คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ดำริ ศุภพิโรจน์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,033 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 61/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญากู้ยืม: ภาระการพิสูจน์, การต่อสู้เรื่องการถูกบังคับ, และการคิดดอกเบี้ย
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามสัญญากู้ยืมซึ่งจำเลยให้การว่าลงชื่อโดยถูกบังคับหรือหลอกลวงโดยในสัญญากู้มิได้กรอกข้อความใดและไม่เคยรับเงิน จึงเป็นการต่อสู้ว่าสัญญากู้เงินไม่สมบูรณ์ ภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์ และโจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน แต่เมื่อโจทก์นำสืบได้ความว่ามีการกู้ยืมแล้ว จำเลยจึงต้องมีภาระการพิสูจน์ให้ศาลเห็นตามข้อต่อสู้
ผู้เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยเพียงแต่มีหน้าที่ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแทนจำเลยซึ่งถึงแก่กรรมในระหว่างพิจารณาเท่านั้น ศาลจะพิพากษาให้ต้องรับผิดในหนี้ของจำเลยแทนจำเลยด้วยไม่ได้ กรณีต้องบังคับเอาจากกองมรดกของจำเลย
แม้คำฟ้องจะมิได้บรรยายว่าคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเท่าใดแต่ตามสัญญากู้ยอมให้คิดดอกเบี้ยอัตราตามกฎหมาย และโจทก์มีคำขอดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี เมื่อเห็นว่าดอกเบี้ยที่โจทก์คิดมาเกินอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีศาลฎีกามีอำนาจแก้ให้ถูกต้องได้.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 42/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเรียกร้องราคารถยนต์เช่าซื้อ: ศาลห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตรงกับศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงอย่างเดียวกับศาลชั้นต้นว่าโจทก์ฟ้องเรียกราคารถยนต์คันพิพาท มิใช่ฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทที่ค้างชำระ เพียงแต่พิพากษาแก้เฉพาะดอกเบี้ยก่อนฟ้อง ย่อมเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าโจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทที่ค้างชำระ เมื่อมิได้ฟ้องเรียกร้องภายใน 2 ปี คดีโจทก์ย่อมขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา165 (6) แม้ข้ออ้างในฎีกาของจำเลยที่ 1 จะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่ต้องอาศัยข้อเท็จจริงเพื่อการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย การเถียงข้อเท็จจริงของจำเลยที่ 1 ที่ว่า โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทที่ค้างชำระ ซึ่งเป็นที่ยุติและต้องห้ามฎีกาแล้ว เพื่อสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย จึงมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 42/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเรียกร้องค่ารถยนต์เช่าซื้อ: ศาลฎีกาห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงหากศาลอุทธรณ์แก้ไขเพียงเล็กน้อย
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงอย่างเดียวกับศาลชั้นต้นว่าโจทก์ฟ้องเรียกราคารถยนต์คันพิพาท มิใช่ฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทที่ค้างชำระ เพียงแต่พิพากษาแก้เฉพาะดอกเบี้ยก่อนฟ้อง ย่อมเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าโจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทที่ค้างชำระ เมื่อมิได้ฟ้องเรียกร้องภายใน 2 ปี คดีโจทก์ย่อมขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา165(6) แม้ข้ออ้างในฎีกาของจำเลยที่ 1 จะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่ต้องอาศัยข้อเท็จจริงเพื่อการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย การเถียงข้อเท็จจริงของจำเลยที่ 1 ที่ว่า โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทที่ค้างชำระ ซึ่งเป็นที่ยุติและต้องห้ามฎีกาแล้ว เพื่อสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย จึงมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4763/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีพยานเนื่องจากไม่ยื่นตามกำหนด และผลกระทบต่อการสืบพยาน
ฎีกาดุลพินิจของศาลในการรับฟังพยานและว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยซ้ำเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายมีหน้าที่นำสืบก่อนในวันที่ 6 ธันวาคม 2526 ในวันดังกล่าวเมื่อสืบพยานโจทก์แล้วจำเลยขอสืบพยานในนัดต่อไป พร้อมกับยื่นบัญชีพยานจำเลยต่อศาล โดยทนายจำเลยแถลงว่า ตั้งใจจะยื่นในวันที่ 2 เดือนนั้น แต่ทนายจำเลยติดว่าความจึงลืมยื่น ดังนี้จำเลยมิได้ยื่นบัญชีพยานก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวัน ทั้งมิได้ยื่นคำร้องต่อศาลขออนุญาตยื่นบัญชีพยานตามมาตรา 88 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลย่อมอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีพยานมิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4763/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่อนุญาตให้สืบพยานเนื่องจากไม่ยื่นบัญชีพยานตามกำหนดและข้อจำกัดในการฎีกาในข้อเท็จจริง
ฎีกาดุลพินิจของศาลในการรับฟังพยานและว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยซ้ำเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายมีหน้าที่นำสืบก่อนในวันที่6ธันวาคม2526ในวันดังกล่าวเมื่อสืบพยานโจทก์แล้วจำเลยขอสืบพยานในนัดต่อไปพร้อมกับยื่นบัญชีพยานจำเลยต่อศาลโดยทนายจำเลยแถลงว่าตั้งใจจะยื่นในวันที่2เดือนนั้นแต่ทนายจำเลยติดว่าความจึงลืมยื่นดังนี้จำเลยมิได้ยื่นบัญชีพยานก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวันทั้งมิได้ยื่นคำร้องต่อศาลขออนุญาตยื่นบัญชีพยานตามมาตรา88แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งศาลย่อมอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีพยานมิได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4763/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่อนุญาตให้สืบพยานเนื่องจากไม่ยื่นบัญชีพยานตามกำหนด และข้อจำกัดในการฎีกาในข้อเท็จจริง
ฎีกาดุลพินิจของศาลในการรับฟังพยานและว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยซ้ำเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายมีหน้าที่นำสืบก่อนในวันที่ 6 ธันวาคม 2526 ในวันดังกล่าวเมื่อสืบพยานโจทก์แล้วจำเลยขอสืบพยานในนัดต่อไป พร้อมกับยื่นบัญชีพยานจำเลยต่อศาล โดยทนายจำเลยแถลงว่า ตั้งใจจะยื่นในวันที่ 2 เดือนนั้นแต่ทนายจำเลยติดว่าความจึงลืมยื่นดังนี้จำเลยมิได้ยื่นบัญชีพยานก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวัน ทั้งมิได้ยื่นคำร้องต่อศาลขออนุญาตยื่นบัญชีพยานตามมาตรา 88 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งศาลย่อมอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีพยานมิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4747/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายเวลาอุทธรณ์ต้องมีพฤติการณ์พิเศษ การอ้างทนายเพิ่งได้รับมอบอำนาจไม่อาจใช้ขยายเวลาได้
โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์คำสั่งอ้างว่า ในวันครบกำหนดยื่นอุทธรณ์ ทนายโจทก์เพิ่งได้รับแต่งตั้งจากโจทก์ให้อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลอุทธรณ์แต่ทนายโจทก์ยังไม่ทราบรายละเอียดและข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะอุทธรณ์คำสั่งได้ เมื่อการยื่นอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นเพียงคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องในกรณีที่โจทก์ขอให้ไต่สวนมูลฟ้องใหม่ ยังมิได้เป็นการวินิจฉัยถึงเนื้อหาของคดี รูปคดีจึงมิได้มีความสลับซับซ้อนเป็นพิเศษ ถึงกับจะเป็นเหตุให้ทนายโจทก์ศึกษารายละเอียดและข้อเท็จจริงไม่ทัน ทนายโจทก์ก็ยอมรับมาในฎีกาว่าระยะเวลาที่จะทำอุทธรณ์เหลือเวลาอีกไม่ถึง 7 วัน แสดงว่าก่อนครบกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์ ทนายโจทก์ยังมีเวลาเพียงพอที่จะดำเนินการได้ ข้ออ้างของโจทก์ตามคำร้องยังถือไม่ได้ว่าเป็นพฤติการณ์พิเศษอันศาลจะขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4747/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายเวลาอุทธรณ์: เหตุผล 'ทนายเพิ่งได้รับมอบอำนาจ' ไม่ถือเป็นพฤติการณ์พิเศษ
โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์คำสั่งอ้างว่า ในวันครบกำหนดยื่นอุทธรณ์ ทนายโจทก์เพิ่งได้รับแต่งตั้งจากโจทก์ ให้อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลอุทธรณ์แต่ทนายโจทก์ยังไม่ทราบรายละเอียด และข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะอุทธรณ์คำสั่งได้เมื่อการยื่นอุทธรณ์ดังกล่าว เป็นเพียงคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องในกรณีที่โจทก์ขอให้ไต่สวนมูลฟ้องใหม่ ยังมิได้เป็นการวินิจฉัยถึงเนื้อหาของคดี รูปคดีจึงมิได้มีความสลับซับซ้อนเป็นพิเศษถึงกับจะเป็นเหตุให้ ทนายโจทก์ศึกษารายละเอียดและข้อเท็จจริงไม่ทัน ทนายโจทก์ ก็ยอมรับมาในฎีกาว่าระยะเวลาที่จะทำอุทธรณ์เหลือเวลาอีก ไม่ถึง 7 วัน แสดงว่าก่อนครบกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์ ทนายโจทก์ยังมีเวลาเพียงพอ ที่จะดำเนินการได้ ข้ออ้างของโจทก์ ตามคำร้องยังถือไม่ได้ว่าเป็นพฤติการณ์พิเศษอันศาลจะขยาย ระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4747/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายเวลาอุทธรณ์ต้องมีพฤติการณ์พิเศษ การอ้างทนายเพิ่งได้รับมอบหมายและเวลาไม่พอไม่ถือเป็นเหตุพิเศษ
โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์คำสั่งอ้างว่าในวันครบกำหนดยื่นอุทธรณ์ทนายโจทก์เพิ่งได้รับแต่งตั้งจากโจทก์ให้อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลอุทธรณ์แต่ทนายโจทก์ยังไม่ทราบรายละเอียดและข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะอุทธรณ์คำสั่งได้เมื่อการยื่นอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นเพียงคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องในกรณีที่โจทก์ขอให้ไต่สวนมูลฟ้องใหม่ยังมิได้เป็นการวินิจฉัยถึงเนื้อหาของคดีรูปคดีจึงมิได้มีความสลับซับซ้อนเป็นพิเศษถึงกับจะเป็นเหตุให้ทนายโจทก์ศึกษารายละเอียดและข้อเท็จจริงไม่ทันทนายโจทก์ก็ยอมรับมาในฎีกาว่าระยะเวลาที่จะทำอุทธรณ์เหลือเวลาอีกไม่ถึง7วันแสดงว่าก่อนครบกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์ทนายโจทก์ยังมีเวลาเพียงพอที่จะดำเนินการได้ข้ออ้างของโจทก์ตามคำร้องยังถือไม่ได้ว่าเป็นพฤติการณ์พิเศษอันศาลจะขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4476/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปลงหนี้จากซื้อขายหลักทรัพย์เป็นหนี้เงินกู้ และความสมบูรณ์ของสัญญา
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปตามสัญญากู้เงินต่อมาจำเลยได้นำเงินที่ได้จากการขายหุ้นเงินปันผลและเงินสดมาชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วนนับถึงวันที่11กันยายน2523จำเลยชำระเงินต้นให้โจทก์831,333บาท67สตางค์กับดอกเบี้ยอีก583,642บาท99สตางค์ซึ่งโจทก์ได้มีหนังสือถึงจำเลยให้ชำระเงินต้นส่วนที่เหลือพร้อมดอกเบี้ยตามเอกสารท้ายฟ้องอันเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องซึ่งได้ระบุยอดเงินต้นที่ค้างตรงตามฟ้องคำฟ้องของโจทก์จึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172พอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีและสามารถต่อสู้คดีได้แล้วส่วนข้อที่ว่ายอดเงินที่จำเลยชำระคืนบางส่วนเป็นเงินเท่าใดเป็นเงินอะไรและมีการชำระเงินเมื่อใดนั้นเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบต่อไปหาจำต้องบรรยายในคำฟ้องไม่จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์และได้ชำระเงินคืนบางส่วนแล้วจำเลยต้องรับผิดชำระหนี้ที่เหลือให้โจทก์จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กู้เงินโจทก์และไม่ได้รับเงินตามฟ้องดังนี้การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในคำพิพากษาโดยตั้งประเด็นพิพาทว่าจำเลยกู้เงินโจทก์หรือไม่และจะต้องรับผิดเพียงใดนั้นย่อมมีความหมายทำนองเดียวกับประเด็นเดิมที่ตั้งไว้ในชั้นพิจารณาที่ว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้เงินและรับเงินไปตามฟ้องหรือไม่จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องแต่อย่างใดและไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นหรือขยายประเด็นเดิม โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสัญญากู้เงินตามฟ้องมีมูลหนี้มาจากการซื้อขายหลักทรัพย์จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่จากหนี้ซื้อขายหลักทรัพย์มาเป็นหนี้เงินกู้เป็นการวินิจฉัยถึงที่มาแห่งการทำสัญญากู้เงินระหว่างโจทก์จำเลยจึงไม่ถือเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องแต่อย่างใด จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์เพื่อนำไปซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯจำเลยเป็นหนี้โจทก์3,500,000บาทเศษจำเลยจึงได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ดังนี้การทำสัญญากู้ยืมเงินระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นการแปลงหนี้ใหม่อันชอบด้วยกฎหมายจึงบังคับตามสัญญากู้ยืมเงินได้ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินต้น2,760,896.67บาทกับดอกเบี้ยอีก864,221.48บาทศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยให้จำเลยชำระเฉพาะเงินต้นอันเป็นหนี้ส่วนใหญ่ที่จำเลยค้างชำระดังนี้ที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงิน10,000บาทแทนโจทก์และศาลอุทธรณ์กำหนดค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์เป็นเงิน6,000บาทจึงเหมาะสมแล้ว.
of 104