พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,100 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 945/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การให้การด้วยวาจาในคดีแรงงาน เพียงพอต่อการสร้างประเด็นข้อพิพาท แม้ไม่ได้ทำตามรูปแบบการให้การเป็นหนังสือ
คดีแรงงานจำเลยมีสิทธิให้การด้วยวาจาได้ กฎหมายจึงมิได้ถือเคร่งครัดเช่นการให้การเป็นหนังสือในคดีแพ่งธรรมดา เพื่อให้คดีได้เสร็จสิ้นไปด้วยความรวดเร็วตามเจตนารมณ์ของวิธีพิจารณาคดีแรงงาน ดังนั้นที่จำเลยให้การด้วยวาจาซึ่งศาลแรงงานกลางได้บันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาว่า คำฟ้องอื่นของโจทก์ไม่เป็นความจริงและจำเลยขอปฏิเสธว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดตามฟ้องโจทก์จึงเป็นการเพียงพอที่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทที่จำเลยจะนำสืบได้ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์หรือไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 913-915/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าครองชีพเป็นค่าจ้างหรือไม่? สัญญาจ้างกำหนดสิทธิประโยชน์ชัดเจน มีผลเหนือกว่าข้ออ้าง
ค่าครองชีพที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นรายเดือนโดยมีจำนวนที่แน่นอน ย่อมเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงานของลูกจ้างในเวลาทำงานปกติ ซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างตามความหมายของคำนิยามคำว่า ค่าจ้าง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน และจะถือว่าเป็นค่าจ้างต่อเมื่อนายจ้างมีข้อตกลงที่จะจ่ายให้แก่ลูกจ้างด้วย
โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยประเภทพนักงานบริการ ตามสัญญาเข้าทำงานของพนักงานบริการ ข้อ 4(3) มีข้อความว่า พนักงานบริการไม่มีสิทธิในเงินตอบแทนของเงินประกันและเงินสวัสดิการอื่นใดที่บริษัทให้นอกเหนือจากค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา และค่าทำงานในวันหยุด และสัญญาดังกล่าวได้กำหนดค่าจ้างเป็นรายวัน เป็นอัตราที่แน่นอนตายตัวไว้แล้ว แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยอย่างชัดแจ้งว่าจำเลยไม่ประสงค์จะจ่ายค่าครองชีพให้แก่โจทก์ด้วยดังนั้น คำว่าค่าจ้างตามข้อสัญญาดังกล่าว ซึ่งมิได้หมายความรวมถึงค่าครองชีพ.(ที่มา-เนติ)
โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยประเภทพนักงานบริการ ตามสัญญาเข้าทำงานของพนักงานบริการ ข้อ 4(3) มีข้อความว่า พนักงานบริการไม่มีสิทธิในเงินตอบแทนของเงินประกันและเงินสวัสดิการอื่นใดที่บริษัทให้นอกเหนือจากค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา และค่าทำงานในวันหยุด และสัญญาดังกล่าวได้กำหนดค่าจ้างเป็นรายวัน เป็นอัตราที่แน่นอนตายตัวไว้แล้ว แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยอย่างชัดแจ้งว่าจำเลยไม่ประสงค์จะจ่ายค่าครองชีพให้แก่โจทก์ด้วยดังนั้น คำว่าค่าจ้างตามข้อสัญญาดังกล่าว ซึ่งมิได้หมายความรวมถึงค่าครองชีพ.(ที่มา-เนติ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 758/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการเลิกสัญญาและการเรียกค่าปรับ กรณีผู้รับจ้าง/ผู้ขายไม่ปฏิบัติตามสัญญา
โจทก์ทำสัญญาจ้างจำเลยทำพัสดุ สัญญาข้อ 19 มีว่า ถ้าผู้รับจ้างส่งมอบงานล่าช้ากว่าวันแล้วเสร็จตามสัญญา แต่ผู้ว่าจ้างยังมิได้บอกเลิกสัญญา ผู้ว่าจ้างมีสิทธิปรับผู้รับจ้างเป็นรายวันและเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากงานล่าช้าในระหว่างที่มีการปรับถ้าผู้ว่าจ้างเห็นว่าผู้รับจ้างไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ ผู้ว่าจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและใช้สิทธิตามสัญญาข้อ 20 ด้วย สัญญาข้อ 20 มีว่า ถ้าผู้ว่าจ้างบอกเลิกสัญญา ผู้รับจ้างยอมให้ผู้ว่าจ้างริบหลักประกันสัญญาและอื่น ๆเมื่อโจทก์เห็นว่าจำเลยมิได้ส่งมอบงานและสิ่งของตามสัญญาจึงบอกเลิกสัญญา เช่นนี้เป็นเรื่องใช้สิทธิเลิกสัญญาตามข้อ 20จึงมีสิทธิตามที่ระบุไว้ในข้อ 20 โดยไม่มีสิทธิปรับจำเลยตามข้อ 19 ได้อีก
สัญญาซื้อขายข้อ 7 มีว่า ถ้าผู้ขายไม่ส่งมอบของที่ตกลงขายหรือส่งมอบไม่ถูกต้อง หรือไม่ครบจำนวน ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกัน และถ้าผู้ซื้อจัดซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นภายในกำหนด 3 เดือนนับจากวันเลิกสัญญา ผู้ขายยอมชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นด้วย สัญญาข้อ 9 มีว่าผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันนับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่ผู้ขายส่งมอบของครบถ้วน ในระหว่างที่มีการปรับถ้าผู้ซื้อเห็นว่าผู้ขายไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ผู้ซื้อจะใช้สิทธิเลิกสัญญาและริบหลักประกันกับเรียกให้ใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการปรับก็ได้ ดังนี้เมื่อจำเลยไม่ส่งมอบสิ่งของให้แก่โจทก์เลยและโจทก์ก็ใช้สิทธิเลิกสัญญาและริบหลักประกันตามข้อ 8 แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเอาค่าปรับเป็นรายวันตามข้อ 9.(ที่มา-เนติ)
สัญญาซื้อขายข้อ 7 มีว่า ถ้าผู้ขายไม่ส่งมอบของที่ตกลงขายหรือส่งมอบไม่ถูกต้อง หรือไม่ครบจำนวน ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกัน และถ้าผู้ซื้อจัดซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นภายในกำหนด 3 เดือนนับจากวันเลิกสัญญา ผู้ขายยอมชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นด้วย สัญญาข้อ 9 มีว่าผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันนับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่ผู้ขายส่งมอบของครบถ้วน ในระหว่างที่มีการปรับถ้าผู้ซื้อเห็นว่าผู้ขายไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ผู้ซื้อจะใช้สิทธิเลิกสัญญาและริบหลักประกันกับเรียกให้ใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการปรับก็ได้ ดังนี้เมื่อจำเลยไม่ส่งมอบสิ่งของให้แก่โจทก์เลยและโจทก์ก็ใช้สิทธิเลิกสัญญาและริบหลักประกันตามข้อ 8 แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเอาค่าปรับเป็นรายวันตามข้อ 9.(ที่มา-เนติ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 719/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกาแก้คำสั่งศาลแรงงานกลาง สั่งให้สืบพยานเพิ่มเติม กรณีพิพาทเลิกจ้างจากข้อกล่าวหาทุจริต
คดีที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานขออนุญาตเลิกจ้างผู้คัดค้านซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้าง โดยอ้างว่าผู้คัดค้านกระทำการทุจริตต่อหน้าที่การงานอันเป็นความผิดร้ายแรงนั้นเมื่อปรากฏว่าผู้คัดค้านยังให้การต่อสู้อยู่ว่าไม่เคยทุจริตต่อหน้าที่ ศาลแรงงานจะสั่งงดสืบพยานผู้ร้องโดยนำคำให้การของพยานชั้นสอบสวน ความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนตลอดจนความเห็นแย้งมาวินิจฉัยว่าการกระทำของผู้คัดค้านมิใช่เป็นกรณีที่ร้ายแรงถึงขนาดเลิกจ้างหาได้ไม่ เพราะไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านได้รับรองถึงความมีอยู่ ความถูกต้องแท้จริงของเอกสารดังกล่าว ถือว่าเป็นเอกสารที่ผู้ร้องส่งศาลโดยไม่มีพยานบุคคลประกอบ ไม่มีผู้ รับรอง ชอบที่จะดำเนินการสืบพยานในประเด็นแห่งคดีต่อไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 719/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดสืบพยานในคดีแรงงาน: ศาลต้องเปิดโอกาสให้คู่ความนำสืบพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ข้อกล่าวหา
คดีที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานขออนุญาตเลิกจ้างผู้คัดค้านซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้าง โดยอ้างว่าผู้คัดค้านกระทำการทุจริตต่อหน้าที่การงานอันเป็นความผิดร้ายแรงนั้น เมื่อปรากฏว่าผู้คัดค้านยังให้การต่อสู้อยู่ว่าไม่เคยทุจริตต่อหน้าที่ศาลแรงงานจะสั่งงดสืบพยานผู้ร้องโดยนำคำให้การของพยานชั้นสอบสวน ความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนตลอดจนความเห็นแย้งมาวินิจฉัยว่าการกระทำของผู้คัดค้านมิใช่เป็นกรณีที่ร้ายแรงถึงขนาดเลิกจ้างหาได้ไม่ เพราะไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านได้รับรองถึงความมีอยู่ ความถูกต้องแท้จริงของเอกสารดังกล่าว ถือว่าเป็นเอกสารที่ผู้ร้องส่งศาลโดยไม่มีพยานบุคคลประกอบ ไม่มีผู้รับรอง ชอบที่จะดำเนินการสืบพยานในประเด็นแห่งคดีต่อไป.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 555/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันสิทธิและคุ้มครองบุตรจากภัยอันตรายเฉพาะหน้า การใช้อาวุธปืนเพื่อป้องกันตนเองและบุตรชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยเป็นมารดาของนางสาว ศ. ซึ่งถูกผู้ตายเข้าไปฉุดคร่าถึงภายในบ้าน โดยนางสาว ศ. ไม่สามารถดิ้นรน ขัดขืนได้เมื่อจำเลยเข้าไปขัดขวางห้ามปรามกลับถูกผู้ตายทำร้ายจนล้มลงการที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายไปในเวลาฉุกละหุก 4 นัดติด ๆ กันเป็นเพราะจำเลยไม่มีโอกาสทันพิเคราะห์ว่าผู้ตายมีอาวุธติดตัวหรือไม่ ทั้งไม่มีเวลาไตร่ตรอง ด้วยว่าหากใช้ปืนยิงขู่เพียงนัดเดียวจะทำให้ผู้ตายเกรงกลัวและหยุดการกระทำที่อุกอาจลงได้ประกอบกับผู้ตายเป็นชาย ฉกรรจ์แข็งแรงกว่าจำเลยซึ่งเป็นหญิงและไม่มีทางเลือกที่จะป้องกันด้วยวิธีอื่น การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรณีที่จำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนและบุตรสาวให้พ้นจากการถูกฉุดคร่า ซึ่งเป็นภยันตรายอันปรากฏขึ้นเฉพาะหน้าโดยพอสมควรแก่เหตุ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 555/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันสิทธิและบุตรจากการฉุดคร่าโดยชอบด้วยกฎหมาย: เหตุป้องกันตัวที่สมควร
จำเลยเป็นมารดาของนางสาว ศ. ซึ่งถูกผู้ตายเข้าไปฉุดคร่าถึงภายในบ้าน โดยนางสาว ศ. ไม่สามารถดิ้นรนขัดขืนได้เมื่อจำเลยเข้าไปขัดขวางห้ามปรามกลับถูกผู้ตายทำร้ายจนล้มลง การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายไปในเวลาฉุกละหุก4 นัดติด ๆ กัน เป็นเพราะจำเลยไม่มีโอกาสทันพิเคราะห์ว่าผู้ตายมีอาวุธติดตัวหรือไม่ ทั้งไม่มีเวลาไตร่ตรองด้วยว่าหากใช้ปืนยิงขู่เพียงนัดเดียวจะทำให้ผู้ตายเกรงกลัวและหยุดการกระทำที่อุกอาจลงได้ ประกอบกับผู้ตายเป็นชายฉกรรจ์แข็งแรงกว่าจำเลยซึ่งเป็นหญิงและไม่มีทางเลือกที่จะป้องกันด้วยวิธีอื่น การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรณีที่จำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนและบุตรสาวให้พ้นจากการฉุดคร่าซึ่งเป็นภยันตรายอันปรากฏขึ้นเฉพาะหน้าโดยพอสมควรแก่เหตุ.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 440/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายด้วยไม้และมือ ส่งผลให้เกิดบาดแผลเล็กน้อย ศาลลดโทษจากทำร้ายร่างกายเป็นเพียงทำร้ายร่างกายที่ไม่ถึงอันตราย
จำเลยเพียงแต่ใช้มือตบตี และใช้ไม้ไผ่ผ่าซีกขว้างผู้เสียหายโดยไม่ปรากฏว่าไม้ไผ่ดังกล่าวมีขนาดใหญ่เล็กเพียงใด บาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับก็เป็นเพียงรอยถลอกไม่มีโลหิตไหล อีกแห่งหนึ่งเพียงแต่บวมเมื่อกดตรงที่บวมจึงเจ็บและจะรักษาหายได้ในเวลาประมาณ 5 วัน ซึ่งเป็นเพียงการคาดคะเนของแพทย์ความจริงอาจจะหายเป็นปกติภายในเวลาไม่ถึงกำหนดที่กะประมาณไว้ก็ได้ จำเลยคงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391เท่านั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 440/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายผู้อื่นด้วยการตบตีและขว้างสิ่งของบาดเจ็บเล็กน้อย ศาลลดโทษฐานทำร้ายร่างกายไม่ถึงอันตราย
จำเลยเพียงแต่ใช้มือตบตี และใช้ไม้ไผ่ผ่าซีกขว้างผู้เสียหายโดยไม่ปรากฏว่าไม้ไผ่ดังกล่าวมีขนาดใหญ่เล็กเพียงใด บาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับก็เป็นเพียงรอยถลอกไม่มีโลหิตไหล อีกแห่งหนึ่งเพียงแต่บวมเมื่อกดตรงที่บวมจึงเจ็บและจะรักษาหายได้ในเวลาประมาณ 5 วัน ซึ่งเป็นเพียงการคาดคะเนของแพทย์ความจริงอาจจะหายเป็นปกติภายในเวลาไม่ถึงกำหนดที่กะประมาณไว้ก็ได้ จำเลยคงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 440/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายด้วยไม้ไผ่และมือ ทำให้เกิดรอยถลอกและบวม ศาลลดโทษจากทำร้ายร่างกายจนเป็นอันตรายแก่กาย เป็นเพียงทำร้ายร่างกายธรรมดา
จำเลยใช้ไม้ไผ่ผ่า ซีก ขว้างผู้เสียหายโดยไม่ปรากฏว่าเป็นไม้ไผ่ขนาดใดและเพียงแต่ใช้มือตบ ตีผู้เสียหายเท่านั้น ลักษณะบาดแผลเป็นรอยถลอกไม่มีโลหิตไหล กับมีรอยบวมถ้า กดจึงจะเจ็บ ซึ่งอาจหายเป็นปกติได้เร็วกว่า 5 วัน เป็นการทำร้ายร่างกายผู้อื่นแต่ไม่ถึงขนาดเกิดอันตรายแก่กาย.