คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เสนอ ศรนิยม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 540 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3144/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักทรัพย์โดยมีอาวุธปืน: การกระทำยังไม่ถึงขั้นขู่เข็ญเพื่อประทุษร้ายจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
ผู้เสียหายได้ยินเสียงคนงัดประตูใต้ถุนบ้านจึงเปิดไฟฟ้าใต้ถุนบ้านแล้วมองดูทางช่องพื้นบ้าน เห็นจำเลยกับพวกถือปืนคนละกระบอกยืนอยู่แล้วไฟฟ้าดับลงโดยได้ยินเสียงตูม เข้าใจว่าคนร้ายตีหลอดไฟแตก ผู้เสียหายกลัวจึงกระโดดบ้านหนี ดังนี้ จำเลยกับพวกยังไม่ได้เข้ามาถึงตัวผู้เสียหายและยังไม่เห็นตัวผู้เสียหาย ยังไม่ได้ขู่เข็ญจะประทุษร้ายผู้เสียหายด้วยประการใดๆเลย แม้จะมีปืนมาด้วยก็ยังไม่ได้แสดงปืนนั้นให้ผู้เสียหายเห็น เป็นเรื่องผู้เสียหายแอบเห็นเอง การตีหลอดไฟฟ้าแตกก็คงประสงค์จะให้ไฟฟ้าดับไม่ให้ใครเห็นและจำได้เท่านั้น จะถือว่าเป็นการขู่เข็ญจะประทุษร้ายก็ยังไม่ได้ ตอนที่พวกของจำเลยขึ้นไปเอาทรัพย์บนบ้านผู้เสียหายก็ไม่ได้ถือปืนหรือขู่เข็ญจะทำร้ายใคร การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์เท่านั้น มิใช่ความผิดฐานปล้นทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3071/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกที่ดินของผู้อื่นโดยเจตนา และความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ศาลฎีกาพิจารณาเจตนาและไม่ปรับบทลงโทษซ้ำซ้อน
จำเลยทราบดีว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ร่วมทั้งสองซึ่งครอบครองอยู่ก่อนโดยมี น.ส.3 เป็นหลักฐานเมื่อโจทก์ร่วมนำที่พิพาทไปจำนอง จำเลยก็รู้เห็นในการจำนองด้วย การที่จำเลยเข้าไปบุกรุกแผ้วถางที่พิพาท จึงไม่ใช่กรณีที่จำเลยเข้าใจผิดหรือขาดเจตนาแต่อย่างใด จำเลยจึงมีความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์
ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ เมื่อจำเลยผิดตามมาตรา 359 แล้วก็ไม่จำต้องยก มาตรา 358 ขึ้นปรับบทลงโทษอีก
(อ้างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3115/2516)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3071/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยบุกรุกที่ดินของผู้อื่นโดยเจตนา แม้จะรู้ว่าที่ดินนั้นเป็นของโจทก์ และมีการจำนองแล้ว
จำเลยทราบดีว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ร่วมทั้งสองซึ่งครอบครองอยู่ก่อนโดยมี น.ส.3 เป็นหลักฐาน เมื่อโจทก์ร่วมนำที่พิพาทไปจำนอง จำเลยก็รู้เห็นในการจำนองด้วย การที่จำเลยเข้าไปบุกรุกแผ้วถางที่พิพาทจึงไม่ใช่กรณีที่จำเลยเข้าใจผิดหรือขาดเจตนาแต่อย่างใด จำเลยจึงมีความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์
ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ เมื่อจำเลยผิดตามมาตรา 359แล้วก็ไม่จำต้องยกมาตรา 358 ขึ้นปรับบทลงโทษอีก (อ้างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3115/2516)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2799/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับระยะเวลาฎีกา: เริ่มนับในวันรุ่งขึ้นของวันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ทำให้การยื่นฎีกาภายในกำหนด
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 28กุมภาพันธ์ 2526 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเดือน คู่ความย่อมฎีกาได้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2526 เพราะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 158 เริ่มนับอายุฎีกา 1 ในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 1 มีนาคม ซึ่งเป็น วันต้นของเดือน และครบ 1 เดือนตามปฏิทินในวันที่ 31 มีนาคมจำเลยยื่นฎีกาในวันที่ 29 มีนาคม 2526 จึงอยู่ภายในกำหนด1 เดือนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247
(อ้างคำสั่งคำร้องของศาลฎีกา ที่ 37/2484)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2799/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กำหนดเวลาฎีกา: การนับอายุความเริ่มต้นในวันรุ่งขึ้นของวันอ่านคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2526 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเดือนคู่ความย่อมฎีกาได้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2526 เพราะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 158 เริ่มนับอายุฎีกา 1 ในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 1 มีนาคม ซึ่งเป็น วันต้นของเดือน และครบ 1 เดือนตามปฏิทินในวันที่ 31 มีนาคมจำเลยยื่นฎีกาในวันที่ 29 มีนาคม 2526 จึงอยู่ภายในกำหนด1 เดือน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 (อ้างคำสั่งคำร้องของศาลฎีกา ที่ 37/2484)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2667/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตัดพยานแล้วนำสืบใหม่ การไม่เสียเปรียบจำเลย และการลดโทษจำคุก
ศาลตัดพยานโจทก์ปากผู้เสียหายเพราะไม่สามารถนำพยานมาศาล แต่เมื่อการพิจารณายังไม่เสร็จ โจทก์เอาตัวผู้เสียหายมาศาลได้ก่อนสืบพยานจำเลย กรณีไม่ใช่โจทก์ไม่ติดใจสืบพยานปากนี้แล้ว โจทก์ไม่หมดสิทธิที่จะสืบพยานปากนี้ โจทก์พยายามนำพยานปากนี้มาสืบ เมื่อผู้เสียหายไม่มาก็แถลงว่าผู้เสียหายหลีกเลี่ยง ศาลออกหมายจับผู้เสียหาย และโจทก์แถลงว่าผู้เสียหายเป็นพยานคู่กับ ร.ต.ท. ภ. แสดงว่าโจทก์มิได้เอาเปรียบจำเลยในการดำเนินคดีแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2664/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของผู้สืบสันดาน & การฟ้องซ้ำในคดีอาญา: ความแตกต่างของการกระทำ
โจทก์เป็นบุตรของผู้ตายตามความเป็นจริงแม้จะไม่ใช่ บุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็ถือว่าเป็นผู้สืบสันดานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5(2) โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง คดีก่อนพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง ย. ว่าจะแทงจำเลย แต่ไปถูกผู้ตายคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ขณะที่ ย. จะ แทงจำเลย จำเลยได้จับตัวผู้ตายเหวี่ยงมาบังตัวไว้และ ผลักไปข้างหน้า เป็นเหตุให้ผู้ตายถูก ย.แทงถึงแก่ความตายดังนี้การกระทำของ ย. และจำเลยเป็นคนละส่วน กัน และในคดีก่อนจำเลยก็มิได้ ถูกฟ้องด้วย ฟ้อง โจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1526/2497)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2664/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของบุตรตามความเป็นจริง, ฟ้องซ้ำ, และการพิพากษายกฟ้องเนื่องจากพยานหลักฐานไม่น่าเชื่อถือ
โจทก์เป็นบุตรของผู้ตายตามความเป็นจริง แม้จะไม่ใช่ บุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็ถือว่าเป็นผู้สืบสันดานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5(2) โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คดีก่อนพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง ย. ว่าจะแทงจำเลยแต่ไปถูกผู้ตายคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ขณะที่ ย. จะ แทงจำเลย จำเลยได้จับตัวผู้ตายเหวี่ยงมาบังตัวไว้และ ผลักไปข้างหน้า เป็นเหตุให้ผู้ตายถูก ย. แทงถึงแก่ความตาย ดังนี้การกระทำของ ย.และจำเลยเป็นคนละส่วนกัน และในคดีก่อนจำเลยก็มิได้ถูกฟ้องด้วย ฟ้อง โจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1526/2497)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2643/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในเรือนพิพาทที่สร้างบนที่ดินเช่า: สิทธิของทายาทสินเดิม vs. พินัยกรรมที่ไม่มีอำนาจ
คำฟ้องได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับส่วนข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้น โจทก์บรรยายตามลำดับเหตุการณ์ มิได้ขัดแย้งกันดังที่จำเลยฎีกา ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ฟ้องเรียกเอาเรือนพิพาทที่เป็นทรัพย์ส่วนของโจทก์จากจำเลยซึ่งบิดาจำเลยทำพินัยกรรมยกให้จำเลยโดยไม่มีสิทธิและโจทก์ก็ได้อาศัยอยู่ในเรือนพิพาทตลอดมา จะนำเอาอายุความมรดกมาใช้บังคับไม่ได้
เรือนพิพาทเป็นสินเดิมของช. เมื่อ ช. ตายโดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้ กรรมสิทธิ์ในเรือนพิพาทย่อมตกได้แก่ทายาทโดยธรรมของ ช. ทุกคนรวมทั้งโจทก์และจำเลยด้วย บิดาจำเลยซึ่งเป็นสามี ช. ย่อมไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกเรือนพิพาทให้จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2643/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในเรือนพิพาทตกทายาทโดยธรรม สินเดิมของมารดา แม้บิดามีพินัยกรรมยกให้ผู้อื่นก็ไม่สมบูรณ์
คำฟ้องได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับส่วนข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้น โจทก์บรรยายตามลำดับเหตุการณ์มิได้ขัดแย้งกันดังที่จำเลยฎีกา ไม่เป็น ฟ้องเคลือบคลุม ฟ้องเรียกเอาเรือนพิพาทที่เป็นทรัพย์ส่วนของโจทก์จาก จำเลยซึ่งบิดาจำเลยทำพินัยกรรมยกให้จำเลยโดยไม่มีสิทธิและโจทก์ก็ได้อาศัยอยู่ในเรือนพิพาทตลอดมา จะนำเอา อายุความมรดกมาใช้บังคับไม่ได้ เรือนพิพาทเป็นสินเดิมของช. เมื่อ ช. ตายโดยมิได้ ทำพินัยกรรมไว้ กรรมสิทธิ์ในเรือนพิพาทย่อมตกได้แก่ทายาทโดยธรรมของ ช. ทุกคนรวมทั้งโจทก์และจำเลยด้วยบิดาจำเลยซึ่งเป็นสามี ช. ย่อมไม่มีอำนาจทำพินัยกรรม ยกเรือนพิพาทให้จำเลย
of 54