พบผลลัพธ์ทั้งหมด 883 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1531/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกค่ารถยนต์จากสัญญาซื้อขาย: กำหนดเริ่มนับอายุความเมื่อใด
ฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์เป็นบุคคลผู้เป็นพ่อค้าขายรถยนต์ ได้ขายรถยนต์จำนวน 1 คันให้จำเลย ได้ส่งมอบรถยนต์ให้จำเลยรับไปแล้ว จำเลยผิดนัดไม่ชำระราคารถยนต์ที่ค้างชำระให้โจทก์ ขอให้ศาลบังคับ ดังนี้ ฟ้องของโจทก์จึงเป็นกรณีที่โจทก์ผู้เป็นพ่อค้ารถยนต์เรียกเอาค่าที่ได้ส่งมอบรถยนต์จากจำเลยตามสัญญาซื้อขายจึงมีกำหนดอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 165(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1522/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับมรดกของบุตรผู้เยาว์ต้องได้รับอนุญาตจากศาล มิฉะนั้นเป็นโมฆะ
โจทก์เป็นผู้รับมรดกตามพินัยกรรมของ ท.บิดาพ. จำเลยเป็นภริยาและเป็นผู้จัดการมรดกของ พ. เจ้ามรดก เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับอนุญาตจากศาลให้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับ ท.อันเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของพ.ที่ตกได้แก่ บุตรผู้เยาว์ของจำเลย จึงเป็นนิติกรรมที่ต้องห้ามโดยชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574(8) และไม่มีผลบังคับถึงมรดกของ พ.ทั้งหมดที่ตกได้แก่ทายาทจึงไม่มีสิทธิของท. อันเกิดจากสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวอันจะพึงตกได้แก่โจทก์ตามพินัยกรรมของ ท. ดังนั้น โจทก์ไม่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ของจำเลย และไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1522/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับมรดกที่ทำโดยผู้จัดการมรดกแทนบุตรผู้เยาว์ ต้องได้รับอนุญาตจากศาลจึงมีผลผูกพัน
โจทก์เป็นผู้รับมรดกตามพินัยกรรมของ ท. บิดา พ. จำเลยเป็นภริยาและเป็นผู้จัดการมรดกของ พ. เจ้ามรดก เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับอนุญาตจากศาลให้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับ ท. อันเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของ พ. ที่ตกได้แก่ บุตรผู้เยาว์ของจำเลย จึงเป็นนิติกรรมที่ต้องห้ามโดยชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574(8) และไม่มีผลบังคับถึงมรดกของ พ. ทั้งหมดที่ตกได้แก่ทายาท จึงไม่มีสิทธิของ ท. อันเกิดจากสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวอันจะพึงตกได้แก่โจทก์ตามพินัยกรรมของ ท. ดังนั้น โจทก์ไม่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ของจำเลย และไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1447/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานทำไม้แปรรูปไม้และมีไม้หวงห้ามในครอบครอง ถือเป็นความผิดต่างกรรมกัน แม้ไม้จะเป็นของชุดเดียวกัน
การทำไม้หวงห้าม การแปรรูปไม้ในเขตควบคุม การมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครอง และการมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูป โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นการกระทำอันเป็นความผิดต่างกรรมกัน แม้ไม้ที่แปรรูปแล้วกับไม้อันยังมิได้แปรรูปเป็นไม้หวงห้ามรายเดียวกันกับไม้ที่ผู้กระทำความผิดได้ทำโดยมิได้รับอนุญาตและ ไม้แปรรูปที่มีไว้ในครอบครองเป็นไม้ที่ผู้กระทำความผิดแปรรูปเองก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1447/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานทำไม้แปรรูปไม้และมีไม้หวงห้ามในครอบครอง ถือเป็นกรรมต่างกัน แม้ไม้เป็นของเดิม
การทำไม้หวงห้าม การแปรรูปไม้ในเขตควบคุม การมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครอง และการมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูป โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นการกระทำอันเป็นความผิด ต่างกรรมกัน แม้ไม้ที่แปรรูปแล้วกับไม้อันยังมิได้แปรรูปเป็นไม้หวงห้ามรายเดียวกันกับไม้ที่ผู้กระทำความผิดได้ทำโดยมิได้รับอนุญาตและไม้แปรรูปที่มีไว้ในครอบครองเป็นไม้ที่ผู้กระทำความผิดแปรรูปเองก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1270/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน: การกระทำที่เล็งเห็นผลถึงแก่ความตาย แม้ไม่สำเร็จ
จำเลยขับรถยนต์บรรทุกดินลูกรังสูงเกินกำหนด พอถึงจุดตรวจซึ่งมีแผงเหล็กเครื่องหมาย 'หยุด' ตั้งอยู่กลางถนนเจ้าพนักงานตำรวจได้เป่านกหวีดและให้สัญญาณให้จำเลยหยุดจำเลยกลัวถูกจับจึงไม่หยุดรถ แต่กลับเร่งเครื่องยนต์หลีกเครื่องหมายจราจรพุ่งเข้าใส่เจ้าพนักงานตำรวจที่ยืนอยู่ทางซ้าย 2-3 คน แต่เจ้าพนักงานตำรวจกระโดดหลบเสียทันดังนี้ จำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำได้ว่า รถยนต์ที่จำเลยขับพุ่งเข้าใส่เช่นนั้นจะต้องชนเจ้าพนักงานตำรวจที่ยืนอยู่ในถนนถึงแก่ความตายได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289,80
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1270/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พฤติการณ์ขับรถพุ่งเข้าใส่เจ้าพนักงานตำรวจขณะปฏิบัติหน้าที่ ถือเป็นการพยายามฆ่า แม้จะหลบได้ทัน
จำเลยขับรถยนต์บรรทุกดินลูกรังสูงเกินกำหนด พอถึงจุดตรวจซึ่งมีแผงเหล็กเครื่องหมาย "หยุด" ตั้งอยู่กลางถนน เจ้าพนักงานตำรวจได้เป่านกหวีดและให้สัญญาณให้จำเลยหยุด จำเลยกลัวถูกจับจึงไม่หยุดรถ แต่กลับเร่งเครื่องยนต์หลีกเครื่องหมายจราจรพุ่งเข้าใส่เจ้าพนักงานตำรวจที่ยืนอยู่ทางซ้าย 2-3 คน แต่เจ้าพนักงานตำรวจกระโดดหลบเสียทัน ดังนี้ จำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำได้ว่ารถยนต์ที่จำเลยขับพุ่งเข้าใส่เช่นนั้นจะต้องชนเจ้าพนักงานตำรวจที่ยืนอยู่ในถนนถึงแก่ความตายได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 80
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1262/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องคดีอาญาเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการส่งหมายเรียกจำเลย ศาลมีอำนาจจำหน่ายคดีได้
ในคดีอาญาศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งว่าคดีของโจทก์มีมูล ให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา หมายเรียกจำเลยมาให้การ และให้โจทก์นำส่งหมายภายใน 7 วัน คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ออกหมายเรียกจำเลยมานั้น นอกจากจะเป็นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 169 แล้ว ยังเป็นการปฏิบัติตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ด้วย และ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์นำส่งหมายเรียกให้จำเลยก็เป็นการสั่งให้โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 70 วรรคท้าย โจทก์จึงมีหน้าที่ที่จะต้องดำเนินคดีต่อไปภายในกำหนดเวลาที่ศาลกำหนดไว้นั้น
เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งศาลที่กำหนดเวลาให้โจทก์นำส่งหมายให้จำเลยดังกล่าวแล้ว โจทก์ไม่ดำเนินคดีภายในกำหนดเวลานั้น กรณีต้องถือว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดี ภายในเวลาที่ศาลกำหนดไว้เพื่อการนั้นโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) อันเป็นการทิ้งฟ้อง ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งจำหน่ายคดีของโจทก์เสียจากสารบบความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132(1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งศาลที่กำหนดเวลาให้โจทก์นำส่งหมายให้จำเลยดังกล่าวแล้ว โจทก์ไม่ดำเนินคดีภายในกำหนดเวลานั้น กรณีต้องถือว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดี ภายในเวลาที่ศาลกำหนดไว้เพื่อการนั้นโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) อันเป็นการทิ้งฟ้อง ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งจำหน่ายคดีของโจทก์เสียจากสารบบความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132(1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1262/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องคดีอาญาเนื่องจากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการนำส่งหมายเรียกจำเลย ทำให้ศาลจำหน่ายคดีออกจากสารบบได้
ในคดีอาญาศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า คดีของโจทก์มีมูล ให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา หมายเรียกจำเลยมาให้การ และให้โจทก์นำส่งหมายภายใน 7 วัน คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ออกหมายเรียกจำเลยมานั้น นอกจากจะเป็นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 169 แล้วยังเป็นการปฏิบัติตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ด้วย และ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์นำส่งหมายเรียกให้จำเลยก็เป็นการสั่งให้โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 70 วรรคท้าย โจทก์ จึงมีหน้าที่ที่จะต้องดำเนินคดีต่อไปภายในกำหนดเวลาที่ศาลกำหนดไว้นั้น
เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งศาลที่กำหนดเวลาให้โจทก์นำส่งหมายให้จำเลยดังกล่าวแล้ว. โจทก์ไม่ดำเนินคดีภายในกำหนดเวลานั้น กรณีต้องถือว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดี ภายในเวลาที่ศาลกำหนดไว้เพื่อการนั้นโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) อันเป็นการทิ้งฟ้อง ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งจำหน่ายคดีของโจทก์เสียจากสารบบความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132(1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งศาลที่กำหนดเวลาให้โจทก์นำส่งหมายให้จำเลยดังกล่าวแล้ว. โจทก์ไม่ดำเนินคดีภายในกำหนดเวลานั้น กรณีต้องถือว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดี ภายในเวลาที่ศาลกำหนดไว้เพื่อการนั้นโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) อันเป็นการทิ้งฟ้อง ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งจำหน่ายคดีของโจทก์เสียจากสารบบความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132(1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1160/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความครอบครองปรปักษ์: การเปลี่ยนแปลงฐานการต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์
จำเลยให้การว่า จำเลยกับสามีเข้าครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 1 ปี คดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374 และ มาตรา 1375 แต่จำเลยอุทธรณ์ว่า ก. บุตรโจทก์เบิกความว่า ขณะจำเลยปลูกบ้านเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา โจทก์ไปทวงค่าที่ดิน จำเลยไม่ยอมให้และท้าให้โจทก์ไปฟ้อง เห็นชัดว่าจำเลยโต้เถียงสิทธิครอบครองว่าที่พิพาทเป็นของตนตั้งแต่จำเลยปลูกบ้านถาวร โจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี คดีขาดอายุความ ดังนี้ ตามคำให้การจำเลยเป็นเรื่องที่จำเลยต่อสู้คดีว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่พิพาทมาแต่ต้นจนเกิน 1 ปี แล้ว แต่จำเลยอุทธรณ์เป็นทำนองว่าจำเลยเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่พิพาทตั้งแต่จำเลยปลูกบ้านถาวรในที่พิพาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับที่จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้นั้นชอบแล้ว