พบผลลัพธ์ทั้งหมด 883 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1437/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำสัญญาโดยไม่ได้เป็นตัวแทนที่ถูกต้อง และผลผูกพันตามสัญญาที่แสดงเจตนา
จำเลยเป็นลูกจ้าง ม. ซึ่งเป็นผู้จัดการธนาคารโจทก์สาขา ม.ต้องการใช้เงินแต่ไม่สามารถกู้เงินในนามตนเองได้จึงทำให้จำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและออกตั๋วสัญญาใช้เงินไว้กับธนาคารโจทก์ เงินที่ได้รับมา ม.จะรับเงินนั้นไปเป็นประโยชน์เฉพาะตัวทั้งหมดโดยในใจจริงของจำเลยถือว่าทำนิติกรรมพิพาทแทน ม. โดยไม่มีเจตนาให้มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ก็ตาม แต่ ม. ในฐานะผู้จัดการสาขาของโจทก์ไม่มีอำนาจเป็นผู้แทนโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 80 ความรู้ของ ม.จะถือเป็นความรู้ของโจทก์ด้วยไม่ได้ จำเลยต้องผูกพันตามที่ได้แสดงเจตนาออกมาตาม มาตรา 117 จำเลยต้องชำระเงินตาม สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและตั๋วสัญญาใช้เงินแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1437/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำสัญญาโดยไม่มีอำนาจเป็นตัวแทน และผลผูกพันตามเจตนาที่แสดงออก
จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของ ม. ซึ่งเป็นผู้จัดการธนาคารโจทก์ สาขาบางแค ม. ต้องการใช้เงินแต่ไม่สามารถกู้เงินในนามตนเองได้ จึงให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและออกตั๋วสัญญาใช้เงินไว้กับธนาคารโจทก์ สาขาบางแค ให้จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อรับรองเป็นอาวัลในตั๋วสัญญาใช้เงิน โดย ม. กับจำเลยตกลงกันไว้ว่า จำเลยกระทำแทน ม. เท่านั้น เงินที่ได้รับมาจากโจทก์ ม. จะรับเงินนั้นไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวทั้งหมด โดยในใจจริงของจำเลยถือว่า ทำนิติกรรมพิพาทแทน ม. โดยไม่มีเจตนาให้มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ก็ตาม แต่ ม.ในฐานะผู้จัดการสาขาของโจทก์ไม่มีอำนาจเป็นผู้แทนโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 80 แม้ ม. จะรู้เห็นด้วยแต่จะถือว่าโจทก์รู้เห็นในเจตนาดังกล่าวด้วยไม่ได้ จำเลยทั้งสองต้องผูกพันตามที่ได้แสดงเจตนาออกมาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 117 และต้องร่วมรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1322/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องแสดงสภาพแห่งข้อหาชัดเจน แม้รายละเอียดหนี้เป็นเรื่องสืบในชั้นพิจารณา ศาลไม่ถือว่าฟ้องเคลือบคลุม
ฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงหนี้ที่จำเลยค้างชำระและพยานหลักฐานที่แสดงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ระหว่างวันที่เท่าใดจำนวนเท่าใดด้วยจึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาแล้วส่วนรายละเอียดแห่งหนี้เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1089/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในสินสมรสกรณีพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้ผู้อื่น ผู้มีส่วนได้เสียมีอำนาจขอถอนผู้จัดการมรดก
เจ้ามรดกทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินส่วนตัวของตนทั้งหมดให้แก่ผู้อื่นซึ่งรวมทั้งทรัพย์สินซึ่งผู้ร้องอ้างว่าเป็นสินสมรสรวมอยู่ด้วยผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดกมีสิทธิในสินสมรสกึ่งหนึ่งซึ่งเจ้ามรดกจะทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้ใดไม่ได้แม้คดีจะไม่มีประเด็นจะต้องวินิจฉัยว่าทรัพย์สินตามพินัยกรรมจะมีสินสมรสเป็นส่วนของผู้ร้องรวมอยู่ด้วยหรือไม่ก็ถือได้ว่าผู้ร้องมีส่วนได้เสียที่จะขอให้ศาลสั่งถอนผู้จัดการมรดกได้ดังนั้นผู้ร้องจึงมีอำนาจร้องขอถอนผู้คัดค้านจากการเป็นผู้จัดการมรดกได้. ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอให้ตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกโดยอาศัยข้ออ้างว่ามีส่วนได้รับมรดกตามพินัยกรรมฉบับแรกแต่เมื่อเจ้ามรดกทำพินัยกรรมฉบับหลังเพิกถอนพินัยกรรมฉบับแรกทั้งฉบับทำให้ผู้คัดค้านไม่ได้รับทรัพย์มรดกเลยทั้งภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายที่มีบุตรกับเจ้ามรดกก็ได้เป็นผู้จัดการมรดกรายนี้อยู่แล้วกรณีถือได้ว่ามีเหตุสมควรที่จะถอนผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1727.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1089/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในสินสมรส vs. พินัยกรรม: อำนาจถอนผู้จัดการมรดกเมื่อพินัยกรรมขัดแย้งกับสิทธิในสินสมรส
เจ้ามรดกทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินส่วนตัวของตนทั้งหมดให้แก่ผู้อื่นซึ่งรวมทั้งทรัพย์สินซึ่งผู้ร้องอ้างว่าเป็นสินสมรสรวมอยู่ด้วย ผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดก มีสิทธิในสินสมรสกึ่งหนึ่งซึ่งเจ้ามรดกจะทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้ใดไม่ได้ แม้คดีจะไม่มีประเด็นจะต้องวินิจฉัยว่าทรัพย์สินตามพินัยกรรมจะมีสินสมรสเป็นส่วนของผู้ร้องรวมอยู่ด้วยหรือไม่ ก็ถือได้ว่าผู้ร้องมีส่วนได้เสียที่จะขอให้ศาลสั่งถอนผู้จัดการมรดกได้ ดังนั้นผู้ร้องจึงมีอำนาจร้องขอถอนผู้คัดค้านจากการเป็นผู้จัดการมรดกได้.
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอให้ตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกโดยอาศัยข้ออ้างว่ามีส่วนได้รับมรดกตามพินัยกรรมฉบับแรก แต่เมื่อเจ้ามรดกทำพินัยกรรมฉบับหลังเพิกถอนพินัยกรรมฉบับแรกทั้งฉบับทำให้ผู้คัดค้านไม่ได้รับทรัพย์มรดกเลย ทั้งภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายที่มีบุตรกับเจ้ามรดกก็ได้เป็นผู้จัดการมรดกรายนี้อยู่แล้ว กรณีถือได้ว่ามีเหตุสมควรที่จะถอนผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1727
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอให้ตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกโดยอาศัยข้ออ้างว่ามีส่วนได้รับมรดกตามพินัยกรรมฉบับแรก แต่เมื่อเจ้ามรดกทำพินัยกรรมฉบับหลังเพิกถอนพินัยกรรมฉบับแรกทั้งฉบับทำให้ผู้คัดค้านไม่ได้รับทรัพย์มรดกเลย ทั้งภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายที่มีบุตรกับเจ้ามรดกก็ได้เป็นผู้จัดการมรดกรายนี้อยู่แล้ว กรณีถือได้ว่ามีเหตุสมควรที่จะถอนผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1727
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1050/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจของผู้รับมอบอำนาจในการร้องขอรับของกลางคืน การมอบอำนาจต้องชัดเจนและครอบคลุม
หนังสือมอบอำนาจของผู้ร้องไม่ปรากฏว่าผู้ร้องมอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจร้องขอรับรถยนต์คืนจากศาลแต่อย่างใดการที่ผู้ร้องยื่นหนังสือมอบอำนาจใหม่ต่อศาลฎีกาโดยมอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจมีอำนาจในเรื่องดังกล่าวก็ไม่อาจทำให้ผู้รับมอบอำนาจมีอำนาจร้องขอรับรถยนต์คืนจากศาลชั้นต้นขึ้นมาได้ทั้งปัญหาเรื่องนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1050/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจการร้องขอคืนของกลาง: หนังสือมอบอำนาจต้องระบุชัดเจนถึงอำนาจในการร้องขอคืนต่อศาล มิเช่นนั้นศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยได้
หนังสือมอบอำนาจของผู้ร้องไม่ปรากฏว่าผู้ร้องมอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจร้องขอรับรถยนต์คืนจากศาลแต่อย่างใดการที่ผู้ร้องยื่นหนังสือมอบอำนาจใหม่ต่อศาลฎีกาโดยมอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจมีอำนาจในเรื่องดังกล่าวก็ไม่อาจทำให้ผู้รับมอบอำนาจมีอำนาจร้องขอรับรถยนต์คืนจากศาลชั้นต้นขึ้นมาได้ทั้งปัญหาเรื่องนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1019/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชิงทรัพย์และการปรับบทความผิดฐานทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ศาลต้องวินิจฉัยตามพยานหลักฐานที่ฟังได้ ไม่ใช่ตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยมีส่วนกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ของผู้ตายในเวลากลางคืนไม่พอฟังว่าผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะเหตุถูกชิงทรัพย์และปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา339วรรคสองโจทก์ไม่อุทธรณ์ว่าจำเลยฆ่าผู้ตายเพื่อสะดวกในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์หรือในการชิงทรัพย์ครั้งนี้เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการตายของผู้ตายจึงต้องฟังตามที่ศาลชั้นต้นฟังว่าผู้ตายมิได้ถึงแก่ความตายเพราะเหตุถูกชิงทรัพย์ครั้งนี้แม้คดีจะน่าเชื่อว่าจำเลยฆ่าผู้ตายเพื่อความสะดวกในการชิงทรัพย์และได้ชิงเอาเงิน19,500บาทของผู้ตายไปก็จะปรับบทเป็นความผิดตามมาตรา339วรรคห้าไม่ได้ โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยลักเอาเงินสด19,500บาทของผู้ตายไปโดยใช้ไม้ตีและมีดแทงผู้ตายหลายแห่งโดยเจตนาฆ่าเพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์และนำสืบเช่นนั้นแต่ศาลชั้นต้นฟังพยานหลักฐานของโจทก์แต่เพียงว่าจำเลยมีส่วนในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์และไม่ฟังว่าการตายของผู้ตายเกิดจากการชิงทรัพย์ซึ่งเป็นการที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงของคู่ความว่าจะเชื่อได้เพียงใดมิใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสอง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1019/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับบทลงโทษฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องฟังว่าการตายเกิดจากการชิงทรัพย์
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยมีส่วนกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ของผู้ตายในเวลากลางคืน ไม่พอฟังว่าผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะเหตุถูกชิงทรัพย์และปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง โจทก์ไม่อุทธรณ์ว่าจำเลยฆ่าผู้ตายเพื่อสะดวกในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ หรือในการชิงทรัพย์ครั้งนี้เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการตายของผู้ตายจึงต้องฟังตามที่ศาลชั้นต้นฟังว่าผู้ตายมิได้ถึงแก่ความตายเพราะเหตุถูกชิงทรัพย์ครั้งนี้ แม้คดีจะน่าเชื่อว่าจำเลยฆ่าผู้ตายเพื่อความสะดวกในการชิงทรัพย์และได้ชิงเอาเงิน 19,500 บาท ของผู้ตายไปก็จะปรับบทเป็นความผิดตามมาตรา 339 วรรคห้าไม่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยลักเอาเงินสด 19,500 บาทของผู้ตายไปโดยใช้ไม้ตีและมีดแทงผู้ตายหลายแห่งโดยเจตนาฆ่าเพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์ และนำสืบเช่นนั้น แต่ศาลชั้นต้นฟังพยานหลักฐานของโจทก์แต่เพียงว่าจำเลยมีส่วนในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ และไม่ฟังว่าการตายของผู้ตายเกิดจากการชิงทรัพย์ ซึ่งเป็นการที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงของคู่ความว่าจะเชื่อได้เพียงใดมิใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยลักเอาเงินสด 19,500 บาทของผู้ตายไปโดยใช้ไม้ตีและมีดแทงผู้ตายหลายแห่งโดยเจตนาฆ่าเพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์ และนำสืบเช่นนั้น แต่ศาลชั้นต้นฟังพยานหลักฐานของโจทก์แต่เพียงว่าจำเลยมีส่วนในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ และไม่ฟังว่าการตายของผู้ตายเกิดจากการชิงทรัพย์ ซึ่งเป็นการที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงของคู่ความว่าจะเชื่อได้เพียงใดมิใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 957/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอคืนของกลาง: ศาลไม่พิจารณาการกระทำความผิดที่สิ้นสุดแล้ว และต้องมีหลักฐานแสดงความเป็นเจ้าของ
ในชั้นขอคืนของกลางศาลจะไม่วินิจฉัยปัญหาในเรื่องการกระทำความผิดของจำเลยซึ่งถึงที่สุดไปแล้วให้อีก.