พบผลลัพธ์ทั้งหมด 449 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3607/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความบังคับคดี: การดำเนินการตามขั้นตอนครบถ้วนภายใน 10 ปี มิได้เพียงแค่การร้องขอ
การร้องขอให้บังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา271เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆของการบังคับคดีให้ครบถ้วนภายในกำหนด10ปีคือเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีขั้นต่อไปต้องให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบว่าศาลได้ออกหมายบังคับคดีแล้วจากนั้นเจ้าหนี้ต้องแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ยึดทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำแถลงการที่ผู้ร้องเพียงแต่ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีอย่างเดียวเท่านั้นโดยมิได้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปอีกจนพ้นกำหนดเวลา10ปีนับแต่วันมีคำพิพากษาผู้ร้องจึงหมดสิทธิที่จะบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยเพราะขาดอายุการบังคับคดีและผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอเฉลี่ยทรัพย์จากทรัพย์สินของจำเลยเพราะการขอเฉลี่ยทรัพย์เป็นการบังคับคดีอย่างหนึ่ง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3607/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความบังคับคดี: เจ้าหนี้ต้องดำเนินการครบถ้วนภายใน 10 ปี มิฉะนั้นขาดสิทธิเรียกร้อง
การร้องขอให้บังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา271 เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ของการบังคับคดีให้ครบถ้วนภายในกำหนด 10 ปี คือ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี ขั้นต่อไปต้องให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบว่าศาลได้ออกหมายบังคับคดีแล้วจากนั้นเจ้าหนี้ต้องแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ยึดทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำแถลงการที่ผู้ร้องเพียงแต่ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีอย่างเดียวเท่านั้น โดยมิได้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปอีกจนพ้นกำหนดเวลา 10 ปีนับแต่วันมีคำพิพากษา ผู้ร้องจึงหมดสิทธิที่จะบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยเพราะขาดอายุการบังคับคดีและผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอเฉลี่ยทรัพย์จากทรัพย์สินของจำเลยเพราะการขอเฉลี่ยทรัพย์เป็นการบังคับคดีอย่างหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3599/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยสนับสนุนให้โจทก์ลงทุนสร้างซุ้มค้าแล้วไม่สามารถดำเนินการได้ ถือเป็นการละเมิด
จำเลยทราบอยู่แล้วว่าจำเลยไม่มีอำนาจอนุญาตให้โจทก์สร้างซุ้มขายของบริเวณที่จอดรถของโรงแรมที่จำเลยเช่าดำเนินกิจการอยู่แต่จำเลยกลับขอร้องและสนับสนุนให้โจทก์ลงทุนตระเตรียมการก่อสร้างซุ้มขายของดังกล่าวไปก่อนขออนุญาตเจ้าของโรงแรมในที่สุดไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างได้เพราะเจ้าของโรงแรมมีข้อตกลงกับกรุงเทพมหานครให้ใช้บริเวณที่จะสร้างซุ้มขายของเป็นที่จอดรถอย่างเดียวจึงเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายการกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์และต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์สำหรับค่าเสียหายที่โจทก์ต้องจ้างที่ปรึกษาและทุ่มเทเวลาเพื่องานนี้ส่วนค่าขาดประโยชน์ที่โจทก์จะได้รับหากได้สร้างซุ้มพิพาทและค่าเสียหายต่อชื่อเสียงเกียรติคุณนั้นเป็นค่าเสียหายที่ไกลกว่าเหตุ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3599/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยสนับสนุนให้โจทก์ลงทุนก่อนขออนุญาต ทำให้โจทก์เสียหายจากการสร้างซุ้มที่ไม่สามารถดำเนินการได้ ถือเป็นการละเมิด
จำเลยทราบอยู่แล้วว่าจำเลยไม่มีอำนาจอนุญาตให้โจทก์สร้างซุ้มขายของบริเวณที่จอดรถของโรงแรมที่จำเลยเช่าดำเนินกิจการอยู่ แต่จำเลยกลับขอร้องและสนับสนุนให้โจทก์ลงทุนตระเตรียมการก่อสร้างซุ้มขายของดังกล่าวไปก่อนขออนุญาตเจ้าของโรงแรมในที่สุดไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างได้ เพราะเจ้าของโรงแรมมีข้อตกลงกับกรุงเทพมหานครให้ใช้บริเวณที่จะสร้างซุ้มขายของเป็นที่จอดรถอย่างเดียว จึงเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์และต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์สำหรับค่าเสียหายที่โจทก์ต้องจ้างที่ปรึกษาและทุ่มเทเวลาเพื่องานนี้ส่วนค่าขาดประโยชน์ที่โจทก์จะได้รับหากได้สร้างซุ้มพิพาท และค่าเสียหายต่อชื่อเสียงเกียรติคุณนั้นเป็นค่าเสียหายที่ไกลกว่าเหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3407/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษาและการตกลงวิธีการส่งมอบทรัพย์สิน ศาลมีอำนาจสั่งให้รื้อถอนและชำระค่าใช้จ่ายได้
ศาลพิพากษาให้จำเลยจัดการโอนกรรมสิทธิ์และส่งมอบบ้านให้โจทก์ภายหลังโจทก์จำเลยตกลงกันในศาลว่า หากโจทก์มีสิทธิการเช่าที่ปลูกบ้านจำเลยจะมอบบ้านพิพาทให้โจทก์โดยโจทก์ไม่ต้องรื้อหากจำเลยมีสิทธิการเช่า โจทก์ต้องรื้อถอนบ้านไปเองเป็นการตกลงเกี่ยวกับวิธีการส่งมอบบ้านมีผลบังคับโจทก์จำเลย เมื่อปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิการเช่าที่ดินและโจทก์ไม่ยอมรื้อถอนบ้าน ศาลชั้นต้นมีอำนาจอนุญาตให้จำเลยรื้อถอนและสั่งให้โจทก์เสียค่าใช้จ่ายได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 213 ส่วนค่ารักษาทรัพย์ที่รื้อถอน หากโจทก์มิได้ตกลงด้วย ศาลชั้นต้นก็ไม่มีอำนาจสั่งให้โจทก์ชำระ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3407/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษาและการตกลงวิธีการส่งมอบทรัพย์สิน ศาลมีอำนาจสั่งให้รื้อถอนและชำระค่าใช้จ่ายได้
ศาลพิพากษาให้จำเลยจัดการโอนกรรมสิทธิ์และส่งมอบบ้านให้โจทก์ภายหลังโจทก์จำเลยตกลงกันในศาลว่าหากโจทก์มีสิทธิการเช่าที่ปลูกบ้านจำเลยจะมอบบ้านพิพาทให้โจทก์โดยโจทก์ไม่ต้องรื้อหากจำเลยมีสิทธิการเช่าโจทก์ต้องรื้อถอนบ้านไปเองเป็นการตกลงเกี่ยวกับวิธีการส่งมอบบ้านมีผลบังคับโจทก์จำเลยเมื่อปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิการเช่าที่ดินและโจทก์ไม่ยอมรื้อถอนบ้านศาลชั้นต้นมีอำนาจอนุญาตให้จำเลยรื้อถอนและสั่งให้โจทก์เสียค่าใช้จ่ายได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา213ส่วนค่ารักษาทรัพย์ที่รื้อถอนหากโจทก์มิได้ตกลงด้วยศาลชั้นต้นก็ไม่มีอำนาจสั่งให้โจทก์ชำระ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3407/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษาและการตกลงวิธีการส่งมอบทรัพย์สิน ศาลมีอำนาจสั่งให้รื้อถอนและชำระค่าใช้จ่ายได้
ศาลพิพากษาให้จำเลยจัดการโอนกรรมสิทธิ์และส่งมอบบ้านให้โจทก์ภายหลังโจทก์จำเลยตกลงกันในศาลว่า หากโจทก์มีสิทธิการเช่าที่ปลูกบ้าน จำเลยจะมอบบ้านพิพาทให้โจทก์โดยโจทก์ไม่ต้องรื้อ หากจำเลยมีสิทธิการเช่า โจทก์ต้องรื้อถอนบ้านไปเองเป็นการตกลงเกี่ยวกับวิธีการส่งมอบบ้าน มีผลบังคับโจทก์จำเลย เมื่อปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิการเช่าที่ดินและโจทก์ไม่ยอมรื้อถอนบ้าน ศาลชั้นต้นมีอำนาจอนุญาตให้จำเลยรื้อถอนและสั่งให้โจทก์เสียค่าใช้จ่ายได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 213 ส่วนค่ารักษาทรัพย์ที่รื้อถอน หากโจทก์มิได้ตกลงด้วย ศาลชั้นต้นก็ไม่มีอำนาจสั่งให้โจทก์ชำระ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3156/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดุลพินิจศาลในการรับฟังพยาน: พยานแวดล้อมต้องใกล้ชิดเหตุการณ์และมีน้ำหนักประกอบกับพยานอื่น
พยานหลักฐานใดควรจะนำมาวินิจฉัยรับฟังได้หรือไม่นั้นย่อมเป็นดุลพินิจของศาลซึ่งต้องไม่ขัดต่อกฎหมายหากเป็นพยานแวดล้อมกรณีก็ต้องพิจารณาว่าเป็นพยานที่รู้เห็นใกล้ชิดเหตุการณ์สถานที่อันจะบ่งชี้ได้โดยแน่นอนเมื่อปรากฏว่าก.พยานโจทก์ที่ศาลไม่นำมารับฟังไม่ใช่พยานแวดล้อมกรณีที่ใกล้ชิดต่อเหตุการณ์ประกอบกับพยานแวดล้อมกรณีที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ปากอื่นๆของโจทก์ก็ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้แล้วการที่ศาลไม่นำคำเบิกความของก.มารับฟังเป็นพยานประกอบพยานอื่นจึงไม่เป็นการขัดต่อกฎหมาย. ฎีกาข้อที่ว่าคำพยานที่เบิกความมีน้ำหนักรับฟังได้หรือไม่นั้นเป็นการคัดค้านดุลพินิจการรับฟังพยานจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3156/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดุลพินิจการรับฟังพยาน: ศาลมีอำนาจพิจารณาความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐาน และไม่จำเป็นต้องรับฟังทุกพยานหากไม่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริง
พยานหลักฐานใดควรจะนำมาวินิจฉัยรับฟังได้หรือไม่นั้นย่อมเป็นดุลพินิจของศาลซึ่งต้องไม่ขัดต่อกฎหมายหากเป็นพยานแวดล้อมกรณีก็ต้องพิจารณาว่าเป็นพยานที่รู้เห็นใกล้ชิดเหตุการณ์สถานที่อันจะบ่งชี้ได้โดยแน่นอนเมื่อปรากฏว่าก.พยานโจทก์ที่ศาลไม่นำมารับฟังไม่ใช่พยานแวดล้อมกรณีที่ใกล้ชิดต่อเหตุการณ์ประกอบกับพยานแวดล้อมกรณีที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ปากอื่นๆของโจทก์ก็ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้แล้วการที่ศาลไม่นำคำเบิกความของก. มารับฟังเป็นพยานประกอบพยานอื่นจึงไม่เป็นการขัดต่อกฎหมาย ฎีกาข้อที่ว่าคำพยานที่เบิกความมีน้ำหนักรับฟังได้หรือไม่นั้นเป็นการคัดค้านดุลพินิจการรับฟังพยานจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3143/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าหรือไม่? การทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่ถือว่ามีเจตนาฆ่า
จำเลยกับพวกอีก2คนรุมทำร้ายร่างกายผู้เสียหายในขณะที่ผู้เสียหายวิ่งหนีไปล้มลงนอนอยู่กับพื้นโดยพวกของจำเลยคนหนึ่งใช้มีดปลายแหลมยาวประมาณ1ศอกและพวกของจำเลยอีกคนหนึ่งใช้ไม้ไผ่ยาวประมาณ1แขนเป็นอาวุธฟันและตีผู้เสียหายหลายครั้งถูกที่ศีรษะผู้เสียหายมีบาดแผล4แห่งยาวประมาณ4เซนติเมตร3เซนติเมตรและ2เซนติเมตรอีก2แห่งแพทย์ลงความเห็นว่ารักษาประมาณ10วันหายแม้ขณะเกิดเหตุจำเลยจะร้องบอกกับพวกว่าเอาให้ตายแต่ปรากฏว่าจำเลยชกผู้เสียหายเพียง1ครั้งแล้วไม่ได้ทำอะไรอีกและพวกของจำเลยก็มิได้ทำตามที่จำเลยร้องบอกทั้งที่จะทำร้ายผู้เสียหายมากไปกว่านั้นก็ย่อมกระทำได้พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยกับพวกมิได้มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย.