พบผลลัพธ์ทั้งหมด 449 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2668/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานสัญญาประกันภัย: หนังสือรับรองการทำประกันภัยเพียงพอต่อการฟ้องบังคับคดีได้ตามมาตรา 867
จำเลยมีหนังสือไปถึงโจทก์ข้อความว่า 'ตามที่ทางบริษัทกรุงเทพบูรพา จำกัด ได้ทำสัญญาประกันภัยไว้กับบริษัท ท่านเพื่อประกันภัยตัวเรือบางกอกโอเรียนท์ 1, 2 และ 3 ตามกรมธรรม์ประกันภัยเลขที่ เอม. เอช. 00576 เอม. เอช. 00577 และ เอม. เอช. 00578 สัญญาประกันภัยเริ่มคุ้มครอง ตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2519 ถึงวันที่ 4 กันยายน 2520 ฯลฯ เห็นได้ว่าข้อความดังกล่าวยืนยันว่าจำเลยได้ทำสัญญาประกันภัยไว้กับโจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัยที่โจทก์ฟ้อง จริงและต่อมาเมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้วจำเลยก็ยังได้ ทำคำให้การรับรองข้อความตามหนังสือดังกล่าวอีกด้วย ถือว่า หนังสือดังกล่าวเป็นหลักฐานแสดงว่าจำเลยได้เอาประกันภัยไว้แก่โจทก์ตามความหมายของ มาตรา 867 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว โจทก์จึงฟ้องร้องบังคับเอาแก่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2668/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานสัญญาประกันภัย: หนังสือยืนยันการเอาประกันภัยเพียงพอต่อการฟ้องร้องบังคับคดีได้ตามมาตรา 867
จำเลยมีหนังสือไปถึงโจทก์ข้อความว่า 'ตามที่ทางบริษัทกรุงเทพบูรพา จำกัด ได้ทำสัญญาประกันภัยไว้กับบริษัท ท่านเพื่อประกันภัยตัวเรือบางกอกโอเรียนท์ 1,2 และ 3 ตามกรมธรรม์ประกันภัยเลขที่ เอม.เอช.00576เอม.เอช.00577 และ เอม.เอช.00578 สัญญาประกันภัยเริ่มคุ้มครอง ตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2519 ถึงวันที่ 4 กันยายน 2520 ฯลฯ' เห็นได้ว่าข้อความดังกล่าวยืนยันว่าจำเลยได้ทำสัญญาประกันภัยไว้กับโจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัยที่โจทก์ฟ้องจริง และต่อมาเมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้วจำเลยก็ยังได้ ทำคำให้การรับรองข้อความตามหนังสือดังกล่าวอีกด้วย ถือว่า หนังสือดังกล่าวเป็นหลักฐานแสดงว่าจำเลยได้เอาประกันภัยไว้แก่โจทก์ตามความหมายของ มาตรา 867 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว โจทก์จึงฟ้องร้องบังคับเอาแก่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2642/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษปรับผู้กระทำผิด พ.ร.บ.ยาสูบ หลายคน ให้ปรับเรียงรายตัวบุคคลตามประมวลกฎหมายอาญา
พระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ. 2509 มาตรา 49 บัญญัติเรื่องโทษว่าผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 19 มาตรา 20 ต้องระวางโทษปรับสิบ เท่าของค่าแสตมป์ยาสูบที่จะต้องปิดหรือที่ยังขาดอยู่แต่ ต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยบาทถ้าเป็นบุหรี่ซิกาแรตที่ผลิต ในประเทศและมิได้ประกาศกำหนดราคาขายปลีกไว้ต้อง ระวางโทษปรับกรัมละสองบาทแต่ต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยบาทดังนี้ย่อมเห็นได้ว่าผู้กระทำผิดพระราชบัญญัติยาสูบฐานนี้จะต้องถูกลงโทษปรับเป็นจำนวนสิบเท่าของค่าแสตมป์ยาสูบที่จะต้องปิด มิได้มีข้อจำกัดว่าถ้ามีผู้ร่วมกระทำผิดหลายคนให้ปรับรวมกัน ตามค่าแสตมป์ยาสูบที่จะต้องปิดทั้ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 17 ได้บัญญัติให้ใช้บังคับบทบัญญัติ ในภาค 1 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ในกรณีความผิดตามกฎหมายอื่น ด้วยคดีพระราชบัญญัติยาสูบมิได้บัญญัติ ไว้เป็นอย่างอื่น จึงต้องลงโทษปรับจำเลยทั้งสองเรียงตามรายตัวบุคคล ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 31(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2528)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2642/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษปรับผู้กระทำผิด พ.ร.บ.ยาสูบ หลายคน ศาลต้องปรับเรียงรายตัวบุคคลตามประมวลกฎหมายอาญา
พระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ. 2509 มาตรา 49 บัญญัติเรื่องโทษว่าผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 19 มาตรา 20 ต้องระวางโทษปรับสิบ เท่าของค่าแสตมป์ยาสูบที่จะต้องปิดหรือที่ยังขาดอยู่แต่ ต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยบาทถ้าเป็นบุหรี่ซิกาแรตที่ผลิต ในประเทศและมิได้ประกาศกำหนดราคาขายปลีกไว้ต้อง ระวางโทษปรับกรัมละสองบาทแต่ต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยบาท ดังนี้ย่อมเห็นได้ว่าผู้กระทำผิดพระราชบัญญัติยาสูบฐานนี้จะต้องถูกลงโทษปรับเป็นจำนวนสิบเท่าของค่าแสตมป์ยาสูบที่จะต้องปิด มิได้มีข้อจำกัดว่าถ้ามีผู้ร่วมกระทำผิดหลายคนให้ปรับรวมกัน ตามค่าแสตมป์ยาสูบที่จะต้องปิดทั้ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 17 ได้บัญญัติให้ใช้บังคับบทบัญญัติ ในภาค 1 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ในกรณีความผิดตามกฎหมายอื่นด้วยคดีพระราชบัญญัติยาสูบมิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น จึงต้องลงโทษปรับจำเลยทั้งสองเรียงตามรายตัวบุคคล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 31 (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2528)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2554/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบรถบรรทุกที่ใช้ขนดินลูกรังจากการขุดดินในที่ดินหวงห้าม
จำเลยขุดตักและขนดินลูกรังในที่ดินหวงห้ามของรัฐอันเป็นการทำลาย ทำให้เสื่อมสภาพที่ดิน ที่หิน ที่กรวดที่ทราย และเป็นอันตรายแก่ทรัพยากร ในที่ดินตามมาตรา 9(2),(3) แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน รถยนต์บรรทุกที่ จำเลย ใช้ขนดินลูกรังที่ถูกขุดตักไปถือว่าเป็นยานพาหนะที่ได้ใช้เป็น อุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดดังกล่าวจึงต้องริบตาม ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2554/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบรถบรรทุกที่ใช้ขนดินลูกรังจากการขุดดินในที่ดินหวงห้าม แม้ไม่ใช่เครื่องมือขุดโดยตรง
จำเลยขุดตักและขนดินลูกรังในที่ดินหวงห้ามของรัฐ อันเป็นการทำลาย ทำให้เสื่อมสภาพที่ดิน ที่หิน ที่กรวด ที่ทราย และเป็นอันตรายแก่ทรัพยากร ในที่ดินตามมาตรา 9 (2), (3) แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน รถยนต์บรรทุกที่ จำเลย ใช้ขนดินลูกรังที่ถูกขุดตักไปถือว่าเป็นยานพาหนะที่ได้ใช้เป็น อุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดดังกล่าว จึงต้องริบตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2538/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฆ่าโดยเจตนาและร่วมกันทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย กรณีความโหดร้ายทารุณและไม่มีเหตุบรรเทาโทษ
เรือ ส.ของพวกจำเลยแล่นพุ่งเข้าชนเรือช. ของพวกผู้เสียหายโดยเจตนา ขณะเรือ ช. ใกล้จะจม พวกลูกเรือส. กระโดดลงไปในเรือใช้ไม้ตีพวกผู้เสียหายจนต้องกระโดดลงไปในน้ำ พวกจำเลยบางคนกระโดดลงไปใช้เชือกคล้องขึ้นไปบนเรือใช้มีดแทงแล้วโยนลงน้ำ จำเลยที่ 1 ใช้ปืน ยิง ค. ซึ่งว่ายอยู่เรือถอยหลังมาหา ผ.ผู้ตายมีคนจับแขนผ. ลากไปทางหัวเรือ ดึงพาดไว้กับแคมเรือ พวกลูกเรือทั้งหมดช่วยกันรุมตีแทง ผ. แล้วโยนลงน้ำจำเลยที่ 3 กระโดดลงไปในน้ำใช้มีดแทงพวกผู้เสียหาย ส. ผู้ตายถูกดึงขึ้นไปบนเรือ แล้วพวกจำเลยทั้งหมด วิ่งไปใช้มีด ไม้ ปืน ทำร้ายแล้วช่วยกันโยนลงน้ำ มีประจักษ์พยานหลายปากยืนยันความผิดของจำเลยที่ 1 หาก จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ พยานโจทก์ก็มีน้ำหนักมั่นคงพอลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องอาศัยคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ดังนั้นคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ในชั้นสอบสวนและชั้นศาลจึงไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา การกระทำผิดครั้งแรกไม่ใช่เหตุบรรเทาโทษ เป็นการกระทำโดยจิตใจที่โหดร้ายทารุณเหี้ยมโหดไร้มนุษยธรรม กระทำแก่ผู้ไม่มีทางต่อสู้และไม่มีทางหลบหนี เป็นเหตุให้คนตายถึง 6 คนจึงไม่มีเหตุบรรเทาโทษที่จะลดโทษให้แก่จำเลยที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2509/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเรียกทรัพย์คืนฐานประพฤติเนรคุณขัดแย้งกับฐานเจ้าของทรัพย์ ศาลไม่รับฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่าจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ และเอาทรัพย์ที่โจทก์มอบให้จำเลยครอบครองทำกินเพื่อเลี้ยงดู โจทก์ไปทำหลักฐานเป็นชื่อของจำเลยขอให้จำเลยคืนทรัพย์สินดังกล่าวให้โจทก์ฟ้องโจทก์ดังกล่าว เป็นการฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลยในฐานะที่โจทก์เป็นเจ้าของทรัพย์แต่โจทก์กลับไปอ้างว่าจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าตามคำบรรยายฟ้องและตามทางนำสืบของโจทก์มิได้ปรากฏว่าโจทก์ได้ยกทรัพย์พิพาทให้จำเลยจะบังคับ ตามคำฟ้องของโจทก์ให้จำเลยคืนทรัพย์ให้โจทก์ฐานประพฤติเนรคุณ มิได้เพราะสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาขัดกัน คำวินิจฉัยดังกล่าวจึงมิใช่เป็นการ ฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2509/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเรียกทรัพย์คืนขัดแย้งกับข้ออ้างประพฤติเนรคุณ ศาลไม่บังคับตามฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่าจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์และ เอาทรัพย์ที่โจทก์มอบให้จำเลยครอบครองทำกินเพื่อเลี้ยงดู โจทก์ไปทำหลักฐานเป็นชื่อของจำเลยขอให้จำเลยคืนทรัพย์สินดังกล่าวให้โจทก์ฟ้องโจทก์ดังกล่าวเป็นการ ฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลยในฐานะที่โจทก์เป็นเจ้าของทรัพย์แต่โจทก์กลับไปอ้างว่าจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าตามคำบรรยายฟ้องและตามทางนำสืบของโจทก์มิได้ปรากฏว่าโจทก์ได้ยกทรัพย์พิพาทให้จำเลยจะบังคับ ตามคำฟ้องของโจทก์ให้จำเลยคืนทรัพย์ให้โจทก์ฐานประพฤติเนรคุณ มิได้เพราะสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลัก แห่งข้อหาขัดกันคำวินิจฉัยดังกล่าวจึงมิใช่เป็นการ ฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2498/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงเลิกคดีอาญาที่มีเงื่อนไขการชำระเงิน หากไม่ปฏิบัติตาม ผู้เสียหายมีสิทธิยกเลิกได้ ไม่ถือว่าเป็นการยอมความ
ผู้เสียหายตกลงเลิกคดีกับจำเลย โดยจำเลยจะนำเงินมาชำระให้แก่ผู้เสียหาย แล้วผู้เสียหายจึงจะถอนคำร้องทุกข์ การที่จำเลยจะต้องชำระเงินให้แก่ผู้เสียหายเป็นเงื่อนไขในการถอนคำร้องทุกข์ เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขโดยไม่ชำระเงินให้ครบถ้วนตามที่ตกลง จึงมีผลว่าผู้เสียหายไม่ผูกพันที่จะต้องถอนคำร้องทุกข์ และผู้เสียหายมีสิทธิยกเลิกข้อตกลงที่ได้ทำมาแล้วเสียได้ คดียังถือไม่ได้ว่าเป็นการยอมความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2)