหลัง
แม้ประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ข้อ 47 (3) มิได้กำหนดว่าคำตักเตือนเป็นหนังสือมีระยะเวลานานเท่าใดจึงจะหมดอายุหรือระยะเวลานานเท่าใด จึงจะเป็นระยะเวลาที่นานเกินสมควรที่ไม่สามารถนำมาเป็นเหตุในการเลิกจ้างโดยไม่ ต้องจ่ายค่าชดเชยแต่ก็ไม่หมายความว่าเมื่อนายจ้าง ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว คำตักเตือนนั้นจะมีผลอยู่ตลอดไปหากลูกจ้างรู้สำนึกตัวและปรับปรุงแก้ไขการทำงานการประพฤติ ตัวของตนแล้วคำตักเตือนนั้นก็ควรสิ้นผลไปและการพิจารณาว่าระยะเวลาคำตักเตือนเป็นหนังสือกับการฝ่าฝืน ข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้างครั้งหลัง เป็นระยะเวลาเนิ่นนานหรือไม่เพียงใดนั้นจะต้องพิจารณาตามพฤติการณ์เป็นเรื่อง ๆ ไป
โจทก์ออกไปนอกบริเวณโรงงานเพื่อซื้อก๋วยเตี๋ยวหน้าโรงงานเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2526 เป็นเวลา 10 นาทีและได้รับคำเตือนเป็นหนังสือแล้วต่อมาโจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับฯ อีก ในวันที่ 16 เมษายน 2527 โดยออกจากบริเวณโรงงานก่อนครบกำหนดกะทำงาน 5 นาทีดังนี้เมื่อพิจารณาถึงเหตุที่ โจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับฯ ความเสียหายการงานของบริษัทจำเลย ซึ่งเป็นนายจ้างและระยะเวลาของคำตักเตือนเป็นหนังสือครั้งแรกกับการกระทำผิดครั้งนี้แล้วถือว่าคำตักเตือนนั้นมีอายุเนิ่นนานเกินสมควรที่จะนำมาพิจารณาสำหรับการเลิกจ้างในการฝ่าฝืนข้อบังคับฯ ครั้งหลัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2839/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้าง: ระยะเวลาคำตักเตือน, การฝ่าฝืนไม่ร้ายแรง, และผลกระทบต่อค่าชดเชย
ลูกจ้างเข้าทำงานกะบ่ายตั้งแต่เวลา 15 นาฬิกา ซึ่งจะ ต้องทำงานจนถึงเวลา23 นาฬิกาแต่เวลา22.55 นาฬิกา ลูกจ้างออกไปนอกบริษัทนายจ้างโดยไม่มีบัตรผ่าน และไม่ได้ขออนุญาตผู้บังคับบัญชาก่อนแล้วกลับเข้ามาปั๊มบัตรลงชื่อเลิกงานตามกะดังนี้ลูกจ้างไม่ทำงานให้นายจ้างเพียง 5นาที การปั๊มบัตรลงชื่อทำงานเต็มเวลา 8 ชั่วโมงนั้นเกิด โทษแก่บริษัทนายจ้างน้อยมากยังไม่พอถือว่าลูกจ้างทำการทุจริตต่อหน้าที่และยังไม่เป็นการกระทำผิดทางอาญาแก่นายจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ข้อ 47(1) แม้ประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ข้อ 47(3) มิได้กำหนดว่าคำตักเตือนเป็นหนังสือมีระยะเวลานานเท่าใดจึงจะหมดอายุหรือระยะเวลานานเท่าใดจึงจะเป็นระยะเวลาที่นานเกินสมควรที่ไม่สามารถนำมาเป็นเหตุในการเลิกจ้างโดยไม่ ต้องจ่ายค่าชดเชยแต่ก็ไม่หมายความว่า เมื่อนายจ้าง ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว คำตักเตือนนั้นจะมีผลอยู่ตลอดไปหากลูกจ้างรู้สำนึกตัวและปรับปรุงแก้ไขการทำงานการประพฤติ ตัวของตนแล้ว คำตักเตือนนั้นก็ควรสิ้นผลไปและการ พิจารณาว่าระยะเวลาคำตักเตือนเป็นหนังสือกับการฝ่าฝืน ข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้างครั้งหลัง เป็นระยะเวลาเนิ่นนานหรือไม่เพียงใดนั้นจะต้องพิจารณาตามพฤติการณ์เป็นเรื่องๆ ไป โจทก์ออกไปนอกบริเวณโรงงานเพื่อซื้อก๋วยเตี๋ยวหน้าโรงงานเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2526 เป็นเวลา 10 นาทีและได้ รับคำเตือนเป็นหนังสือแล้วต่อมาโจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับฯ อีก ในวันที่ 16 เมษายน 2527 โดยออกจากบริเวณโรงงานก่อนครบ กำหนดกะทำงาน 5 นาทีดังนี้เมื่อพิจารณาถึงเหตุที่ โจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับฯ ความเสียหายการงานของบริษัทจำเลยซึ่ง เป็นนายจ้างและระยะเวลาของคำตักเตือนเป็นหนังสือครั้งแรกกับการกระทำผิดครั้งนี้แล้วถือว่าคำตักเตือนนั้นมีอายุ เนิ่นนานเกินสมควรที่จะนำมาพิจารณาสำหรับการเลิกจ้างในการ ฝ่าฝืนข้อบังคับฯครั้งหลัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2596/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอคืนอาวุธปืนของผู้ร้องที่ถูกใช้ในความผิดของผู้อื่น ต้องแสดงว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจ
คำร้องบรรยายว่า อาวุธปืนของกลางเป็นของผู้ร้อง ขอให้ศาลสั่งคืน แต่ไม่บรรยายว่า ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิดของจำเลย แม้จะอ้างว่ามีผู้อื่นนำของกลางไปฝากไว้ที่บ้านจำเลย ก็ไม่อาจถือหรือแปลความหมายได้ว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการที่จำเลยกระทำผิดจึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2264/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อขายบ้านพร้อมที่ดิน, การนำสืบข้อตกลงเพิ่มเติม, การผิดสัญญา, การคืนเงิน
สัญญาจะซื้อขายบ้านพร้อมที่ดินเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งผู้จะขายจะต้องสร้างบ้านให้เสร็จและโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมบ้านในวันที่ผู้จะซื้อชำระเงินงวดสุดท้าย และตามปกติจะต้องมีกำหนดเวลาการสร้างบ้านให้แล้วเสร็จไว้ในสัญญาด้วย เมื่อในสัญญามิได้กำหนดระยะเวลาการปลูกสร้างบ้านให้แล้วเสร็จไว้ผู้จะซื้อย่อมนำสืบพยานบุคคลได้ว่าผู้จะขายได้กำหนดระยะเวลาไว้โดยตกลงกันด้วยวาจาเพราะมิใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือเพิ่มเติมเอกสารสัญญา แต่เป็นการนำสืบถึงข้อตกลงต่างหากจากสัญญาจะซื้อขายเพื่อให้ชัดเจนและเพื่อให้คู่สัญญาปฏิบัติตามกำหนดระยะเวลาในสัญญาได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
สัญญาจะซื้อขายบ้านพร้อมที่ดินกำหนดชำระเงินไว้เป็นงวด ๆ ผู้จะซื้อได้ชำระเงินให้ผู้จะขายแล้วบางส่วน แม้จะไม่ ครบถ้วนและไม่ตรงตามกำหนดเวลาตามสัญญาแต่ผู้จะขายก็รับเงินและออกใบเสร็จรับเงินให้ ถือได้ว่าคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย มิได้มีเจตนาถือเอากำหนดเวลาการชำระเงินและจำนวนเงินที่ ชำระกันตามสัญญาเป็นสาระสำคัญผู้จะซื้อจึงยังมิใช่ผู้ผิดสัญญา
สัญญาจะซื้อขายบ้านพร้อมที่ดินกำหนดชำระเงินไว้เป็นงวด ๆ ผู้จะซื้อได้ชำระเงินให้ผู้จะขายแล้วบางส่วน แม้จะไม่ ครบถ้วนและไม่ตรงตามกำหนดเวลาตามสัญญาแต่ผู้จะขายก็รับเงินและออกใบเสร็จรับเงินให้ ถือได้ว่าคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย มิได้มีเจตนาถือเอากำหนดเวลาการชำระเงินและจำนวนเงินที่ ชำระกันตามสัญญาเป็นสาระสำคัญผู้จะซื้อจึงยังมิใช่ผู้ผิดสัญญา