พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,033 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4099/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            อายุความคดีหมิ่นประมาท: การโต้เถียงเรื่องวันที่รู้ความผิดและตัวผู้กระทำผิดเข้าข่ายปัญหาข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามอุทธรณ์
                        
                        ปัญหาว่าคดีขาดอายุความหรือไม่ในกรณีความผิดอันยอมความได้นั้นอาจเป็นได้ทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กล่าวคือ ถ้ายังโต้เถียงว่า ผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดเมื่อใด ย่อมเป็นปัญหาข้อเท็จจริง หากข้อเท็จจริงที่ได้ความยุติแล้วว่า ผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดตั้งแต่เมื่อใด และคู่ความโต้เถียงกันเพียงว่าอายุความเริ่มนับแต่เมื่อใดแล้วย่อมเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและตัวผู้กระทำผิดตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2526 แต่ร้องทุกข์เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2527 ซึ่งเป็นเวลาเกิน 3 เดือน นับแต่ผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดคดี จึงเป็นอันขาดอายุความ อันเป็นการยกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499มาตรา 22 ประกอบพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3 โจทก์อุทธรณ์ว่า ผู้เสียหายเพิ่งจะรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดคดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ อันเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟังมาเพื่อจะนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์ยกขึ้นอ้างเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์และศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ ย่อมไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดตั้งแต่เมื่อใด เป็นอันยุติไปตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นแล้วโจทก์ไม่มีสิทธิฎีกา
                                    โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและตัวผู้กระทำผิดตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2526 แต่ร้องทุกข์เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2527 ซึ่งเป็นเวลาเกิน 3 เดือน นับแต่ผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดคดี จึงเป็นอันขาดอายุความ อันเป็นการยกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499มาตรา 22 ประกอบพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3 โจทก์อุทธรณ์ว่า ผู้เสียหายเพิ่งจะรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดคดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ อันเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟังมาเพื่อจะนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์ยกขึ้นอ้างเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์และศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ ย่อมไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดตั้งแต่เมื่อใด เป็นอันยุติไปตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นแล้วโจทก์ไม่มีสิทธิฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4054/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            ความผิดฐานฉ้อโกงหลายกรรมต่างกัน การกระทำแต่ละครั้งเป็นความผิดสำเร็จ
                        
                        คดีฉ้อโกงโจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงการกระทำของจำเลยในการหลอกลวงบริษัทผู้เสียหายและได้รับสินค้าจากผู้เสียหายไปในแต่ละวันหรือแต่ละครั้งรวม 48 ครั้งไว้ชัดแจ้ง จำเลยให้การรับสารภาพ การกระทำของจำเลยแต่ละครั้งจึงเป็นความผิดสำเร็จ เมื่อผู้เสียหายส่งมอบสินค้าให้แก่จำเลยโดยหลงเชื่อคำหลอกลวงของจำเลยแต่ละครั้งไป จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4054/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            ความผิดฐานฉ้อโกงหลายกรรมต่างกัน การเรียงกระทงลงโทษ และการรับสารภาพ
                        
                        คดีฉ้อโกง โจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงการกระทำของจำเลยในการหลอกลวงบริษัทผู้เสียหายและได้รับสินค้าจากผู้เสียหายไปในแต่ละวันหรือแต่ละครั้งรวม 48 ครั้งไว้ชัดแจ้ง จำเลยให้การรับสารภาพ การกระทำของจำเลยแต่ละครั้งจึงเป็นความผิดสำเร็จเมื่อผู้เสียหายส่งมอบสินค้าให้แก่จำเลยโดยหลงเชื่อคำหลอกลวงของจำเลยแต่ละครั้งไป จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4054/2529
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            ความผิดฐานฉ้อโกงหลายกรรมต่างกัน การบรรยายฟ้องและคำรับสารภาพ
                        
                        คดีฉ้อโกงโจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงการกระทำของจำเลยในการหลอกลวงบริษัทผู้เสียหายและได้รับสินค้าจากผู้เสียหายไปในแต่ละวันหรือแต่ละครั้งรวม48ครั้งไว้ชัดแจ้งจำเลยให้การรับสารภาพการกระทำของจำเลยแต่ละครั้งจึงเป็นความผิดสำเร็จเมื่อผู้เสียหายส่งมอบสินค้าให้แก่จำเลยโดยหลงเชื่อคำหลอกลวงของจำเลยแต่ละครั้งไปจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน.
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3990/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            สิทธิเสนอเรื่องราวร้องทุกข์, ความชัดเจนของฟ้อง, และอำนาจฟ้องคดีควบคู่กับการใช้สิทธิร้องทุกข์
                        
                        ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2515 มิได้บัญญัติเกี่ยวกับสิทธิของบุคคลที่จะเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ จึงไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 42 ซึ่งบัญญัติว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ ภายในเงื่อนไขและวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ"
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อปี พ.ศ. 2525 ถึงวันที่ 25 กันยายน 2527 เวลากลางวันและกลางคืนติดต่อกัน จำเลยกระทำการอันเป็นความผิด ถือว่าฟ้องโจทก์มีรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาเกิดเหตุ พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วจำเลยจึงให้การรับสารภาพ ฟ้องโจทก์หาเคลือบคลุมไม่
ไม่มีบทกฎหมายใดที่บัญญัติว่าพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการไม่มีอำนาจสอบสวนและฟ้องคดีด้วยเหตุที่จำเลยยังทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกาอยู่ ทั้งจำเลยก็ได้ให้การรับสารภาพตามฟ้องซึ่งรวมตลอดถึงว่าคดีมีการสอบสวนโดยชอบแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องคดี
                                    โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อปี พ.ศ. 2525 ถึงวันที่ 25 กันยายน 2527 เวลากลางวันและกลางคืนติดต่อกัน จำเลยกระทำการอันเป็นความผิด ถือว่าฟ้องโจทก์มีรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาเกิดเหตุ พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วจำเลยจึงให้การรับสารภาพ ฟ้องโจทก์หาเคลือบคลุมไม่
ไม่มีบทกฎหมายใดที่บัญญัติว่าพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการไม่มีอำนาจสอบสวนและฟ้องคดีด้วยเหตุที่จำเลยยังทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกาอยู่ ทั้งจำเลยก็ได้ให้การรับสารภาพตามฟ้องซึ่งรวมตลอดถึงว่าคดีมีการสอบสวนโดยชอบแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3990/2529
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            การพิพากษาคดีบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์ โดยศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม แม้จำเลยอ้างสิทธิร้องทุกข์
                        
                        ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่96ลงวันที่29กุมภาพันธ์2515มิได้บัญญัติเกี่ยวกับสิทธิของบุคคลที่จะเสนอเรื่องราวร้องทุกข์จึงไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา42ซึ่งบัญญัติว่า'บุคคลย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ภายในเงื่อนไขและวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ'    โจทก์บรรยายฟ้องว่าเมือปีพ.ศ.2525ถึงวันที่25กันยายน2527เวลากลางวันและกลางคืนติดต่อกันจำเลยกระทำการอันเป็นความผิดถือว่าฟ้องโจทก์มีรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาเกิดเหตุพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วจำเลยจึงให้การรับสารภาพฟ้องโจทก์หาเคลือบคลุมไม่    ไม่มีบทกฎหมายใดที่บัญญัติว่าพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการไม่มีอำนาจสอบสวนและฟ้องคดีด้วยเหตุที่จำเลยยังทูลเกล้าฯถวายฎีกาอยู่ทั้งจำเลยก็ได้ให้การรับสารภาพตามฟ้องซึ่งรวมตลอดถึงว่าคดีมีการสอบสวนโดยชอบแล้วโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องคดี.
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3990/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            การพิพากษาคดีบุกรุกที่ดินสาธารณะ โดยศาลฎีกาตัดสินว่าการที่จำเลยอ้างสิทธิร้องทุกข์ยังไม่กระทบอำนาจฟ้องของโจทก์
                        
                        ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2515 มิได้บัญญัติเกี่ยวกับสิทธิของบุคคลที่จะเสนอเรื่องราวร้องทุกข์จึงไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 42 ซึ่งบัญญัติว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ ภายในเงื่อนไขและวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ"
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อปี พ.ศ. 2525 ถึงวันที่ 25 กันยายน 2527เวลากลางวันและกลางคืนติดต่อกัน จำเลยกระทำการอันเป็นความผิดถือว่าฟ้องโจทก์มีรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาเกิดเหตุ พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วจำเลยจึงให้การรับสารภาพ ฟ้องโจทก์หาเคลือบคลุมไม่
ไม่มีบทกฎหมายใดที่บัญญัติว่าพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการไม่มีอำนาจสอบสวนและฟ้องคดีด้วยเหตุที่จำเลยยังทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาอยู่ ทั้งจำเลยก็ได้ให้การรับสารภาพตามฟ้องซึ่งรวมตลอดถึงว่าคดีมีการสอบสวนโดยชอบแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องคดี
                                    โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อปี พ.ศ. 2525 ถึงวันที่ 25 กันยายน 2527เวลากลางวันและกลางคืนติดต่อกัน จำเลยกระทำการอันเป็นความผิดถือว่าฟ้องโจทก์มีรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาเกิดเหตุ พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วจำเลยจึงให้การรับสารภาพ ฟ้องโจทก์หาเคลือบคลุมไม่
ไม่มีบทกฎหมายใดที่บัญญัติว่าพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการไม่มีอำนาจสอบสวนและฟ้องคดีด้วยเหตุที่จำเลยยังทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาอยู่ ทั้งจำเลยก็ได้ให้การรับสารภาพตามฟ้องซึ่งรวมตลอดถึงว่าคดีมีการสอบสวนโดยชอบแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3957/2529
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            การแสดงความเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกจ้างในการประเมินผลงาน ไม่ถึงขั้นหมิ่นประมาท
                        
                        จำเลยกล่าวต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ว่าก่อนมีการประชุมคณะกรรมการพนักงานของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นนายจ้างของโจทก์จำเลยโจทก์เข้าไปพบจำเลยซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโจทก์ในขณะนั้นโจทก์ได้ต่อว่าจำเลยเรื่องการประเมินผลงานเพื่อเลื่อนขั้นเงินเดือนมีการโต้เถียงกันและโจทก์แสดงกิริยาไม่เหมาะสมโดยยืนเท้าโต๊ะทำกิริยาเหมือนขู่ตะคอกและเหมือนกับจะทำร้ายจำเลยนั้นแม้จะรับฟังว่าจำเลยกล่าวข้อความต่อคณะกรรมการดังกล่าวก็ตามก็เป็นแต่เพียงทำให้เห็นว่าโจทก์บันดาลโทสะที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากจำเลยในการพิจารณาเสนอเลื่อนขั้นเงินเดือนโจทก์จึงเข้าไปต่อว่าจำเลยซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาแสดงว่าโจทก์เพียงโกรธจำเลยที่ไม่ให้ความเป็นธรรมและแสดงกิริยาไม่เหมาะสมต่อจำเลยไปบ้างซึ่งบุคคลทั่วไปอาจเป็นเช่นโจทก์ได้ในภาวะเช่นนั้นหาจำเป็นต้องเป็นคนเลวร้ายแต่อย่างใดไม่ข้อความดังกล่าวย่อมถือไม่ได้ว่าทำให้โจทก์ต้องเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังอันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์.
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3957/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            การแสดงความเห็นถึงพฤติกรรมของลูกจ้างในที่ประชุม ไม่ถือเป็นการหมิ่นประมาทหากเป็นความเห็นได้
                        
                        จำเลยกล่าวต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ว่า ก่อนมีการประชุมคณะกรรมการพนักงานของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นนายจ้างของโจทก์จำเลยโจทก์เข้าไปพบจำเลยซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา โจทก์ในขณะนั้น โจทก์ได้ต่อว่าจำเลยเรื่องการประเมินผลงานเพื่อ เลื่อนขั้นเงินเดือนมีการโต้เถียงกันและโจทก์แสดงกิริยาไม่เหมาะสม โดยยืนเท้าโต๊ะทำกิริยาเหมือนขู่ตะคอกและเหมือนกับจะทำร้ายจำเลยนั้น แม้จะรับฟังว่าจำเลยกล่าวข้อความต่อคณะกรรมการดังกล่าวก็ตาม ก็เป็นแต่เพียงทำให้เห็นว่าโจทก์บันดาลโทสะที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากจำเลยในการพิจารณาเสนอเลื่อนขั้นเงินเดือน โจทก์จึงเข้าไปต่อว่า จำเลยซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา แสดงว่าโจทก์เพียงโกรธจำเลยที่ไม่ให้  ความเป็นธรรมและแสดงกิริยาไม่เหมาะสมต่อจำเลยไปบ้าง ซึ่งบุคคลทั่วไป อาจเป็นเช่นโจทก์ได้ในภาวะเช่นนั้น หาจำเป็นต้องเป็นคนเลวร้าย แต่อย่างใดไม่ ข้อความดังกล่าวย่อมถือไม่ได้ว่าทำให้โจทก์ต้องเสียชื่อเสียง  ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังอันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3957/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            การแสดงความเห็นถึงพฤติกรรมของลูกจ้างในการโต้เถียงเรื่องการประเมินผลงาน ไม่เป็นหมิ่นประมาท
                        
                        จำเลยกล่าวต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ว่า ก่อนมีการประชุมคณะกรรมการพนักงานของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นนายจ้างของโจทก์จำเลย โจทก์เข้าไปพบจำเลยซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโจทก์ในขณะนั้น โจทก์ได้ต่อว่าจำเลยเรื่องการประเมินผลงานเพื่อเลื่อนขั้นเงินเดือนมีการโต้เถียงกันและโจทก์แสดงกิริยาไม่เหมาะสมโดยยืนเท้าโต๊ะทำกิริยาเหมือนขู่ตะคอกและเหมือนกับจะทำร้ายจำเลยนั้น แม้จะรับฟังว่าจำเลยกล่าวข้อความต่อคณะกรรมการดังกล่าวก็ตาม ก็เป็นแต่เพียงทำให้เห็นว่าโจทก์บันดาลโทสะที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากจำเลยในการพิจารณาเสนอเลื่อนขั้นเงินเดือน โจทก์จึงเข้าไปต่อว่าจำเลยซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา แสดงว่าโจทก์เพียงโกรธจำเลยที่ไม่ให้ความเป็นธรรมและแสดงกิริยาไม่เหมาะสมต่อจำเลยไปบ้าง ซึ่งบุคคลทั่วไปอาจเป็นเช่นโจทก์ได้ในภาวะเช่นนั้น หาจำเป็นต้องเป็นคนเลวร้ายแต่อย่างใดไม่ ข้อความดังกล่าวย่อมถือไม่ได้ว่าทำให้โจทก์ต้องเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังอันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์