พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,033 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 562/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตู้ทีวีเกมเข้าข่ายเครื่องเล่นพนัน แม้ไม่มีการเดิมพันโดยตรง ผู้ควบคุมมีความผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน
ตู้ทีวีเกมของกลางมีจอภาพใช้ไฟฟ้าในการเล่น ผู้เล่นบางตู้ใช้เครื่องยิงให้ถูกเป้า หากยิงถูกเป้าเครื่องหมายคะแนนจะขึ้นไป บางตู้ผู้เล่นต้องบังคับพวงมาลัยให้แล่นไปตามถนนโดยไม่ให้ชนเครื่องกีดขวาง เครื่องจะบอกคะแนนไปเรื่อย ๆ จนจบเกม ถือได้ว่าตู้ทีวีเกมของกลางเป็นเครื่องเล่นซึ่งใช้ไฟฟ้าโดยมีการนับแต้ม เข้าลักษณะเครื่องเล่นซึ่งต้องห้ามมิให้เข้าเล่น เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตามบัญชี ข. อันดับที่ 28 ท้ายพระราชบัญญัติการพนันพุทธศักราช 2478 จำเลยเป็นผู้ควบคุมการเล่นตู้ทีวีเกมและรับแลกเงินจากผู้เล่นที่ใช้หยอดในตู้ทีวีเกมของกลางก่อนลงมือเล่น ถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้จัดให้มีการเล่นเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน เมื่อจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจำเลยย่อมมีความผิด โดยผู้เล่นไม่ต้องเล่นพนันเอาทรัพย์สินกันแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 562/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตู้ทีวีเกมเข้าข่ายเครื่องเล่นพนันต้องได้รับอนุญาต การควบคุมและรับเงินจากผู้เล่นถือเป็นผู้จัดให้มีการพนัน
ตู้ทีวีเกมของกลางมีจอภาพใช้ไฟ้ฟ้าในการเล่นผู้เล่นบางตู้ใช้เครื่องยิงให้ถูกเป้าหากยิงถูกเป้าเครื่องหมายคะแนนจะขึ้นไปบางตู้ผู้เล่นต้องบังคับพวงมาลัยให้แล่นไปตามถนนโดยไม่ให้ชนเครื่องกีดขวางเครื่องจะบอกคะแนนไปเรื่อยๆจนจบเกมถือได้ว่าตู้ทีวีเกมของกลางเป็นเครื่องเล่นซึ่งใช้ไฟฟ้าโดยมีการนับแต้มเข้าลักษณะเครื่องเล่นซึ่งต้องห้ามมิให้เข้าเล่นเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตามบัญชีข.อันดับที่28ท้ายพระราชบัญญัติการพนันพุทธศักราช2478จำเลยเป็นผู้ควบคุมการเล่นตู้ทีวีเกมและรับแลกเงินจากผู้เล่นที่ใช้หยอดในตู้ทีวีเกมของกลางก่อนลงมือเล่นถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้จัดให้มีการเล่นเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตนเมื่อจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจำเลยย่อมมีความผิดโดยผู้เล่นไม่ต้องเล่นพนันเอาทรัพย์สินกันแต่อย่างใด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 523/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานออกเช็คโดยไม่มีเงินในบัญชี ต้องพิสูจน์ว่าไม่มีเงินในวันออกเช็ค
การกระทำที่จะเป็นความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯจะต้องได้ความว่าจำเลยไม่มีเงินอยู่ในบัญชีเพียงพอจ่ายตามเช็คของตนในวันออกเช็คด้วยแม้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องก็ต้องนำสืบให้ปรากฏถึงข้อเท็จจริงเช่นว่านั้นเมื่อโจทก์มิได้นำสืบคดีโจทก์ไม่มีมูล.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 523/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์เจตนาออกเช็คโดยไม่มีเงินในบัญชีเป็นองค์ประกอบสำคัญของความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497มาตรา3(1)บัญญัติว่า'ออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น'และข้อความในตอนท้ายของมาตราดังกล่าวที่บัญญัติว่า'ถ้าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้นมีความผิด.......ฯลฯ........'เป็นองค์ประกอบที่ทำให้การกระทำผิดเกิดขึ้นสำเร็จจะขาดองค์ประกอบข้อใดข้อหนึ่งมิได้การกระทำที่จะเป็นความผิดดังกล่าวจะต้องได้ความว่าจำเลยไม่มีเงินอยู่ในบัญชีเพียงพอที่จะจ่ายตามเช็คของตนในวันออกเช็คฉะนั้นหากมีการเรียกเก็บเงินตามเช็คหลังจากวันที่เช็คถึงกำหนดโจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ความว่าในวันออกเช็คจำเลยไม่มีเงินในบัญชีธนาคารพอจ่ายตามเช็คคดีนี้เมื่อโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าในวันออกเช็คจำเลยมีเงินในบัญชีพอที่จะจ่ายตามเช็คนั้นได้หรือไม่ข้อนำสืบของโจทก์จึงขาดสาระสำคัญที่จะแสดงให้เห็นว่าคดีโจทก์มีมูลความผิดตามฟ้องแม้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ก็ต้องนำสืบให้ปรากฏถึงข้อเท็จจริงเช่นว่านั้นด้วยเมื่อโจทก์มิได้นำสืบคดีโจทก์ก็ไม่มีมูล.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 523/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์เจตนาออกเช็คโดยไม่มีเงินในบัญชีเป็นสาระสำคัญของการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3(1) บัญญัติว่า 'ออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น' และข้อความในตอนท้ายของมาตราดังกล่าวที่บัญญัติว่า 'ถ้าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น มีความผิด .......ฯลฯ........' เป็นองค์ประกอบที่ทำให้การกระทำผิดเกิดขึ้นสำเร็จ จะขาดองค์ประกอบข้อใดข้อหนึ่งมิได้ การกระทำที่จะเป็นความผิดดังกล่าวจะต้องได้ความว่า จำเลยไม่มีเงินอยู่ในบัญชีเพียงพอที่จะจ่ายตามเช็คของตนในวันออกเช็ค ฉะนั้นหากมีการเรียกเก็บเงินตามเช็คหลังจากวันที่เช็คถึงกำหนดโจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ความว่าในวันออกเช็คจำเลยไม่มีเงินในบัญชีธนาคารพอจ่ายตามเช็ค คดีนี้เมื่อโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าในวันออกเช็ค จำเลยมีเงินในบัญชีพอที่จะจ่ายตามเช็คนั้นได้หรือไม่ ข้อนำสืบของโจทก์จึงขาดสาระสำคัญที่จะแสดงให้เห็นว่าคดีโจทก์มีมูลความผิดตามฟ้อง แม้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ก็ต้องนำสืบให้ปรากฏถึงข้อเท็จจริงเช่นว่านั้นด้วยเมื่อโจทก์มิได้นำสืบ คดีโจทก์ก็ไม่มีมูล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 505/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลอุทธรณ์ไม่พิจารณาอุทธรณ์จำเลยครบถ้วน ศาลฎีกาย้อนสำนวนเพื่อให้ถูกต้องตามกระบวนการ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยไม่เต็มตามฟ้อง โจทก์จำเลยต่างอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น แต่ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาเฉพาะอุทธรณ์ของโจทก์เพียงฝ่ายเดียวมิได้พิจารณาพิพากษาอุทธรณ์ของจำเลยซึ่งไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณาและเพื่อให้การวินิจฉัยความผิดของจำเลยเป็นตามลำดับศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208(2), 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 505/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาอุทธรณ์ไม่ครบถ้วน ศาลฎีกาย้อนสำนวนเพื่อให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยตามกระบวนการ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยไม่เต็มตามฟ้องโจทก์จำเลยต่างอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นแต่ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาเฉพาะอุทธรณ์ของโจทก์เพียงฝ่ายเดียวมิได้พิจารณาพิพากษาอุทธรณ์ของจำเลยซึ่งไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณาและเพื่อให้การวินิจฉัยความผิดของจำเลยเป็นตามลำดับศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา208(2),225.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 363/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้เอกสารปลอมและการขอโทษที่ไม่ครบถ้วนตามกฎหมายอาญามาตรา 268 และ 265
การใช้เอกสารปลอมเป็นการกระทำอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา268ฐานหนึ่งแม้มาตรา268จะบัญญัติว่าผู้ใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำผิดตามมาตรา264,265ฯลฯต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆก็ตามก็มิใช่จะถือว่าความผิดดังกล่าวเป็นความผิดฐานเดียวกันกับความผดนั้นๆฉะนั้นเมื่อโจทก์บรรยายการกระทำผิดในข้อหานี้มาในคำฟ้องแต่คำขอท้ายฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา264,265มิได้ระบุมาตรา268ด้วยจะถือว่าโจทก์ได้ขอให้ลงโทษในข้อหาใช้ป้ายวงกลมแสดงการชำระภาษีรถยนต์และแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ปลอมแล้วหาได้ไม่จำเลยมิได้เป็นผู้ทำปลอมแต่เป็นผู้ใช้ป้ายและแผ่นป้ายดังกล่าวปลอมซึ่งโจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจึงต้องยกฟ้องข้อหานี้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 363/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้เอกสารปลอม แม้บรรยายฟ้องถูกต้อง แต่คำขอท้ายฟ้องไม่ระบุมาตราที่ใช้ลงโทษ ศาลยกฟ้องได้
การใช้เอกสารปลอมเป็นการกระทำอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ฐานหนึ่ง แม้มาตรา 268 จะบัญญัติว่า ผู้ใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำผิดตามมาตรา 264, 265 ฯลฯ ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ ก็ตาม ก็มิใช่จะถือว่าความผิดดังกล่าวเป็นความผิดฐานเดียวกันกับความผดนั้น ๆ ฉะนั้นเมื่อโจทก์บรรยายการกระทำผิดในข้อหานี้มาในคำฟ้อง แต่คำขอท้ายฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265 มิได้ระบุมาตรา 268 ด้วย จะถือว่าโจทก์ได้ขอให้ลงโทษในข้อหาใช้ป้ายวงกลมแสดงการชำระภาษีรถยนต์และแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ปลอมแล้วหาได้ไม่ จำเลยมิได้เป็นผู้ทำปลอม แต่เป็นผู้ใช้ป้ายและแผ่นป้ายดังกล่าวปลอม ซึ่งโจทก์มิได้ขอให้ลงโทษ จึงต้องยกฟ้องข้อหานี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 313/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวการร่วมทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส แม้ไม่มีเจตนาต้องรับผิดในผลที่เกิดขึ้น
ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา297เป็นเหตุที่ทำให้ผู้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามมาตรา295ต้องรับโทษหนักขึ้นเพราะผลที่เกิดจากการกระทำโดยที่ผู้กระทำไม่จำต้องมีเจตนาต่อผลที่ทำให้ต้องรับโทษหนักขึ้นตัวการที่ร่วมทำร้ายผู้อื่นแม้จะไม่มีเจตนาให้ผู้นั้นได้รับอันตรายสาหัสหรือมิได้เป็นผู้ลงมือกระทำให้เกิดผลขึ้นก็ต้องรับผิดในผลนั้นด้วยในระหว่างที่จำเลยทั้งสามรุมชกต่อยผู้เสียหายจำเลยที่1ใช้มีดคัดเตอร์กรีดใบหน้าผู้เสียหายเป็นแผลเสียโฉมติดตัวจำเลยที่2และที่3ต้องมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมทำร้ายจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา297(4)ด้วยแต่ศาลลงโทษน้อยกว่าจำเลยที่1ผู้เป็นต้นเหตุ. (ประชุมใหญ่ครั้งที่12/2528)