พบผลลัพธ์ทั้งหมด 883 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3134/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การก่อสร้างผิดแบบและฝ่าฝืนคำสั่งระงับ-โทษปรับอาคารพาณิชย์-การเป็นความผิดสองกรรม
บทบัญญัติมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 หมายความว่า ผู้ใดก็ตามที่จัดให้มีการก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคาร ให้ผิดไปจากแผนผังบริเวณก็ดีผิดไปจากแบบแปลนก็ดี ผิดไปจากรายการประกอบแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตก็ดีผู้ไปจากวิธีการหรือเงื่อนไขที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำหนดไว้ในใบอนุญาตก็ดี การกระทำผิดไปเพียงอย่างหนึ่งอย่างใดดังกล่าว ย่อมเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 31 ทั้งสิ้นหาจำเป็นต้องเป็นการกระทำผิดพร้อมกันทั้งหมดไม่
โจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดในระหว่างวันที่ 7 กันยายน 2522 ถึงวันที่ 11 สิงหาคม 2523 ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยว่าจำเลยก่อสร้างผิดแบบแปลนตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2523 ถึงวันที่ 11 สิงหาคม 2523 และจำเลยฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ให้ระงับการก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2523 ถึงวันที่ 11 สิงหาคม 2523 จำเลยจะขอให้นับระยะเวลาถึงเพียงวันที่ 1 กรกฎาคม 2523 ซึ่งการก่อสร้างของจำเลยยังไม่แล้วเสร็จหาได้ไม่
อาคารที่จำเลยก่อสร้างเป็นอาคารเพื่อพาณิชยกรรมแม้ใบอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารจะระบุว่าเพื่อใช้พาณิชย์พักอาศัย และอาคารดังกล่าวจะใช้เพื่ออยู่อาศัยด้วยก็มิได้หมายความว่าอาคารดังกล่าวมิได้ใช้เพื่อพาณิชยกรรมตามความหมายของมาตรา 70 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522
จำเลยก่อสร้างอาคารผิดไปจากแผนผังบริเวณและแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นเป็นการกระทำความผิดไปกรรมหนึ่งแล้ว เมื่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นสั่งให้ระงับการก่อสร้างจำเลยก็ยังคงก่อสร้างต่อไปอีกเป็นการกระทำอีกกรรมหนึ่งต่างไปจากกรรมแรก แม้ระยะเวลากระทำผิดทั้งสองกรรมจะซ้อนกันในช่วงหลังก็ตามการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำอันเป็นความผิดสองกรรม
ความผิดกระทงแรกนอกจากจะต้องลงโทษตามมาตรา 65 วรรคแรกแล้ว วรรคสองยังให้ปรับอีกวันละ 500 บาท ส่วนความผิดกระทงหลังนั้นมาตรา 67 บัญญัติให้ปรับวันละ 500 บาท ปรากฏว่าอาคารที่จำเลยก่อสร้างเป็นอาคารเพื่อพาณิชยกรรมถ้าศาลจะเลือกลงโทษปรับสถานเดียวแต่ละกระทงจะต้องปรับเป็นสิบเท่าตามมาตรา 70 คือปรับวันละ 5,000 บาทและอาคารที่จำเลยก่อสร้างยังเป็นของจำเลย เองถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้ดำเนินการตามความหมายของ มาตรา 4 ซึ่งมาตรา 69 บัญญัติให้วางโทษเป็นสองเท่าของโทษที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ จึงต้องปรับ จำเลยสำหรับแต่ละกระทงวันละ 10,000 บาท
(วรรค 4 และ 5 วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 9/2528)
โจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดในระหว่างวันที่ 7 กันยายน 2522 ถึงวันที่ 11 สิงหาคม 2523 ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยว่าจำเลยก่อสร้างผิดแบบแปลนตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2523 ถึงวันที่ 11 สิงหาคม 2523 และจำเลยฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ให้ระงับการก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2523 ถึงวันที่ 11 สิงหาคม 2523 จำเลยจะขอให้นับระยะเวลาถึงเพียงวันที่ 1 กรกฎาคม 2523 ซึ่งการก่อสร้างของจำเลยยังไม่แล้วเสร็จหาได้ไม่
อาคารที่จำเลยก่อสร้างเป็นอาคารเพื่อพาณิชยกรรมแม้ใบอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารจะระบุว่าเพื่อใช้พาณิชย์พักอาศัย และอาคารดังกล่าวจะใช้เพื่ออยู่อาศัยด้วยก็มิได้หมายความว่าอาคารดังกล่าวมิได้ใช้เพื่อพาณิชยกรรมตามความหมายของมาตรา 70 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522
จำเลยก่อสร้างอาคารผิดไปจากแผนผังบริเวณและแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นเป็นการกระทำความผิดไปกรรมหนึ่งแล้ว เมื่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นสั่งให้ระงับการก่อสร้างจำเลยก็ยังคงก่อสร้างต่อไปอีกเป็นการกระทำอีกกรรมหนึ่งต่างไปจากกรรมแรก แม้ระยะเวลากระทำผิดทั้งสองกรรมจะซ้อนกันในช่วงหลังก็ตามการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำอันเป็นความผิดสองกรรม
ความผิดกระทงแรกนอกจากจะต้องลงโทษตามมาตรา 65 วรรคแรกแล้ว วรรคสองยังให้ปรับอีกวันละ 500 บาท ส่วนความผิดกระทงหลังนั้นมาตรา 67 บัญญัติให้ปรับวันละ 500 บาท ปรากฏว่าอาคารที่จำเลยก่อสร้างเป็นอาคารเพื่อพาณิชยกรรมถ้าศาลจะเลือกลงโทษปรับสถานเดียวแต่ละกระทงจะต้องปรับเป็นสิบเท่าตามมาตรา 70 คือปรับวันละ 5,000 บาทและอาคารที่จำเลยก่อสร้างยังเป็นของจำเลย เองถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้ดำเนินการตามความหมายของ มาตรา 4 ซึ่งมาตรา 69 บัญญัติให้วางโทษเป็นสองเท่าของโทษที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ จึงต้องปรับ จำเลยสำหรับแต่ละกระทงวันละ 10,000 บาท
(วรรค 4 และ 5 วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 9/2528)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2883/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการร้องขอกันส่วนที่ดิน เจ้าของรวมมีสิทธิขอให้แบ่งขายเฉพาะส่วนก่อนได้
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ซึ่งมีชื่อจำเลยและผู้ร้องเป็นเจ้าของรวมผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินครึ่งหนึ่งทางทิศเหนือเป็นส่วนสัดมาตั้งแต่ได้รับการยกให้จากบิดา เมื่อโจทก์รับจำนองที่ดินส่วนที่เป็นของจำเลยโจทก์ก็ทราบว่ารับจำนองเฉพาะที่ดินส่วนที่อยู่ทางทิศใต้ดังนี้ โจทก์จะบังคับคดียึดที่ดินทั้งแปลงออกขายทอดตลาดให้ผู้ร้องกันเงินครึ่งหนึ่งที่ได้จากการขายทอดตลาดมิได้ ผู้ร้องย่อมมีสิทธิที่จะขอให้กันที่ดินส่วนทางด้านทิศเหนือของผู้ร้องออกก่อนขายทอดตลาด
กรณีเช่นนี้เป็นเรื่องการร้องขอกันส่วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 มิใช่เป็นการร้องขัดทรัพย์ตามมาตรา 288 จึงเรียกค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์มิได้เมื่อศาลอุทธรณ์เรียกค่าขึ้นศาลมาไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาย่อมสั่งให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ด้วย
กรณีเช่นนี้เป็นเรื่องการร้องขอกันส่วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 มิใช่เป็นการร้องขัดทรัพย์ตามมาตรา 288 จึงเรียกค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์มิได้เมื่อศาลอุทธรณ์เรียกค่าขึ้นศาลมาไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาย่อมสั่งให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2883/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องขอกันส่วนที่ดิน เจ้าของรวมมีสิทธิขอให้แบ่งขายเฉพาะส่วนของตนก่อนได้ หากมีการแบ่งครอบครองเป็นส่วนสัด
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งมีชื่อจำเลยและผู้ร้องเป็นเจ้าของรวมผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินครึ่งหนึ่งทางทิศเหนือเป็นส่วนสัดมาตั้งแต่ได้รับการยกให้จากบิดาเมื่อโจทก์รับจำนองที่ดินส่วนที่เป็นของจำเลยโจทก์ก็ทราบว่ารับจำนองเฉพาะที่ดินส่วนที่อยู่ทางทิศใต้ดังนี้โจทก์จะบังคับคดียึดที่ดินทั้งแปลงออกขายทอดตลาดให้ผู้ร้องกันเงินครึ่งหนึ่งที่ได้จากการขายทอดตลาดมิได้ผู้ร้องย่อมมีสิทธิที่จะขอให้กันที่ดินส่วนทางด้านทิศเหนือของผู้ร้องออกก่อนขายทอดตลาด กรณีเช่นนี้เป็นเรื่องการร้องขอกันส่วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 มิใช่เป็นการร้องขัดทรัพย์ตามมาตรา 288 จึงเรียกค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์มิได้เมื่อศาลอุทธรณ์เรียกค่าขึ้นศาลมาไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาย่อมสั่งให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2810/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ตกภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งฯ และสิทธิยึดหน่วงใบหุ้นของตัวแทน
พระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 เป็นกฎหมายพิเศษที่บัญญัติไว้เพื่อกิจการซื้อขายหุ้นใน ตลาดหลักทรัพย์ โดยเฉพาะการซื้อขายหุ้นใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจึงไม่ตกอยู่ใน บังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1129เมื่อการซื้อขายหุ้นดังกล่าวได้กระทำตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งออกตามความใน มาตรา 15(8) แห่ง พระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงไม่ตกเป็นโมฆะ
โจทก์เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ซื้อหุ้นตามคำสั่งของจำเลยลูกค้าแล้ว และได้รับใบหุ้นและ ตราสารโอนหุ้นมาแล้ว โจทก์จะต้องเก็บรักษาไว้แทนจำเลยเพื่อส่งมอบให้จำเลยเมื่อจำเลยชำระเงิน ที่โจทก์ออกทดรอง ซื้อหุ้นดังกล่าวจนครบหากจำเลยไม่ชำระแม้โจทก์นำคดีมาฟ้องเรียกให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวโดยมิได้ส่งมอบและโอนหุ้นนั้นให้ จำเลยเสียก่อนก็ดีหรือมิได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ให้แก่จำเลยก็ดีโจทก์ ก็มีอำนาจฟ้อง ขอให้จำเลยชำระหนี้ค่าหุ้นที่โจทก์ออกทดรองแทนจำเลยไปได้ เพราะแม้ต่างฝ่ายต่างมีหนี้ที่จะต้องชำระต่อกัน แต่ก็ มิใช่หนี้ตาม สัญญาต่างตอบแทนแต่โจทก์ซึ่งเป็นตัวแทนมีสิทธิ ยึดหน่วงใบหุ้นนั้นไว้ จนกว่าโจทก์จะได้รับเงินบรรดาที่ ค้างชำระเพราะเป็นตัวแทนจากจำเลย ผู้เป็นตัวการ เมื่อจำเลย ชำระเงินบรรดาที่ค้างชำระดังกล่าวแล้วโจทก์ ก็จะต้อง ส่งมอบใบหุ้นพร้อมกับตราสารโอนหุ้นให้แก่จำเลย
โจทก์เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ซื้อหุ้นตามคำสั่งของจำเลยลูกค้าแล้ว และได้รับใบหุ้นและ ตราสารโอนหุ้นมาแล้ว โจทก์จะต้องเก็บรักษาไว้แทนจำเลยเพื่อส่งมอบให้จำเลยเมื่อจำเลยชำระเงิน ที่โจทก์ออกทดรอง ซื้อหุ้นดังกล่าวจนครบหากจำเลยไม่ชำระแม้โจทก์นำคดีมาฟ้องเรียกให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวโดยมิได้ส่งมอบและโอนหุ้นนั้นให้ จำเลยเสียก่อนก็ดีหรือมิได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ให้แก่จำเลยก็ดีโจทก์ ก็มีอำนาจฟ้อง ขอให้จำเลยชำระหนี้ค่าหุ้นที่โจทก์ออกทดรองแทนจำเลยไปได้ เพราะแม้ต่างฝ่ายต่างมีหนี้ที่จะต้องชำระต่อกัน แต่ก็ มิใช่หนี้ตาม สัญญาต่างตอบแทนแต่โจทก์ซึ่งเป็นตัวแทนมีสิทธิ ยึดหน่วงใบหุ้นนั้นไว้ จนกว่าโจทก์จะได้รับเงินบรรดาที่ ค้างชำระเพราะเป็นตัวแทนจากจำเลย ผู้เป็นตัวการ เมื่อจำเลย ชำระเงินบรรดาที่ค้างชำระดังกล่าวแล้วโจทก์ ก็จะต้อง ส่งมอบใบหุ้นพร้อมกับตราสารโอนหุ้นให้แก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2810/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ตกภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งฯ และสิทธิยึดหน่วงใบหุ้นของตัวแทน
พระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 เป็นกฎหมายพิเศษที่บัญญัติไว้เพื่อกิจการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ โดยเฉพาะ การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จึงไม่ตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย ์มาตรา 1129 ้เมื่อการซื้อขายหุ้นดังกล่าวได้กระทำตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งออกตามความใน มาตรา 15 (8) แห่งพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงไม่ตกเป็นโมฆะ
โจทก์เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ซื้อหุ้นตามคำสั่งของจำเลยลูกค้าแล้ว และได้รับใบหุ้นและตราสารโอนหุ้นมาแล้ว โจทก์จะต้องเก็บรักษาไว้แทนจำเลย เพื่อส่งมอบให้จำเลยเมื่อจำเลยชำระเงิน ที่โจทก์ออกทด]อง ซื้อหุ้นดังกล่าวจนครบหากจำเลยไม่ชำระแม้โจทก์นำคดีมาฟ้องเรียกให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวโดยมิได้ส่งมอบและโอนหุ้นนั้นให้จำเลยเสียก่อนก็ดีหรือมิได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ให้แก่จำเลยก็ดี โจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง ขอให้จำเลยชำระหนี้ค่าหุ้นที่โจทก์ออกทดรองแทนจำเลยไปได้เพราะแม้ต่างฝ่ายต่างมีหนี้ที่จะต้องชำระต่อกัน แต่ก็มิใช่หนี้ตามสัญญาต่างตอบแทนแต่โจทก์ ซึ่งเป็นตัวแทนมีสิทธิยึดหน่วงใบหุ้นนั้นไว้ จนกว่าโจทก์จะได้รับเงินบรรดาที่ค้างชำระเพราะเป็นตัวแทนจากจำเลยผู้เป็นตัวการ เมื่อจำเลยชำระเงินบรรดาที่ค้างชำระดังกล่าวแล้ว โจทก์ ก็จะต้องส่งมอบใบหุ้นพร้อมกับตราสารโอนหุ้นให้แก่จำเลย
โจทก์เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ซื้อหุ้นตามคำสั่งของจำเลยลูกค้าแล้ว และได้รับใบหุ้นและตราสารโอนหุ้นมาแล้ว โจทก์จะต้องเก็บรักษาไว้แทนจำเลย เพื่อส่งมอบให้จำเลยเมื่อจำเลยชำระเงิน ที่โจทก์ออกทด]อง ซื้อหุ้นดังกล่าวจนครบหากจำเลยไม่ชำระแม้โจทก์นำคดีมาฟ้องเรียกให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวโดยมิได้ส่งมอบและโอนหุ้นนั้นให้จำเลยเสียก่อนก็ดีหรือมิได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ให้แก่จำเลยก็ดี โจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง ขอให้จำเลยชำระหนี้ค่าหุ้นที่โจทก์ออกทดรองแทนจำเลยไปได้เพราะแม้ต่างฝ่ายต่างมีหนี้ที่จะต้องชำระต่อกัน แต่ก็มิใช่หนี้ตามสัญญาต่างตอบแทนแต่โจทก์ ซึ่งเป็นตัวแทนมีสิทธิยึดหน่วงใบหุ้นนั้นไว้ จนกว่าโจทก์จะได้รับเงินบรรดาที่ค้างชำระเพราะเป็นตัวแทนจากจำเลยผู้เป็นตัวการ เมื่อจำเลยชำระเงินบรรดาที่ค้างชำระดังกล่าวแล้ว โจทก์ ก็จะต้องส่งมอบใบหุ้นพร้อมกับตราสารโอนหุ้นให้แก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2777/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินเหตุและการเจตนาฆ่า กรณีชู้กับภรรยา
ผู้เสียหายเป็นชู้กับภริยาจำเลยซึ่งมิได้จดทะเบียนสมรสกันในระหว่างที่ จำเลยต้องโทษจำคุก เมื่อจำเลยพ้นโทษแล้ววัน ใดที่จำเลยไม่อยู่บ้านผู้เสียหาย ก็มาหลับนอนกับภริยา จำเลย ที่บ้านจำเลย เช้าวันเกิดเหตุในขณะที่จำเลยกำลังเดินเข้าบ้านผู้เสียหายได้เตะต่อยจำเลยก่อน จำเลยซึ่งมีอายุมากกว่าผู้เสียหายมากสู้ผู้เสียหายไม่ได้จึงวิ่งไป คว้ามีดมาฟันผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้าย อันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงแต่จำเลย ใช้มีดทั้งด้ามและใบมีดยาว 1 ฟุต ใบมีดกว้าง 4 นิ้ว ฟันผู้เสียหายหลายทีจนผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายเป็นบาดแผลรวม 8 แห่ง แต่ไม่ถึงแก่ความตายบาดแผลที่สำคัญคือท้ายทอยยาว 15 เซนติเมตร ลึก 7 เซนติเมตรที่หน้าผากยาว 5 เซนติเมตรลึกถึงกะโหลกศีรษะ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าและเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2777/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายและการใช้กำลังเกินสมควร การทำร้ายร่างกายจนเป็นอันตรายสาหัส
ผู้เสียหายเป็นชู้กับภริยาจำเลยซึ่งมิได้จดทะเบียนสมรสกันในระหว่างที่ จำเลยต้องโทษจำคุกเมื่อจำเลยพ้นโทษแล้ววันใดที่จำเลยไม่อยู่บ้านผู้เสียหาย ก็มาหลับนอนกับภริยาจำเลยที่บ้านจำเลยเช้าวันเกิดเหตุในขณะที่จำเลย กำลังเดิน เข้าบ้านผู้เสียหายได้เตะต่อยจำเลยก่อนจำเลยซึ่งมีอายุมากกว่า ผู้เสียหายมากสู้ผู้เสียหายไม่ได้จึงวิ่งไป คว้ามีดมาฟันผู้เสียหายการกระทำ ของจำเลยจึงเป็นการป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการ ประทุษร้าย อันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงแต่จำเลย ใช้มีดทั้งด้ามและใบมีดยาว 1 ฟุต ใบมีดกว้าง 4 นิ้ว ฟันผู้เสียหาย หลายทีจนผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่ กายเป็นบาดแผลรวม 8 แห่ง แต่ไม่ถึงแก่ความตายบาดแผลที่สำคัญคือท้ายทอยยาว 15 เซนติเมตร ลึก 7 เซนติเมตรที่หน้าผากยาว 5 เซนติเมตรลึกถึงกะโหลกศีรษะ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าและเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2722/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการโอนทรัพย์สินก่อนล้มละลายเมื่อเจตนาให้เจ้าหนี้รายหนึ่งได้เปรียบ
จำเลยที่ 2 มีหนี้สินจำนวนมาก เฉพาะที่มายื่น คำร้องขอรับชำระหนี้ มี 119 ราย เป็นจำนวนหนี้ถึง 262 ล้านบาท ดังนั้นการที่จำเลยที่ 2 รู้อยู่แล้วว่าตนเอง มีหนี้สินเป็นจำนวนมากจนไม่สามารถชำระหนี้ได้ แต่กลับโอนรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายหนึ่งเพื่อเป็นการชำระหนี้ภายในเวลา 3 เดือนก่อนมีการขอให้ ล้มละลาย ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้โอนทรัพย์สิน โดยมุ่งหมายให้เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นตามนัยของ มาตรา 115 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 แล้ว
การโอนทรัพย์สินของลูกหนี้ในระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการ ขอให้ล้มละลายตาม มาตรา 115 ถ้าลูกหนี้ซึ่งเป็นผู้โอน ทรัพย์สิน เพียงฝ่ายเดียวรู้ว่าเป็นการโอนที่ทำให้เจ้าหนี้คนใดคนหนึ่งได้เปรียบ เจ้าหนี้อื่นก็เป็นการเพียงพอที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะร้องขอให้เพิกถอนการโอนได้แล้ว
บุคคลภายนอกแม้จะรับโอนมาโดยสุจริต และมีค่าตอบแทนแต่หากรับโอนไว้ภายหลังที่มีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลายแล้วย่อมไม่ได้รับ ความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 116
การโอนทรัพย์สินของลูกหนี้ในระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการ ขอให้ล้มละลายตาม มาตรา 115 ถ้าลูกหนี้ซึ่งเป็นผู้โอน ทรัพย์สิน เพียงฝ่ายเดียวรู้ว่าเป็นการโอนที่ทำให้เจ้าหนี้คนใดคนหนึ่งได้เปรียบ เจ้าหนี้อื่นก็เป็นการเพียงพอที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะร้องขอให้เพิกถอนการโอนได้แล้ว
บุคคลภายนอกแม้จะรับโอนมาโดยสุจริต และมีค่าตอบแทนแต่หากรับโอนไว้ภายหลังที่มีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลายแล้วย่อมไม่ได้รับ ความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 116
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2722/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการโอนทรัพย์สินก่อนล้มละลายเมื่อเจตนาให้เจ้าหนี้รายหนึ่งได้เปรียบ
จำเลยที่ 2 มีหนี้สินจำนวนมาก เฉพาะที่มายื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ มี119 ราย เป็นจำนวนหนี้ถึง 262 ล้าน บาท ดังนั้นการที่จำเลยที่ 2 รู้อยู่แล้วว่าตนเอง มีหนี้สินเป็นจำนวนมากจนไม่สามารถชำระหนี้ได้ แต่กลับ โอนรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายหนึ่งเพื่อเป็นการชำระหนี้ภายในเวลา 3 เดือนก่อนมีการขอให้ ล้มละลายย่อมถือได้ว่า จำเลยที่ 2 ได้โอนทรัพย์สิน โดยมุ่งหมายให้เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นตามนัยของ มาตรา 115 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 แล้ว
การโอนทรัพย์สินของลูกหนี้ในระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการ ขอให้ล้มละลายตาม มาตรา 115. ถ้าลูกหนี้ซึ่งเป็นผู้โอน ทรัพย์สิน เพียงฝ่ายเดียวรู้ว่าเป็นการโอนที่ทำให้เจ้าหนี้คนใดคนหนึ่งได้เปรียบ เจ้าหนี้อื่นก็เป็นการเพียงพอที่ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะร้องขอให้ เพิกถอนการโอนได้แล้ว
บุคคลภายนอกแม้จะรับโอนมาโดยสุจริต และมีค่าตอบแทน แต่หากรับโอนไว้ภายหลังที่มีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลายแล้วย่อมไม่ได้รับ ความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 116
การโอนทรัพย์สินของลูกหนี้ในระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการ ขอให้ล้มละลายตาม มาตรา 115. ถ้าลูกหนี้ซึ่งเป็นผู้โอน ทรัพย์สิน เพียงฝ่ายเดียวรู้ว่าเป็นการโอนที่ทำให้เจ้าหนี้คนใดคนหนึ่งได้เปรียบ เจ้าหนี้อื่นก็เป็นการเพียงพอที่ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะร้องขอให้ เพิกถอนการโอนได้แล้ว
บุคคลภายนอกแม้จะรับโอนมาโดยสุจริต และมีค่าตอบแทน แต่หากรับโอนไว้ภายหลังที่มีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลายแล้วย่อมไม่ได้รับ ความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 116
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2543/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดในสภาวะจิตบกพร่อง ศาลมีอำนาจลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65
จำเลยเคยถูกไม้นั่งร้านล้มทับศีรษะและเคยเป็นลมชักคืนเกิดเหตุจำเลยนอนไม่หลับเนื่องจากได้ยินเสียงแว่วว่าจะมี คนมาทำร้าย จึงลุกมานั่งที่ประตูทางเข้า ถือมีดปลายแหลม ไว้ป้องกันตัว และได้ยินเสียงคล้ายคนมาดึงประตูจะมาทำร้าย จึงลุกขึ้นดึงประตูไว้พร้อมกับเรียกให้คนช่วย เมื่อจำเลยแทง ผู้เสียหายแล้วจำเลยมิได้หลบหนีภริยาจำเลยพาจำเลยไปตรวจ ที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ดังนี้แสดงว่าจำเลยกระทำผิด ในขณะที่มีจิตบกพร่อง แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวก็ปรากฏจากพยานหลักฐานของ โจทก์เอง ศาลย่อมมีอำนาจที่จะยก ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 วรรคสอง กำหนดโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมาย กำหนดไว้เพียงใดก็ได้