พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,033 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2290/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรมธรรม์ประกันภัย: การขาดต่ออายุใบอนุญาตขับรถ ไม่ถือเป็นการไม่ได้รับอนุญาตขับรถตามกรมธรรม์
การที่คู่ความตกลงนำสืบพยานกันเฉพาะประเด็นตามคำท้าว่าขณะเกิดเหตุ ส. ผู้ขับรถจำเลยที่ 1 คันที่เอาประกันภัยกับโจทก์มีใบอนุญาตขับรถยนต์โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น ย่อมหมายถึงชอบด้วยกฎหมายตามกรมธรรม์ประกันภัยรายพิพาทหรือไม่ การวินิจฉัยย่อมต้องพิจารณาถึงเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยประกอบเมื่อปรากฏว่าตามเงื่อนไขในกรมธรรม์มีไว้เพื่อไม่ให้ผู้ที่ขับรถยนต์ไม่เป็นหรือไม่ได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์มาขับรถยนต์คันที่เอาประกันภัย การที่ ส. มีใบอนุญาตขับรถยนต์มาก่อนเกิดเหตุเพียงแต่ขาดต่ออายุระหว่างเกิดเหตุ หาได้หมายความว่า ความสามารถในการขับรถยนต์ของ ส.บกพร่องไปไม่ จึงถือได้ว่า ส.มีใบอนุญาตขับรถยนต์โดยชอบด้วยกฎหมายตามคำท้าของโจทก์และจำเลยที่ 1 โจทก์ต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2290/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรมธรรม์ประกันภัย: การมีใบอนุญาตขับรถที่ขาดต่ออายุไม่ถือว่าขาดความสามารถในการขับขี่
การที่คู่ความตกลงนำสืบพยานกันเฉพาะประเด็นตามคำท้าว่าขณะเกิดเหตุ ส. ผู้ขับรถจำเลยที่ 1 คันที่เอาประกันภัยกับโจทก์มีใบอนุญาตขับรถยนต์โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น ย่อมหมายถึงชอบด้วยกฎหมายตามกรมธรรม์ประกันภัยรายพิพาทหรือไม่การวินิจฉัยย่อมต้องพิจารณาถึงเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยประกอบเมื่อปรากฏว่าตามเงื่อนไขในกรมธรรม์มีไว้เพื่อไม่ให้ผู้ที่ขับรถยนต์ไม่เป็นหรือไม่ได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์มาขับรถยนต์คันที่เอาประกันภัย การที่ ส. มีใบอนุญาตขับรถยนต์มาก่อนเกิดเหตุเพียงแต่ขาดต่ออายุระหว่างเกิดเหตุ หาได้หมายความว่า ความสามารถในการขับรถยนต์ของ ส.บกพร่องไปไม่ จึงถือได้ว่า ส.มีใบอนุญาตขับรถยนต์โดยชอบด้วยกฎหมายตามคำท้าของโจทก์และจำเลยที่ 1 โจทก์ต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2290/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประกันภัยรถยนต์: ใบอนุญาตขับรถขาดต่ออายุ ยังถือว่ามีใบอนุญาตโดยชอบตามเจตนาของคู่สัญญา
คู่ความตกลงท้ากันให้นายทะเบียนยานพาหนะฯ วินิจฉัยว่าส.มีใบอนุญาตขับรถยนต์โดยชอบด้วยกฎหมายที่ได้รับจากนายทะเบียนฯในขณะเกิดเหตุคดีนี้หรือไม่ ถ้า นายทะเบียนวินิจฉัยว่า ส. มีใบอนุญาตขับรถยนต์ที่ได้รับจากนายทะเบียนฯ โดยชอบ โจทก์ยอมแพ้หากวินิจฉัยตรงกันข้ามจำเลยยอมแพ้ ดังนี้เมื่อหัวหน้าแผนกขับขี่รถยนต์ที่ศาลหมายเรียกมาสอบถามแถลงว่าไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่า ส.มีใบอนุญาตขับรถยนต์โดยชอบด้วยกฎหมายที่ได้รับจากนายทะเบียนฯในขณะที่เกิดเหตุหรือไม่ คู่ความจึงต้องสืบพยานกันต่อไปเฉพาะ ในประเด็นตามคำท้า เมื่อข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบมารับฟังได้ว่าในวันเกิดเหตุส. มีใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลที่ออกให้โดยนายทะเบียนยานพาหนะฯแต่ขาดต่ออายุ การวินิจฉัยคดีว่าฝ่ายใดจะชนะหรือแพ้คดีตามคำท้าย่อมจะต้องพิจารณาถึงเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยรายพิพาทประกอบด้วยซึ่งเห็นได้ว่าเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยฯ มีไว้เพื่อไม่ให้ผู้ที่ขับรถยนต์ไม่เป็นหรือไม่ได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์มาขับรถยนต์ที่เอาประกันเพราะเกรงจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย การที่ ส. เพียงแต่ขาดต่ออายุใบอนุญาตฯ จึงถือได้ว่า ส. มีใบอนุญาตขับรถยนต์โดยชอบด้วยกฎหมายตามคำท้า โจทก์ต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2163/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองเฮโรอีนปริมาณน้อย และขัดขวางเจ้าพนักงาน ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ลงโทษ
การที่จำเลยมีหลอดฉีดยาและเข็มฉีดยาซึ่งมีเฮโรอีนติดอยู่แม้เฮโรอีนนั้นจะมีจำนวนเล็กน้อยจนชั่งน้ำหนักไม่ได้ก็ย่อมถือได้ว่าจำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครอง
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138,296 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 296 โดยมิได้วินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 138 ด้วยจึงไม่ถูกต้อง แม้โจทก์มิได้อุทธรณ์ศาลฎีกาก็ชอบที่จะแก้ให้ถูกต้องโดยลงโทษเท่าเดิมได้.
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138,296 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 296 โดยมิได้วินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 138 ด้วยจึงไม่ถูกต้อง แม้โจทก์มิได้อุทธรณ์ศาลฎีกาก็ชอบที่จะแก้ให้ถูกต้องโดยลงโทษเท่าเดิมได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2163/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองเฮโรอีนแม้ปริมาณน้อย และการขัดขวางเจ้าพนักงาน ศาลฎีกาพิพากษากลับ
การที่จำเลยมีหลอดฉีดยาและเข็มฉีดยาซึ่งมีเฮโรอีนติดอยู่แม้เฮโรอีนนั้นจะมีจำนวนเล็กน้อยจนชั่งน้ำหนักไม่ได้ ก็ย่อมถือได้ว่าจำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครอง
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138, 296 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 296 โดยมิได้วินิจฉัยว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 138 ด้วยจึงไม่ถูกต้อง แม้โจทก์มิได้อุทธรณ์ศาลฎีกาก็ชอบที่จะแก้ให้ถูกต้องโดยลงโทษเท่าเดิมได้
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138, 296 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 296 โดยมิได้วินิจฉัยว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 138 ด้วยจึงไม่ถูกต้อง แม้โจทก์มิได้อุทธรณ์ศาลฎีกาก็ชอบที่จะแก้ให้ถูกต้องโดยลงโทษเท่าเดิมได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2105/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการขยายความมาตรา 69 พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ วรรคสาม: เฉพาะจำหน่าย/ครอบครองเพื่อจำหน่าย
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 69 วรรคสาม ขยายความมาตรา 69 วรรคสอง เฉพาะความผิดฐานจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 2 ซึ่งเป็นมอร์ฟีน ฝิ่น หรือโคคาอีนที่มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัม มิได้ขยายความมาตรา 69 วรรคหนึ่ง ด้วย
จำเลยมีฝิ่นดิบหนัก 0.2 กรัม และมูลฝิ่นหนัก 0.94 กรัมไว้ในครอบครอง จึงต้องลงโทษจำเลยตามมาตรา 69 วรรคหนึ่ง
ศาลล่างวางโทษจำเลยตามมาตรา 69 วรรคหนึ่ง และมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 ซึ่งเป็นบทแก้ไขพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 69 วรรคสามและวรรคสี่ด้วยนั้นไม่ถูก ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเป็นไม่ปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2528 มาตรา 6
จำเลยมีฝิ่นดิบหนัก 0.2 กรัม และมูลฝิ่นหนัก 0.94 กรัมไว้ในครอบครอง จึงต้องลงโทษจำเลยตามมาตรา 69 วรรคหนึ่ง
ศาลล่างวางโทษจำเลยตามมาตรา 69 วรรคหนึ่ง และมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 ซึ่งเป็นบทแก้ไขพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 69 วรรคสามและวรรคสี่ด้วยนั้นไม่ถูก ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเป็นไม่ปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2528 มาตรา 6
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2105/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการปรับบทลงโทษ พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ มาตรา 69 วรรคสาม: เฉพาะจำหน่ายหรือครอบครองเพื่อจำหน่าย
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 69 วรรคสาม ขยายความมาตรา 69 วรรคสอง เฉพาะความผิดฐานจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 2 ซึ่งเป็นมอร์ฟีน ฝิ่น หรือโคคาอีนที่มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัม มิได้ขยายความมาตรา 69 วรรคหนึ่ง ด้วย
จำเลยมีฝิ่นดิบหนัก 0.2 กรัม และมูลฝิ่นหนัก 0.94 กรัมไว้ในครอบครอง จึงต้องลงโทษจำเลยตามมาตรา 69 วรรคหนึ่ง
ศาลล่างวางโทษจำเลยตามมาตรา 69 วรรคหนึ่ง และมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่2) พ.ศ. 2528 ซึ่งเป้นบทแก้ไขพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 69 วรรคสามและวรรคสี่ด้วยนั้นไม่ถูก ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเป็นไม่ปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่2) พ.ศ.2528 มาตรา 6
จำเลยมีฝิ่นดิบหนัก 0.2 กรัม และมูลฝิ่นหนัก 0.94 กรัมไว้ในครอบครอง จึงต้องลงโทษจำเลยตามมาตรา 69 วรรคหนึ่ง
ศาลล่างวางโทษจำเลยตามมาตรา 69 วรรคหนึ่ง และมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่2) พ.ศ. 2528 ซึ่งเป้นบทแก้ไขพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 69 วรรคสามและวรรคสี่ด้วยนั้นไม่ถูก ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเป็นไม่ปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่2) พ.ศ.2528 มาตรา 6
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2105/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความบทบัญญัติมาตรา 69 พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ: การมีไว้ในครอบครอง vs. จำหน่าย/มีไว้เพื่อจำหน่าย
ความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาต กับฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายหรือจำหน่าย กฎหมายมีเจตนารมณ์ในการวางโทษหนักเบาต่างกัน โดยแยกบัญญัติไว้ในมาตรา 69 วรรคหนึ่งและวรรคสอง แห่ง พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ดังนั้นมาตรา 69 วรรค 3 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 จึงมีวัตถุประสงค์ให้ขยายความเฉพาะ ความผิดฐานจำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งมอร์ฟีน คาเฟอีน รวมทั้งฝิ่นที่มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัม ตามมาตรา69 วรรคสองเท่านั้น การที่จำเลยมีฝิ่นดิบและมูลฝิ่นไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาต จึงต้องวางอัตราโทษตามมาตรา 69 วรรคหนึ่ง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2098/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ จำเป็นต้องบรรยายองค์ประกอบความผิดชัดเจน
โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่า จำเลยกับพวกบุกรุกเข้าไปในบริเวณบ้านของโจทก์ โจทก์ห้ามปรามแล้วไม่ยอมเชื่อฟังกลับร่วมกันตีไม้สำหรับทำนั่งร้านเพื่อทำงานของตนคร่อมเข้าไปในบริเวณหลังคาบ้านโจทก์ โดยโจทก์มิได้บรรยายว่าเป็นการเข้าไปเพื่อยึดถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นหรือเข้าไปกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข อันเป็นองค์ประกอบของการกระทำความผิดฐานบุกรุกในข้อสาระสำคัญตาม ป.อ. มาตรา 362 ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยมาตรา158(5) แห่ง ป.วิ.อ.
ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์โดยเห็นว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาในข้อดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์โดยเห็นว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาในข้อดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2098/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องอาญาฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ต้องระบุองค์ประกอบการกระทำความผิดชัดเจน มิฉะนั้นฟ้องไม่ชอบ
โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่า จำเลยกับพวกบุกรุกเข้าไปในบริเวณบ้านของโจทก์ โจทก์ห้ามปรามแล้วไม่ยอมเชื่อ ฟัง กลับร่วมกันตีไม้สำหรับทำนั่งร้านเพื่อทำงานของตน คร่อมเข้าไปในบริเวณหลังคาบ้านโจทก์โดยโจทก์มิได้บรรยายว่าเป็นการเข้าไปเพื่อยึดถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นหรือเข้าไปกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข อันเป็นองค์ประกอบของการกระทำความผิดฐานบุกรุกในข้อสาระสำคัญตาม ป.อ.มาตรา 362 ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยมาตรา 158(5) แห่ง ป.วิ.อ. ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์โดยเห็นว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาในข้อดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.