พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,100 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 671/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม, การชำระหนี้, และข้อจำกัดในการอุทธรณ์คดีแรงงาน
หนังสือเลิกจ้างระบุเหตุเลิกจ้างโจทก์ว่า จำเลยไม่มีความจำเป็นที่จะจ้างโจทก์ต่อไป การที่ศาลแรงงานกลางฟังว่าจำเลยมีความจำเป็นต้องยุบเลิกตำแหน่งของโจทก์เพื่อปรับภาวะทางเศรษฐกิจของจำเลยจึงเป็นสาเหตุเดียวกัน แม้ศาลแรงงานกลางจะวินิจฉัยสาเหตุอื่นมาด้วยก็ไม่เป็นการนอกเหนือเหตุในหนังสือเลิกจ้าง และการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุผลอันสมควรไม่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม จำเลยเสนอที่จะจ่ายเงินจำนวน 78,000 บาท ให้แก่โจทก์เมื่อเลิกจ้างโดยไม่มีความผูกพันจะต้องจ่าย แต่โจทก์ไม่สนองรับโดยมีหนังสือถึงธนาคารที่รับฝากเงินเดือนของโจทก์ห้ามมิให้รับเงินที่จำเลยจะจ่ายเข้าบัญชีของโจทก์ คำเสนอของจำเลยจึงสิ้นความผูกพันนับแต่วันที่โจทก์ปฏิเสธ จำเลยไม่ต้องจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์อีก จำเลยเสนอจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์เท่ากับจำนวนตามฟ้องโดยจะนำเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ แต่โจทก์กลับมีหนังสือถึงธนาคารมิให้ยอมรับเงินดังกล่าวเข้าบัญชีของโจทก์ ดังนี้ เป็นกรณีที่จำเลยได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้ว เมื่อโจทก์ปฏิเสธไม่รับชำระโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ โจทก์จึงตกเป็นฝ่ายผิดนัด ไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในเงินค่าชดเชยนับแต่วันที่จำเลยขอปฏิบัติการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 221
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 671/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุผลเลิกจ้างสมเหตุสมผล & การปฏิเสธรับชำระหนี้ทำให้เป็นฝ่ายผิดนัด
หนังสือเลิกจ้างระบุเหตุเลิกจ้างโจทก์ว่า จำเลยไม่มีความจำเป็นที่จะจ้างโจทก์ต่อไป การที่ศาลแรงงานกลางฟังว่าจำเลยมีความจำเป็นต้องยุบเลิกตำแหน่งของโจทก์เพื่อปรับภาวะทางเศรษฐกิจของจำเลย จึงเป็นสาเหตุเดียวกันแม้ศาลแรงงานกลางจะวินิจฉัยสาเหตุอื่นมาด้วย ก็ไม่เป็นการนอกเหนือเหตุในหนังสือเลิกจ้าง และการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุผลอันสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม
จำเลยเสนอที่จะจ่ายเงินจำนวน 78,000 บาท ให้แก่โจทก์เมื่อเลิกจ้างโดยไม่มีความผูกพันจะต้องจ่าย แต่โจทก์ไม่สนองรับโดยมีหนังสือถึงธนาคารที่รับฝากเงินเดือนของโจทก์ห้ามมิให้รับเงินที่จำเลยจะจ่ายเข้าบัญชีของโจทก์คำเสนอของจำเลยจึงสิ้นความผูกพันนับแต่วันที่โจทก์ปฏิเสธ จำเลยไม่ต้องจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์อีก
จำเลยเสนอจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์เท่ากับจำนวนตามฟ้องโดยจะนำเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ แต่โจทก์กลับมีหนังสือถึงธนาคารมิให้ยอมรับเงินดังกล่าวเข้าบัญชีของโจทก์ ดังนี้ เป็นกรณีที่จำเลยได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้วเมื่อโจทก์ปฏิเสธไม่รับชำระโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ โจทก์จึงตกเป็นฝ่ายผิดนัด ไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในเงินค่าชดเชยนับแต่วันที่จำเลยขอปฏิบัติการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 221.
จำเลยเสนอที่จะจ่ายเงินจำนวน 78,000 บาท ให้แก่โจทก์เมื่อเลิกจ้างโดยไม่มีความผูกพันจะต้องจ่าย แต่โจทก์ไม่สนองรับโดยมีหนังสือถึงธนาคารที่รับฝากเงินเดือนของโจทก์ห้ามมิให้รับเงินที่จำเลยจะจ่ายเข้าบัญชีของโจทก์คำเสนอของจำเลยจึงสิ้นความผูกพันนับแต่วันที่โจทก์ปฏิเสธ จำเลยไม่ต้องจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์อีก
จำเลยเสนอจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์เท่ากับจำนวนตามฟ้องโดยจะนำเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ แต่โจทก์กลับมีหนังสือถึงธนาคารมิให้ยอมรับเงินดังกล่าวเข้าบัญชีของโจทก์ ดังนี้ เป็นกรณีที่จำเลยได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้วเมื่อโจทก์ปฏิเสธไม่รับชำระโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ โจทก์จึงตกเป็นฝ่ายผิดนัด ไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในเงินค่าชดเชยนับแต่วันที่จำเลยขอปฏิบัติการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 221.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 671/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างและการเสนอชำระหนี้ค่าชดเชยที่โจทก์ปฏิเสธ ทำให้โจทก์ตกเป็นฝ่ายผิดนัด
หนังสือเลิกจ้างระบุเหตุเลิกจ้างโจทก์ว่า จำเลยไม่มีความ จำเป็นที่จะจ้างโจทก์ต่อไป การที่ศาลแรงงานกลางฟังว่าจำเลยมี ความจำเป็นต้องยุบเลิกตำแหน่งของโจทก์เพื่อปรับภาวะทางเศรษฐกิจ ของจำเลย จึงเป็นสาเหตุเดียวกันแม้ศาลแรงงานกลางจะวินิจฉัย สาเหตุอื่นมาด้วย ก็ไม่เป็นการนอกเหนือเหตุในหนังสือเลิกจ้าง และการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุดังกล่าวถือได้ว่า เป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุผลอันสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างโดย ไม่เป็นธรรม
จำเลยเสนอที่จะจ่ายเงินจำนวน ๗๘,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์เมื่อ เลิกจ้างโดยไม่มีความผูกพันจะต้องจ่าย แต่โจทก์ไม่สนองรับ โดยมีหนังสือถึงธนาคารที่รับฝากเงินเดือนของโจทก์ห้ามมิให้ รับเงินที่จำเลยจะจ่ายเข้าบัญชีของโจทก์คำเสนอของจำเลยจึง สิ้นความผูกพันนับแต่วันที่โจทก์ปฏิเสธ จำเลยไม่ต้องจ่ายเงิน ดังกล่าวให้แก่โจทก์อีก
จำเลยเสนอจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์เท่ากับจำนวนตามฟ้องโดยจะนำ เข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ แต่โจทก์กลับมีหนังสือถึงธนาคาร มิให้ยอมรับเงินดังกล่าวเข้าบัญชีของโจทก์ ดังนี้ เป็นกรณีที่ จำเลยได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้วเมื่อโจทก์ปฏิเสธ ไม่รับชำระโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ โจทก์จึงตก เป็นฝ่ายผิดนัด ไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในเงินค่าชดเชย นับแต่วันที่จำเลยขอปฏิบัติการชำระหนี้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๑.
จำเลยเสนอที่จะจ่ายเงินจำนวน ๗๘,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์เมื่อ เลิกจ้างโดยไม่มีความผูกพันจะต้องจ่าย แต่โจทก์ไม่สนองรับ โดยมีหนังสือถึงธนาคารที่รับฝากเงินเดือนของโจทก์ห้ามมิให้ รับเงินที่จำเลยจะจ่ายเข้าบัญชีของโจทก์คำเสนอของจำเลยจึง สิ้นความผูกพันนับแต่วันที่โจทก์ปฏิเสธ จำเลยไม่ต้องจ่ายเงิน ดังกล่าวให้แก่โจทก์อีก
จำเลยเสนอจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์เท่ากับจำนวนตามฟ้องโดยจะนำ เข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ แต่โจทก์กลับมีหนังสือถึงธนาคาร มิให้ยอมรับเงินดังกล่าวเข้าบัญชีของโจทก์ ดังนี้ เป็นกรณีที่ จำเลยได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้วเมื่อโจทก์ปฏิเสธ ไม่รับชำระโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ โจทก์จึงตก เป็นฝ่ายผิดนัด ไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในเงินค่าชดเชย นับแต่วันที่จำเลยขอปฏิบัติการชำระหนี้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๑.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 666/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำเช็คเข้าบัญชีในวันสั่งจ่ายและการพิสูจน์ความผิดฐานออกเช็คโดยไม่มีเงินเพียงพอ
โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงินหลังวันสั่งจ่ายทั้งสองฉบับ ความจริงโจทก์นำเช็คไปเข้าบัญชีของโจทก์ในวันสั่งจ่ายที่ปรากฏในเช็คแต่ละฉบับ และว่าโจทก์ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนำสืบให้เห็นว่า ในขณะออกเช็คถึงวันสั่งจ่าย ผู้สั่งจ่ายมีเงินในบัญชีไม่พอจะใช้เงินตามเช็คนั้น เพราะยังไม่ถึงวันสั่งจ่าย แม้จำเลยจะมีเงินในธนาคาร โจทก์ก็เบิกเงินตามเช็คไม่ได้ ดังนี้อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวพอแปลได้ว่า โจทก์ไม่เห็นด้วยในการที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าคดีโจทก์ไม่มีมูล จึงเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 193 แล้ว.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 659/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีสัญญาจ้างแรงงานและการกระทำละเมิด: ใช้มาตรา 164 ป.พ.พ. หากไม่มีกฎหมายเฉพาะ
โจทก์บรรยายฟ้องให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ทั้งตามสัญญาจ้างแรงงานและในมูลละเมิด ซึ่งโจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องได้ทั้งสองประการ สำหรับสิทธิเรียกร้องอันเกิดจากการผิดสัญญาจ้างแรงงาน กฎหมายมิได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้กำหนดอายุความสิบปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 164.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 651/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงการจ้างและภาษีเงินได้: จำเลยต้องจ่ายเต็มจำนวนตามสัญญา แม้โจทก์ต้องเสียภาษี
ศาลพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จและค่าชดเชยแก่โจทก์แม้โจทก์จะมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็ตาม แต่เมื่อข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกำหนดให้จำเลยต้องออกภาษีเงินได้นั้นแก่โจทก์ จำเลยจึงต้องจ่ายเงินดังกล่าวเต็มจำนวนโดยไม่หักภาษีเงินได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 651/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงสภาพการจ้างกำหนดให้จำเลยออกภาษีให้โจทก์ แม้โจทก์ต้องเสียภาษีเอง ก็ต้องจ่ายเต็มจำนวน
ศาลพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จและค่าชดเชยแก่โจทก์แม้โจทก์จะมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็ตาม แต่เมื่อข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกำหนดให้จำเลยต้องออกภาษีเงินได้นั้นแก่โจทก์ จำเลยจึงต้องจ่ายเงินดังกล่าวเต็มจำนวนโดยไม่หักภาษีเงินได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 633/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาตัดสินให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา แม้พยานหลักฐานมีข้อโต้แย้ง แต่พยานหลักฐานอื่นเพียงพอให้รับฟังได้
สถานที่เกิดเหตุอยู่ในตลาด มีแสงไฟฟ้ามองเห็นได้ชัดในระยะ20 เมตร ขณะจำเลยยิงผู้ตายผู้ตายและ ส. อยู่ห่างจำเลยราว2 เมตร ส. ย่อมเห็นจำเลยได้ชัดเจน ทั้งขณะเกิดเหตุก็ไม่มีเหตุการณ์สับสนวุ่นวายอันจะเป็นเหตุให้จดจำคนร้ายผิดพลาดไปได้ดังนั้น ที่ ส. เบิกความว่าจำเลยเป็นคนร้ายยิงผู้ตายจึงน่าเชื่อถือ ชั้นสอบสวน บ. ยืนยันว่าเห็นจำเลยเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงใส่กลุ่มผู้ตายซึ่งให้การไว้อย่างมีเหตุผล รายละเอียดต่าง ๆ ก็ให้การสอดคล้องกันกับคำเบิกความของ ส. พยานโจทก์ คำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวแม้จะเป็นเพียงพยานบอกเล่าก็สามารถรับฟังประกอบคำเบิกความของส.พยานโจทก์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นได้ ชั้นศาล บ.ไม่ยอมมาเป็นพยานโจทก์โดยไม่ปรากฏเหตุผลแต่กลับมาเป็นพยานจำเลยโดยเบิกความกลับคำให้การชั้นสอบสวนที่อ้างว่าคำให้การชั้นสอบสวน พนักงานสอบสวนเขียนขึ้นเองแล้วพยานลงชื่อโดยไม่ได้อ่านก่อนนั้น ปรากฏว่านอกจาก บ.จะลงชื่อไว้ในคำให้การชั้นสอบสวนแล้วยังได้ลงชื่อไว้ในบันทึกการชี้ตัวผู้ต้องหายืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ยิงผู้ตาย กรณีจึงน่าเชื่อว่า บ.ได้เห็นจำเลยยิงผู้ตายดังที่ให้การไว้ในชั้นสอบสวน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 618-622/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าชดเชยรวมในเงินผลประโยชน์: ข้อตกลงร่วมระหว่างนายจ้าง-สหภาพฯ ผูกพันลูกจ้าง
กฎและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่กำหนดให้จำนวนเงินผลประโยชน์เมื่อออกจากงานทั้งหมดที่พนักงานได้รับให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการจ่ายค่าชดเชยการเลิกจ้างตามข้อกำหนดแห่งกฎหมายแรงงานนั้น เมื่อปรากฏว่าเป็นข้อตกลงซึ่งเกิดจากข้อเรียกร้องที่สหภาพแรงงานทำไว้กับนายจ้างโดยชอบด้วยกฎหมาย มิใช่เป็นข้อตกลงซึ่งนายจ้างกำหนดขึ้นเองย่อมมีผลผูกพันลูกจ้างตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 19 ฉะนั้นเมื่อลูกจ้างได้รับเงินผลประโยชน์ดังกล่าวแล้วย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่านายจ้างได้จ่ายค่าชดเชยโดยเกลื่อนกลืนอยู่ในเงินผลประโยชน์นั้นแล้ว ลูกจ้างจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยจากนายจ้างอีก.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 609/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเบิกความเท็จที่ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย จำเป็นต้องระบุรายละเอียดคดีเดิมและข้อความเท็จที่สำคัญ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเบิกความเท็จ แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีข้อหาใด และข้อความที่จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร อีกทั้งความจริงเป็นอย่างไรแน่ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5).(ที่มา-ส่งเสริม)