พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,033 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 775/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าโดยบันดาลโทสะและการทำร้ายร่างกาย: ศาลฎีกาพิพากษาแก้โทษจำเลยที่ 1 ฐานฆ่าโดยบันดาลโทสะ และยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นสำหรับจำเลยที่ 2
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันฆ่าผู้ตาย ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 ใช้ไม้ตีผู้ตายได้รับบาดเจ็บแต่ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตาย พิพากษาว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295ดังนี้ เป็นเรื่องเฉพาะตัวจำเลยที่ 2 หาใช่เหตุลักษณะคดีไม่ เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 2 ไม่อุทธรณ์ คดีเฉพาะจำเลยที่ 2 จึงต้องบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ผู้ตายทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภรรยามิได้จดทะเบียนสมรสของจำเลยที่ 1 แล้วใช้ขวานฟันจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 แย่งขวานได้ก็เหวี่ยงทิ้ง ผู้ตายยังติดตามจะทำร้ายจำเลยทั้งสองซ้ำอีก ดังนี้ การกระทำของผู้ตายจึงเป็นการข่มเหงจำเลยทั้งสองอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม จำเลยที่ 1 ยิงและตีผู้ตายผู้ข่มเหงในขณะนั้น เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ หาใช่เพื่อป้องกันไม่ศาลฎีการับฟังลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้ตายโดยบันดาลโทสะตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 465/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คนกลางเรียกค่าไถ่: แม้ไม่ร่วมจับกุม แต่มีความสัมพันธ์กับคนร้าย ศาลลงโทษตามมาตรา 315
คนร้ายจับผู้เสียหายไปเรียกค่าไถ่ พี่ผู้เสียหายออกตามพบจำเลยซึ่งเรียกให้รถหยุดแล้วจำเลยเป็นผู้ต่อรองค่าไถ่ด้วยตนเอง ลดจำนวนค่าไถ่ลง เมื่อได้ค่าไถ่แล้ว จำเลยก็สามารถจัดการให้คนร้ายปล่อยผู้เสียหาย แสดงว่าจำเลยมีความสัมพันธ์กับคนร้ายเป็นอย่างดี เข้าลักษณะกระทำการเป็นคนกลางเรียกทรัพย์สินมิควรได้จากผู้ที่จะให้ค่าไถ่ อันเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 315
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313,314 แต่การเรียกค่าไถ่เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำที่โจทก์กล่าวหาจำเลยมาในฟ้อง ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยตามมาตรา 315 ตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
จำเลยจัดให้ผู้เสียหายได้รับเสรีภาพกลับคืนมาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาโดยผู้เสียหายมิได้รับอันตรายสาหัสหรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต ชอบที่จะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดกึ่งหนึ่งตาม มาตรา 316
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313,314 แต่การเรียกค่าไถ่เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำที่โจทก์กล่าวหาจำเลยมาในฟ้อง ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยตามมาตรา 315 ตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
จำเลยจัดให้ผู้เสียหายได้รับเสรีภาพกลับคืนมาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาโดยผู้เสียหายมิได้รับอันตรายสาหัสหรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต ชอบที่จะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดกึ่งหนึ่งตาม มาตรา 316
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 370/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อนในคดีอาญา: พฤติการณ์ดักซุ่มและเตรียมอาวุธบ่งชี้เจตนา
จำเลยมีปากเสียงชกต่อย ค. ด้วยสาเหตุปักใจเชื่อว่าค. เป็นคนร้ายฆ่าบิดาตน จำเลยสู้ไม่ได้และกลับไปก่อน ต่อมาอีก 30 นาที ค. ขี่รถจักรยานกลับบ้านมี ป. นั่งซ้อนท้ายไปด้วย จำเลยดักซุ่มอยู่ในป่าข้างทางใช้ปืนแก๊ปยาวที่ถือติดมือมายิง ค. แต่กระสุนปืนพลาดไปถูก ป. ตาย ดังนี้ เป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ประกอบด้วยมาตรา 60
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 333/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกลุ้มรุมทำร้ายร่างกายและการลักทรัพย์โดยฉวยโอกาส ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีเจตนาปล้นทรัพย์
ผู้เสียหายขี่รถจักรยานสองล้อจะกลับบ้าน ระหว่างทางจำเลยทั้งสองกับพวกขี่รถจักรยานยนต์ตามมาทันแล้วกลุ้มรุมทำร้ายการที่ ต. พวกจำเลยล้วงเอาเงินจากกระเป๋ากางเกงผู้เสียหายในขณะถูกกลุ้มรุมทำร้ายเป็นการฉวยโอกาสของ ต. ในขณะนั้นเองจะฟังว่าจำเลยร่วมรู้เห็นเป็นใจด้วยไม่ได้จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานปล้นทรัพย์คงผิดฐานทำร้ายร่างกายเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 331/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์จากการไถนาพิพาท แม้มีการโต้แย้งกรรมสิทธิ์
โจทก์จำเลยต่างโต้เถียงกรรมสิทธิ์นาพิพาทกันอยู่ เมื่อโจทก์ปลูกต้นข้าวในนาพิพาท จำเลยเสียหายอย่างไรชอบที่จะฟ้องร้องว่ากล่าวกัน การที่จำเลยกลับเข้าไถนาพิพาทเป็นเหตุให้ข้าวที่โจทก์ปลูกไว้ก่อนเสียหาย การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ และต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 318/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่แจ้งคำสั่งศาลเพิกถอนการรับคำให้การ ทำให้จำเลยไม่ทราบและไม่อาจคัดค้านได้ ถือไม่ได้ว่าให้สัตยาบัน
ศาลชั้นต้นสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิมที่สั่งรับคำให้การจำเลยที่ 2 ไว้ แล้วสั่งใหม่เป็นว่า ไม่รับคำให้การ จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การแต่ศาลชั้นต้นไม่ได้แจ้งคำสั่งดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ทราบ ทั้งพฤติการณ์ที่ปรากฏในสำนวนก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้ทราบถึงคำสั่งดังกล่าว จำเลยที่ 2 จึงไม่อาจยกขึ้นคัดค้านได้ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ที่ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์ต่อมาถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ให้สัตยาบันในคำสั่งของศาลชั้นต้นนั้นแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 155/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหมายเรียก/คำบังคับผิดสถานที่ทำให้จำเลยไม่ทราบคดี ศาลอนุญาตให้ยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่ได้
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อ้างว่าจำเลยอยู่บ้านเลขที่ 155 แฟลตหลังที่ 21 ในการส่งหมายเรียกสำเนาคำฟ้อง และคำบังคับ เจ้าพนักงานศาลปิดไว้ที่บ้านซึ่งไม่ใช่บ้านของจำเลยทุกครั้ง จำเลยจึงไม่ทราบว่าถูกฟ้อง ปรากฏว่าในการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องหมายนัดแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ และคำบังคับเจ้าพนักงานศาลปิดไว้ที่บ้านเลขที่ 155 ชั้น 4 แฟลตหลังที่ 33 ทุกครั้ง และในการไปส่งหมายที่บ้านดังกล่าว เจ้าพนักงานศาลไม่เคยพบจำเลยในบ้านนั้น และสอบถามบ้านข้างเคียงก็ไม่มีใครรู้จักจำเลย ดังนี้ หากได้ความตามคำร้องของจำเลยย่อมถือไม่ได้ว่าส่งคำบังคับให้จำเลยโดยชอบ เมื่อไม่มีการส่งคำบังคับโดยชอบ จำเลยย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่เมื่อใดก็ได้ ไม่อยู่ในบังคับของมาตรา208 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แม้จำเลยจะมิได้ยกปัญหาว่าการส่งคำบังคับเป็นไปโดยไม่ชอบศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ เพราะเป็นกรณีที่เกี่ยวกับการที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 155/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหมายที่ผิดสถานที่ทำให้จำเลยไม่ทราบคดี ศาลอนุญาตให้ยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่ได้
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อ้างว่าจำเลยอยู่บ้านเลขที่ 155 แฟลตหลังที่ 21 ในการส่งหมายเรียก สำเนาคำฟ้อง และคำบังคับ เจ้าพนักงานศาลปิดไว้ที่บ้านซึ่งไม่ใช่บ้านของจำเลยทุกครั้ง จำเลยจึงไม่ทราบว่าถูกฟ้อง ปรากฏว่าในการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้อง หมายนัดแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ และคำบังคับเจ้าพนักงานศาลปิดไว้ที่บ้านเลขที่ 155 ชั้น 4 แฟลตหลังที่ 33 ทุกครั้ง และในการไปส่งหมายที่บ้านดังกล่าว เจ้าพนักงานศาลไม่เคยพบจำเลยในบ้านนั้น และสอบถามบ้านข้างเคียงก็ไม่มีใครรู้จักจำเลย ดังนี้ หากได้ความตามคำร้องของจำเลย ย่อมถือไม่ได้ว่าส่งคำบังคับให้จำเลยโดยชอบ เมื่อไม่มีการส่งคำบังคับโดยชอบ จำเลยย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่เมื่อใดก็ได้ ไม่อยู่ในบังคับของมาตรา208 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
แม้จำเลยจะมิได้ยกปัญหาว่าการส่งคำบังคับเป็นไปโดยไม่ชอบศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ เพราะเป็นกรณีที่เกี่ยวกับการที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม
แม้จำเลยจะมิได้ยกปัญหาว่าการส่งคำบังคับเป็นไปโดยไม่ชอบศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ เพราะเป็นกรณีที่เกี่ยวกับการที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 152/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานะภริยาตามกฎหมาย, การจัดการมรดก, และการแบ่งสินสมรสสำหรับคู่สมรสที่สมรสก่อน พ.ร.บ. 2477
กฎหมายลักษณะผัวเมียและ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไม่ได้บัญญัติว่า เมื่อสามีละทิ้งภริยาเพียงอย่างเดียวเป็นเหตุให้ขาดจากการสมรส ฉะนั้นเมื่อ พ. กับโจทก์เป็นสามีภริยากันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ต่อมา พ. ละทิ้งร้างโจทก์ไปหลายปีแล้วกลับมาอยู่กินฉันสามีภริยากันอีกหลังจากประกาศใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 โดยมิได้จดทะเบียนสมรสกันก็ตาม ก็ต้องถือว่า พ. และโจทก์เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายในขณะที่ พ. ถึงแก่กรรมเมื่อพ.ศ.2514
โจทก์ในฐานะทายาทฟ้องเรียกทรัพย์มรดกจากจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดก โดยที่ผู้จัดการมรดกเป็นตัวแทนของทายาททั้งปวง และถือว่าครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาท ทายาทไม่จำต้องเข้าครอบครองทรัพย์มรดก จำเลยจะยกอายุความ 1 ปีตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 ขึ้นต่อสู้โจทก์ไม่ได้
การแบ่งสินสมรสระหว่างสามีภริยาซึ่งสมรสกันก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ต้องแบ่งตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย บทที่ 68 ซึ่งบัญญัติว่าถ้าชายมีสินเดิมฝ่ายเดียว หญิงไม่มีสินเดิม ชายได้สินสมรสทั้งหมด หญิงไม่มีส่วนได้เลย
โจทก์ในฐานะทายาทฟ้องเรียกทรัพย์มรดกจากจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดก โดยที่ผู้จัดการมรดกเป็นตัวแทนของทายาททั้งปวง และถือว่าครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาท ทายาทไม่จำต้องเข้าครอบครองทรัพย์มรดก จำเลยจะยกอายุความ 1 ปีตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 ขึ้นต่อสู้โจทก์ไม่ได้
การแบ่งสินสมรสระหว่างสามีภริยาซึ่งสมรสกันก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ต้องแบ่งตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย บทที่ 68 ซึ่งบัญญัติว่าถ้าชายมีสินเดิมฝ่ายเดียว หญิงไม่มีสินเดิม ชายได้สินสมรสทั้งหมด หญิงไม่มีส่วนได้เลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 121/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของพินัยกรรม การเพิกถอนพินัยกรรมฉบับก่อนด้วยพินัยกรรมฉบับหลัง และการแต่งตั้งผู้จัดการมรดก
ผู้ตายได้ทำพินัยกรรมไว้มีข้อความและลักษณะครบถ้วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1656 และ มาตรา 1671ทุกประการ เป็นแต่ ป. ผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้เขียนและพยานในพินัยกรรมจะเป็นผู้รับทรัพย์ตามพินัยกรรมไม่ได้เท่านั้นเพราะเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 1653 และ มาตรา 1705 ส่วนข้อกำหนดพินัยกรรมในส่วนอื่นยังสมบูรณ์อยู่ ดังนั้น แม้ผู้ตายจะได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกทั้งหมด ให้ผู้ร้องแต่ ผู้เดียวตามพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 12 มกราคม 2523 ต่อมาผู้ตายทำพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2523 ยกทรัพย์มรดกทั้งหมด ให้แก่บุตรทุกคนคือผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งเจ็ด พินัยกรรมฉบับก่อน เป็นอันเพิกถอนโดยพินัยกรรมฉบับหลัง