พบผลลัพธ์ทั้งหมด 883 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนประกันภัย - ผู้ครอบครองรถยนต์มีสิทธิทำสัญญาประกันภัยได้ แม้ไม่ได้เปิดเผยชื่อตัวการ
โจทก์เช่าซื้อรถยนต์คันที่เอาประกันภัยมาใช้ในกิจการของโจทก์โดยมอบหมายให้ พ. ผู้ถือหุ้นของบริษัทโจทก์เป็นผู้ดำเนินกิจการทุกอย่างเกี่ยวกับรถยนต์ของโจทก์ พ. นำรถยนต์คันดังกล่าวไปทำประกันภัยไว้กับจำเลยแทนโจทก์และโจทก์เป็นผู้ชำระเบี้ยประกัน เช่นนี้ ถือว่าโจทก์เป็นผู้เอาประกันภัยเมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเป็นผู้ครอบครองและใช้ประโยชน์ในรถยนต์คันที่เอาประกันภัยโจทก์เช่าซื้อมา โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัยไว้ สัญญาประกันภัยย่อมมีผลสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา863 กรณีเช่นนี้ โจทก์เป็นตัวการมิได้เปิดเผยชื่อ การตั้ง พ.เป็นตัวแทนจึงไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามมาตรา 798และโจทก์ตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อย่อมแสดงตนให้ปรากฎและเข้ารับเอาสัญญาประกันภัยที่ พ. ตัวแทนทำไว้กับจำเลยแทนได้ตามมาตรา 806 และแม้ พ. จะละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงที่ว่ารถยนต์คันที่เอาประกันภัยโจทก์เป็นผู้ครองครองใช้ประโยชน์ซึ่งอาจจะได้จูงใจจำเลยให้เรียกเบี้ยประกันสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา ก็เพียงแต่ทำให้สัญญาประกันภัยตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 865 เท่านั้น เมื่อจำเลยไม่ได้ใช้สิทธิบอกล้างสัญญาดังกล่าว จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 199/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตั๋วสัญญาใช้เงินเมื่อทวงถาม: สิทธิการฟ้องของผู้ทรงเมื่อจำเลยไม่ชำระ
การที่โจทก์ซึ่ง เป็นผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินชนิดให้ใช้เงินเมื่อทวงถาม มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 1 ผู้ออกตั๋วและจำเลยที่ 2 ผู้รับอาวัล ใช้เงินตาม ตั๋วสัญญาใช้เงินแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดชดใช้เงินได้ เพราะตั๋วสัญญาใช้เงินที่ให้ใช้เงินเมื่อทวงถาม ไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 944 และมาตรา 985 วรรคแรก ที่ผู้ทรงจะต้อง นำตั๋ว ยื่นเพื่อให้ใช้เงินภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่ลงในตั๋ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 199/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตั๋วสัญญาใช้เงินเมื่อทวงถาม: สิทธิของผู้ทรงในการฟ้องเรียกเงิน
การที่โจทก์ซึ่ง เป็นผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินชนิดให้ใช้เงินเมื่อทวงถาม มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ ๑ ผู้ออกตั๋วและจำเลยที่ ๒ ผู้รับอาวัล ใช้เงินตาม ตั๋วสัญญาใช้เงินแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดชดใช้เงินได้ เพราะตั๋วสัญญาใช้เงินที่ให้ใช้เงินเมื่อทวงถาม ไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๔๔ และมาตรา ๙๘๕ วรรคแรก ที่ผู้ทรงจะต้อง นำตั๋ว ยื่นเพื่อให้ใช้เงินภายใน ๖ เดือน นับแต่วันที่ลงในตั๋ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 199/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตั๋วสัญญาใช้เงินเมื่อทวงถาม ไม่ต้องยื่นภายใน 6 เดือน ผู้ทรงมีอำนาจฟ้องได้เมื่อทวงถามแล้ว
การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินชนิดให้ใช้เงินเมื่อทวงถาม มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 1 ผู้ออกตั๋วและจำเลยที่ 2 ผู้รับอาวัล ใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดชดใช้เงินได้ เพราะตั๋วสัญญาใช้เงินที่ให้ใช้เงินเมื่อทวงถาม ไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 944 และมาตรา 985 วรรคแรกที่ผู้ทรงจะต้องนำตั๋วยื่นเพื่อให้ใช้เงินภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่ลงในตั๋ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 199/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตั๋วสัญญาใช้เงินเมื่อทวงถาม: ไม่ต้องยื่นภายใน 6 เดือนตาม ป.พ.พ. มาตรา 944
การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินชนิดให้ใช้เงินเมื่อทวงถาม มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 1ผู้ออกตั๋วและจำเลยที่ 2 ผู้รับอาวัล ใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินแล้วจำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดชดใช้เงินได้ ไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับของ ป.พ.พ. มาตรา 944 ที่จะต้องนำตั๋วยื่นเพื่อให้ใช้เงินภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่ลงในตั๋ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 194/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ขนส่งต่อการสูญหายของสินค้า และสิทธิของบริษัทประกันภัยในการรับช่วงสิทธิ
บริษัท ล. ขายสินค้าผ้าให้แก่ผู้ซื้อในต่างประเทศโดยบริษัทล. ได้ว่าจ้างจำเลยทั้งสองขนสินค้าดังกล่าวซึ่งบรรจุในตู้คอนเทนเนอร์ และบริษัท ล. ได้ประกันภัยสินค้ารายนี้ไว้กับโจทก์ เมื่อปรากฏว่าได้มีการบรรจุสินค้าผ้าจำนวน 1,149 ม้วนลงในตู้บรรจุสินค้าดังกล่าวและสินค้าผ้าจำนวน 1,078 ม้วนได้สูญหายไปขณะอยู่ในความรับผิดของจำเลยทั้งสอง การสูญหายดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นเนื่องจากเหตุสุดวิสัยหรือเกิดแต่สภาพแห่งสินค้านั้นเองหรือเกิดเพราะความผิดของผู้ส่งหรือผู้รับตราส่ง จำเลยทั้งสองในฐานะผู้ขนส่งจึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัท ล. เมื่อโจทก์ได้ใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัท ล. ไปตามกรมธรรม์ประกันภัยแล้ว โจทก์ย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของบริษัท ล. ผู้เอาประกันภัยมาฟ้องร้องจำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 168/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อยกเว้นกรมธรรม์ประกันภัยค้ำจุน: การยกเว้นความรับผิดเมื่อใช้รถรับจ้าง
จำเลยที่ 2 นำรถยนต์คันเกิดเหตุไปประกันภัยค้ำจุนไว้กับจำเลยที่ 3 ตามกรมธรรม์ประกันภัย มีข้อยกเว้นความรับผิดต่อบุคคลภายนอกในกรณีการใช้รถยนต์คันดังกล่าว คือ ห้ามรับจ้างหรือให้เช่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ใช้รถยนต์คันดังกล่าวไปรับจ้างบรรทุกของโดยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับขี่ แล้วจำเลยที่ 1 ไปทำละเมิดก่อให้เกิดความเสียหายแก่รถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัย เช่นนี้ความรับผิดของจำเลยที่ 3 ที่มีต่อโจทก์ต้องเป็นไปตามที่ระบุไว้ในสัญญาประกันภัยค้ำจุนดังกล่าว ข้อยกเว้นความรับผิดต่อบุคคลภายนอกตามกรมธรรม์ประกันภัยมีผลใช้บังคับได้ จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 2 ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัย และมีสิทธิยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้ จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 168/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อยกเว้นความรับผิดในสัญญาประกันภัยค้ำจุน: การใช้รถยนต์ผิดเงื่อนไข (รับจ้าง/ให้เช่า) ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 ให้รับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยอาศัยมูลหนี้ตามสัญญาประกันภัยค้ำจุนระหว่างจำเลยที่ 2 กับที่ 3 ความรับผิดของจำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยที่มีต่อโจทก์จึงต้องเป็นไปตามที่ระบุไว้ในสัญญาดังกล่าว ฉะนั้น จำเลยที่ 3 ย่อมยกข้อยกเว้นความรับผิดต่อบุคคลภายนอกตามสัญญาขึ้นต่อสู้กับโจทก์ได้ เว้นแต่ข้อยกเว้นนั้นจะขัดต่อกฎหมาย
ข้อยกเว้นความรับผิดต่อบุคคลภายนอกตามกรมธรรม์กำหนดว่าจำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดกรณีการใช้รถยนต์ตามที่ระบุคือห้ามรับจ้างหรือให้เช่านั้น ไม่ขัดต่อกฎหมายเพราะเป็นเพียงเงื่อนไขที่กำหนดไว้เพื่อไม่ให้จำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยใช้รถยนต์คันเกิดเหตุไปรับจ้างหรือให้เช่า ซึ่งเป็นการใช้มากไปกว่าการใช้บรรทุกส่วนบุคคลอันจะทำให้จำเลยที่ 3ต้องเสี่ยงภัยมากขึ้น ข้อยกเว้นความรับผิดต่อบุคคลภายนอกดังกล่าวจึงใช้บังคับได้.(ที่มา-ส่งเสริม)
ข้อยกเว้นความรับผิดต่อบุคคลภายนอกตามกรมธรรม์กำหนดว่าจำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดกรณีการใช้รถยนต์ตามที่ระบุคือห้ามรับจ้างหรือให้เช่านั้น ไม่ขัดต่อกฎหมายเพราะเป็นเพียงเงื่อนไขที่กำหนดไว้เพื่อไม่ให้จำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยใช้รถยนต์คันเกิดเหตุไปรับจ้างหรือให้เช่า ซึ่งเป็นการใช้มากไปกว่าการใช้บรรทุกส่วนบุคคลอันจะทำให้จำเลยที่ 3ต้องเสี่ยงภัยมากขึ้น ข้อยกเว้นความรับผิดต่อบุคคลภายนอกดังกล่าวจึงใช้บังคับได้.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 96/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายและอาวุธปืน
โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยกับพวกร่วมกันใช้ กำลังประทุษร้ายโดย ใช้ มือรัดคอผู้เสียหายแล้วใช้ อาวุธปืนขู่เข็ญจ่อจี้ บังคับผู้เสียหายว่าในทันใดนั้นจะใช้ อาวุธปืนยิงประทุษร้ายผู้เสียหาย โดย มิได้บรรยายว่าในการปล้นทรัพย์ได้กระทำโดย ใช้ ปืนยิง ดังนั้นแม้ทางพิจารณาจะได้ความว่าในการปล้นทรัพย์นั้นพวกจำเลยได้ ใช้ อาวุธปืนยิงผู้เสียหายด้วย จำเลยก็คงมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง เท่านั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 96/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานปล้นทรัพย์: การพิจารณาจากคำฟ้องและพฤติการณ์ที่กระทำความผิด
โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยกับพวกร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย โดยใช้มือรัดคอผู้เสียหายแล้วใช้อาวุธปืนขู่เข็ญจ่อจี้ บังคับผู้เสียหายว่าในทันใดนั้นจะใช้อาวุธปืนยิงประทุษร้ายผู้เสียหาย โดยมิได้บรรยายว่าในการปล้นทรัพย์ได้กระทำโดยใช้ปืนยิง ดังนั้นแม้ทางพิจารณาจะได้ความว่าในการปล้นทรัพย์นั้นพวกจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายด้วย จำเลยก็คงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง เท่านั้น