คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เสนอ ศรนิยม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 540 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1790/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พินัยกรรมสมบูรณ์ แม้ทำในโรงพยาบาล และคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกชอบด้วยกฎหมายแม้ไม่ระบุเหตุขัดข้อง
การทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองซึ่งทำขึ้นโดยทางราชการแม้จะจัดทำในโรงพยาบาลก็ไม่จำต้องให้แพทย์รับรอง เพราะการจะพิจารณาว่าผู้ทำพินัยกรรมมีสติสัมปชัญญะดีหรือไม่ นายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้ทำพินัยกรรมย่อมมีความรู้ความสามารถพอที่จะพิจารณาได้
คำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกแม้มิได้ระบุเหตุขัดข้องในการจัดการมรดกไว้ แต่ได้ระบุว่าผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียและได้แนบสำเนาสูติบัตรของผู้รับพินัยกรรมมาให้เห็นว่าเป็นผู้เยาว์ ก็ถือว่าเป็นคำร้องที่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องได้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713(1) และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1762/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งระหว่างพิจารณาคดีขัดทรัพย์: อุทธรณ์และฎีกาไม่ชอบ เนื่องจากเป็นคำสั่งระหว่างดำเนินการ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 วรรคสอง บัญญัติให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีร้องขัดทรัพย์เหมือนอย่างคดีธรรมดา ศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ร้องขัดทรัพย์วางเงินประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามมาตรา 288 (1) จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นยังไม่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ผู้ร้องขัดทรัพย์จะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวไม่ได้ ต้องห้ามตาม มาตรา 226(1 แม้ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ร้องขัดทรัพย์มาแล้วก็เป็นการไม่ชอบผู้ร้องขัดทรัพย์จะฎีกาต่อมาอีกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1762/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งระหว่างพิจารณาคดีขัดทรัพย์: การอุทธรณ์และฎีกาที่มิชอบ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 288 วรรคสอง บัญญัติให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีร้องขัดทรัพย์เหมือนอย่างคดีธรรมดาศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ร้องขัดทรัพย์วางเงินประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามมาตรา 288(1) จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นยังไม่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ผู้ร้องขัดทรัพย์จะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวไม่ได้ต้องห้ามตาม มาตรา 226(1) แม้ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ร้องขัดทรัพย์มาแล้วก็เป็นการไม่ชอบผู้ร้องขัดทรัพย์จะฎีกาต่อมาอีกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1724/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจ และยืนตามคำพิพากษาเดิมเรื่องริบของกลาง
คดีร้องขอคืนของกลาง ผู้ร้องมิได้ฎีกาโดยตรงว่า ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิด เพียงแต่กล่าวในฎีกาว่าผู้ร้องถอถือเอาคำอุทธรณ์ของผู้ร้องเป็นคำฎีกาของผู้ร้องส่วนหนึ่งด้วย เป็นฎีกาที่ไม่ชอบ
คดีนี้พิพาทในเรื่องขอคืนของกลางเท่านั้น สำหรับคดีเดิมเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยและริบของกลาง ไม่ปรากฏว่ามีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ คำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าวย่อมถึงที่สุดผู้ร้องจะมาโต้เถียงในชั้นนี้ว่าจำเลยมิได้ใช้ของกลางในการกระทำผิด คำพิพากษาในคดีเดิมที่ริบของกลางไม่ชอบด้วยกฎหมายหาได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1680/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องสัญญา, การมอบอำนาจ, การผิดสัญญา, อายุความ, และการโอนย้ายข้าราชการ
อธิการบดีมอบอำนาจให้เลขาธิการ ซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ราชการรองจากอธิการบดีลงชื่อในสัญญาแทนโจทก์ แม้จะไม่ปรากฏหลักฐานเป็นหนังสือ แต่จำเลยก็ยอมรับการกระทำดังกล่าวตลอดมาโจทก์ย่อมมีสิทธินำสัญญามาฟ้องร้องได้โดยชอบ
โจทก์เป็นส่วนราชการของรัฐบาล เงินทุนที่จำเลยที่ 1 ได้รับเป็นเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลออสเตรเลีย ให้แก่รัฐบาลไทยภายใต้แผนการโคลัมโบ ดังนั้น เมื่อโจทก์ได้รับมอบหมายให้ทำสัญญาได้ย่อมมีอำนาจฟ้องร้องตามสัญญาได้ ข้อความในสัญญาชัดเจนอยู่แล้วว่า ถ้าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจะต้องชดใช้เงินแก่โจทก์ หามีข้อสงสัยต้องตีความไม่
การที่โจทก์ยอมให้จำเลยที่ 1 โอนไปรับราชการสังกัดอื่นมิใช่การยอมสละสิทธิตามสัญญาแต่อย่างใด เพียงแต่โจทก์ไม่ถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเท่านั้น เพราะจำเลยที่ 1 ยังคงรับราชการเป็นประโยชน์แก่รัฐบาลอยู่
จำเลยที่ 1 ออกจากราชการเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2517 ต้องนับเอาวันที่ดังกล่าวเป็นวันเริ่มต้นผิดสัญญา และโจทก์เริ่มมีสิทธิคิดดอกเบี้ย เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องภายในเวลา 10 ปี คดีจึงไม่ขาดอายุความ.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1497/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คและการรับผิดของผู้สั่งจ่าย: สิทธิของผู้ทรงเช็คเมื่อผู้สั่งจ่ายออกเช็คแม้ยังไม่ได้รับชำระราคาสินค้า
ในการสั่งซื้อสินค้าบริษัทผู้ซื้อที่นิวยอร์คได้ใช้วิธีเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต จำเลยที่ 1 ผู้ขายปฏิบัติผิดเงื่อนไขจึงรับเงินไม่ได้ การไม่ได้รับชำระราคาสินค้าจึงเป็นความผิดของจำเลยที่ 1 เอง โจทก์ซึ่งเป็นนายหน้าได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนครบถ้วน และส่งหลักฐานการขอรับเงินค่านายหน้าต่อจำเลยที่ 1แล้ว จำเลยที่ 1 ออกเช็คให้ เมื่อไม่มีข้อตกลงกันว่าจะไม่จ่ายค่านายหน้าถ้ายังไม่ได้รับชำระราคาสินค้า จำเลยที่ 1ผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็ค.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1478/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาแจ้งความร้องทุกข์ต้องมุ่งหวังให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี แม้ฟ้องเองภายหลังก็ไม่ทำให้การแจ้งความไม่ชอบด้วยกฎหมายกลับเป็นชอบ
การร้องทุกข์ที่ชอบด้วยกฎหมายจะต้องเป็นการแจ้งความในลักษณะของการกล่าวหาโดยมีเจตนาให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี เมื่อบันทึกการแจ้งความมีข้อความแสดงชัดว่าในขณะที่แจ้งโจทก์ไม่มีเจตนาให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่จำเลย ซึ่งถือว่าไม่เป็นการร้องทุกข์ตามกฎหมาย การที่โจทก์มาฟ้องคดีเองในภายหลัง ก็หามีผลให้คำร้องทุกข์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวกลับกลายเป็นชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาไม่ โจทก์แจ้งความว่า จึงมอบอำนาจให้ผู้แจ้งมาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อประสงค์ให้จำเลยได้รับโทษตามกฎหมายและโจทก์ประสงค์ขอรับเช็คของกลางคืนไปเพื่อดำเนินการฟ้องร้องกับจำเลยและผู้เกี่ยวข้องในทางศาลเองต่อไป โดยไม่ขอมอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินการแต่อย่างใด ดังนี้แม้แจ้งความดังกล่าวมีข้อความว่า มาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อประสงค์ให้จำเลยรับโทษตามกฎหมาย แต่ก็มีข้อความต่อไปว่าโจทก์ขอรับเช็คคืนเพื่อดำเนินการฟ้องร้องเองจึงเห็นเจตนาของโจทก์ได้ว่าไม่ประสงค์ให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนดำเนินคดีแก่จำเลย แจ้งความดังกล่าวจึงไม่ใช่คำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(7)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1478/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาการร้องทุกข์สำคัญกว่าการฟ้องเอง การแจ้งความต้องประสงค์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี
การร้องทุกข์ที่ชอบด้วยกฎหมายจะต้องเป็นการแจ้งความในลักษณะของการกล่าวหาโดยมีเจตนาให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี เมื่อบันทึกการแจ้งความมีข้อความแสดงชัดว่าในขณะที่แจ้งโจทก์ไม่มีเจตนาให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่จำเลย ซึ่งถือว่าไม่เป็นการร้องทุกข์ตามกฎหมาย การที่โจทก์มาฟ้องคดีเองในภายหลัง ก็หามีผลให้คำร้องทุกข์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวกลับกลายเป็นชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาไม่ โจทก์แจ้งความว่า จึงมอบอำนาจให้ผู้แจ้งมาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อประสงค์ให้จำเลยได้รับโทษตามกฎหมายและโจทก์ประสงค์ขอรับเช็คของกลางคืนไปเพื่อดำเนินการฟ้องร้องกับจำเลยและผู้เกี่ยวข้องในทางศาลเองต่อไป โดยไม่ขอมอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินการแต่อย่างใด ดังนี้แม้แจ้งความดังกล่าวมีข้อความว่า มาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อประสงค์ให้จำเลยรับโทษตามกฎหมาย แต่ก็มีข้อความต่อไปว่าโจทก์ขอรับเช็คคืนเพื่อดำเนินการฟ้องร้องเองจึงเห็นเจตนาของโจทก์ได้ว่าไม่ประสงค์ให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนดำเนินคดีแก่จำเลย แจ้งความดังกล่าวจึงไม่ใช่คำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(7)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1453/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำสัญญาเช่าซื้อต้องทำเป็นหนังสือลงชื่อคู่สัญญาครบถ้วน ไม่จำเป็นต้องลงชื่อวันเดียวกัน
ตามบทบัญญัติในมาตรา 572 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แปลได้ว่า สัญญาเช่าซื้อจะต้องทำเป็นหนังสือ โดยลงชื่อคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายและไม่มีบทบัญญัติใดระบุว่า คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายจะต้องลงชื่อในวันทำสัญญานั้นเมื่อคู่สัญญาลงชื่อในสัญญาเช่าซื้อทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็ย่อมถือได้ว่าสัญญาเช่าซื้อนั้นได้กระทำเป็นหนังสือแล้ว โดยคู่สัญญาหาจำเป็นต้องลงชื่อในวันเดียวกับที่ทำสัญญาเช่าซื้อไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1453/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อสมบูรณ์เมื่อลงชื่อครบ แม้ลงชื่อหลังทำสัญญา
บทบัญญัติมาตรา 572 วรรคสอง แห่ง ป.พ.พ. ไม่ได้ระบุไว้แต่อย่างใดว่าคู่สัญญาเช่าซื้อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายต้องลงชื่อในวันทำสัญญา เมื่อคู่สัญญาลงชื่อในสัญญาเช่าซื้อทั้งสองฝ่ายย่อมถือได้ว่าสัญญาเช่าซื้อได้กระทำเป็นหนังสือแล้ว ดังนั้น การที่ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ลงชื่อในสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยภายหลังจากวันที่ทำสัญญาเช่าซื้อนั้น สัญญาเช่าซื้อย่อมสมบูรณ์ตามกฎหมาย.
of 54