พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,100 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2690/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์โดยสุจริตและเจตนา การกระทำละเมิด ความเสียหายจากการไม่ได้ใช้ทรัพย์
การนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาถือเป็นการใช้สิทธิทางศาลจะเป็นการกระทำละเมิดต่อเจ้าของทรัพย์ที่ยึดเมื่อเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตมีเจตนากลั่นแกล้งให้เจ้าของได้รับความเสียหาย อ. เช่าซื้อรถยนต์พิพาทไปจากโจทก์แล้วผิดสัญญาเช่าซื้อโจทก์จึงฟ้องอ. ให้คืนรถยนต์และใช้ค่าเสียหายปรากฏว่าระหว่างครอบครองและใช้รถยนต์อ. ได้นำรถไปจ้างจำเลยซ่อมแล้วไม่ชำระค่าซ่อมจำเลยจึงยึดหน่วงรถยนต์ดังกล่าวไว้และฟ้องเรียกค่าซ่อมรถและค่าดูแลรักษาจากอ. ศาลชั้นต้นพิพากษาให้อ. ชำระค่าซ่อมรถยนต์และค่าสินค้าแก่จำเลยกับให้ส่งมอบรถยนต์ให้โจทก์พร้อมกับชำระค่าเสียหายเมื่ออ. ไม่ชำระค่าซ่อมรถยนต์ให้จำเลยๆได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์เพื่อขายทอดตลาดเมื่อวันที่8มีนาคม2521ต่อมาวันที่6กรกฎาคม2521โจทก์ได้ร้องขอให้ปล่อยรถยนต์ที่ยึดไว้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถอนการยึดเมื่อวันที่2พฤษภาคม2522คดีดังกล่าวถึงที่สุดโจทก์ไปขอรับรถยนต์คืนจากจำเลยเมื่อวันที่18ตุลาคม2522แต่จำเลยไม่ยอมคืนให้จนโจทก์ต้องร้องขอต่อศาลชั้นต้นและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยมอบรถยนต์ให้โจทก์จำเลยจึงคืนรถยนต์ให้โจทก์เมื่อวันที่25ธันวาคม2522พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์โดยสุจริตมิได้มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยจึงไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ตั้งแต่นำยึดทรัพย์ในวันที่8มีนาคม2521แต่หลังจากศาลมีคำสั่งให้ถอนการยึดรถยนต์คันพิพาทและโจทก์ขอรับรถยนต์คืนจากจำเลยแล้วการที่จำเลยไม่ยอมคืนให้ถือว่าไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิทางศาลต่อไปจำเลยได้ชื่อว่ากระทำละเมิดต่อโจทก์ตั้งแต่วันที่โจทก์ขอรับรถยนต์คืนจากจำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2690/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์โดยสุจริตและการปฏิบัติตามคำสั่งศาลถึงที่สุด แม้การยึดทรัพย์เริ่มแรกจะชอบด้วยกฎหมาย แต่เมื่อศาลมีคำสั่งให้คืนทรัพย์ จำเลยต้องปฏิบัติตาม
การที่จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์พิพาทเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาเป็นการใช้สิทธิทางศาล จะเป็นการกระทำละเมิดต่อเมื่อกระทำโดยไม่สุจริต มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ปรากฏว่าจำเลยมีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์พิพาท จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์พิพาทโดยสุจริตมิได้มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยจึงหาได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ตั้งแต่วันที่นำยึดทรัพย์ไม่ แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถอนการยึดรถยนต์คันพิพาท คดีถึงที่สุดไปแล้ว จำเลยต้องปฏิบัติตามคำสั่งอันถึงที่สุดแล้วนั้น โดยต้องคืนรถยนต์พิพาทให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าของไม่มีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์คันพิพาทไว้อีกต่อไป ดังนี้คำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้วย่อมผูกพันจำเลยซึ่งเป็นคู่ความ จำเลยจะฎีกาโต้เถียงในคดีนี้ว่าตนยังมีสิทธิ์ยึดหน่วงอีกย่อมฟังไม่ขึ้น ทั้งการที่โจทก์ขอรับรถยนต์พิพาทคืนจากจำเลย ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถอนการยึดแล้ว แต่จำเลยไม่คืนให้ มิใช่เป็นการใช้สิทธิทางศาลอีกต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2690/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์บังคับคดีโดยสุจริตและการคืนทรัพย์ตามคำสั่งศาล
การที่จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์พิพาทเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาเป็นการใช้สิทธิทางศาลจะเป็นการกระทำละเมิดต่อเมื่อกระทำโดยไม่สุจริตมีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับความเสียหายปรากฏว่าจำเลยมีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์พิพาทจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์พิพาทโดยสุจริตมิได้มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยจึงหาได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ตั้งแต่วันที่นำยึดทรัพย์ไม่แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถอนการยึดรถยนต์คันพิพาทคดีถึงที่สุดไปแล้วจำเลยต้องปฏิบัติตามคำสั่งอันถึงที่สุดแล้วนั้นโดยต้องคืนรถยนต์พิพาทให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าของไม่มีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์คันพิพาทไว้อีกต่อไปดังนี้คำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้วย่อมผูกพันจำเลยซึ่งเป็นคู่ความจำเลยจะฎีกาโต้เถียงในคดีนี้ว่าตนยังมีสิทธิ์ยึดหน่วงอีกย่อมฟังไม่ขึ้นทั้งการที่โจทก์ขอรับรถยนต์พิพาทคืนจากจำเลยภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถอนการยึดแล้วแต่จำเลยไม่คืนให้มิใช่เป็นการใช้สิทธิทางศาลอีกต่อไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2651/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับหนี้จากการใช้เช็คพิพาทโดยมีส่วนผิดของผู้รับเช็คทำให้เช็คสูญหาย
จำเลยทั้งสามซื้อพลอยจากโจทก์แล้วออกเช็คพิพาทลงวันที่ล่วงหน้าชำระหนี้ค่าพลอยให้โจทก์ ต่อมาเช็คนั้นหายไปจากความครอบครองของโจทก์และมีผู้แก้ไขวันออกเช็คและนำเช็คดังกล่าวเบิกเงินไปในบัญชีของจำเลยที่ธนาคารไป ดังนี้ เมื่อพฤติการณ์ของโจทก์มีส่วนทำให้เกิดกรณีเช็คพิพาทถูกลัก โจทก์มีส่วนผิดเป็นเหตุให้เช็คพิพาทหายไปและเช็คนั้นได้ใช้เงินแล้ว หนี้ที่จำเลยต้องชำระราคาพลอยให้แก่โจทก์ย่อมจะระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคสาม จำเลยทั้งสามไม่ต้องรับผิดชำระค่าพลอยที่ซื้อไปจากโจทก์ให้แก่โจทก์อีก แม้เมื่อโจทก์ทราบว่าเช็คหายโจทก์ได้รีบบอกแก่จำเลยและธนาคารเพื่อไม่ให้ใช้เงินแล้ว แต่ปรากฏว่าโจทก์บอกกล่าวแก่จำเลยหลังจากที่มีการใช้เงินตามเช็คแล้ว การบอกกกล่าวจึงไม่เป็นประโยชน์แก่โจทก์
หมายเหตุ มติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2529
หมายเหตุ มติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2529
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2640/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างเนื่องจากทุจริตต่อหน้าที่ แม้ไม่ใช่ความผิดร้ายแรง ยังต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
จำเลยมีอาชีพรับจ้างซ่อมรถยนต์จำเลยจ้างโจทก์ให้มีหน้าที่ไปประจำอยู่ที่ยริษัทร.เพื่อตีราคาค่าซ่อมรถที่เกิดอุบัติเหตุและหาลูกค้านำรถมาซ่อมที่อยู่ของจำเลยโจทก์หาบุคคลนำรถยนต์ไปประกันกับบริษัทร.และรับเงินค่าเบี้ยประกันภัยจากผู้เอาประกันภัยแล้วกลับนำไปใช้ส่วนตัวไม่นำส่งบริษัทร.ทำให้บริษัทร.ไม่ส่งงานให้จำเลยดังนี้เป็นการที่โจทก์ประพฤติในทางไม่สุจริตทำให้จำเลยขาดรายได้จึงมีเหตุเพียงพอที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์แต่การกระทำของโจทก์ไม่ต้องตามกรณีหนึ่งกรณีใดตามข้อ47แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานทั้งมิใช่การกระทำต่อจำเลยโดยตรงจึงมิใช่เป็นการกระทำความผิดอย่างร้ายแรงหรือทำการอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา583จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทันทีจึงต้องชำระค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2640/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจากพฤติกรรมทุจริตต่อบุคคลภายนอก และสิทธิการได้รับค่าชดเชย
จำเลยมีอาชีพรับจ้างซ่อมรถยนต์ จำเลยจ้างโจทก์ให้มีหน้าที่ไปประจำอยู่ที่บริษัท ร. เพื่อตีราคาค่าซ่อมรถที่เกิดอุบัติเหตุและหาลูกค้านำรถมาซ่อมที่อยู่ของจำเลย โจทก์หาบุคคลนำรถยนต์ไปประกันกับบริษัท ร. และรับเงินค่าเบี้ยประกันภัยจากผู้เอาประกันภัยแล้วกลับนำไปใช้ส่วนตัวไม่นำส่งบริษัท ร. ทำให้บริษัท ร. ไม่ส่งงานให้จำเลยดังนี้เป็นการที่โจทก์ประพฤติในทางไม่สุจริต ทำให้จำเลยขาดรายได้ จึงมีเหตุเพียงพอที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์ แต่การกระทำของโจทก์ไม่ต้องตามกรณีหนึ่งกรณีใดตามข้อ 47 แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ทั้งมิใช่การกระทำต่อจำเลยโดยตรง จึงมิใช่เป็นการกระทำความผิดอย่างร้ายแรง หรือทำการอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทันทีจึงต้องชำระค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2640/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างที่ไม่เป็นธรรม กรณีลูกจ้างประพฤติทุจริตทางการเงิน ทำให้บริษัทคู่ค้าหยุดส่งงาน
จำเลยมีอาชีพรับจ้างซ่อมรถยนต์ จำเลยจ้างโจทก์ให้มีหน้าที่ไปประจำอยู่ที่บริษัทร. เพื่อตีราคาค่าซ่อมรถที่เกิดอุบัติเหตุและหาลูกค้านำรถมาซ่อมที่อยู่ของจำเลย โจทก์หาบุคคลนำรถยนต์ไปประกันกับบริษัท ร. และรับเงินค่าเบี้ยประกันภัยจากผู้เอาประกันภัยแล้วกลับนำไปใช้ส่วนตัวไม่นำส่งบริษัทร.ทำให้บริษัทร. ไม่ส่งงานให้จำเลย ดังนี้เป็นการที่โจทก์ประพฤติในทางไม่สุจริต ทำให้จำเลยขาดรายได้ จึงมีเหตุเพียงพอที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์ แต่การกระทำของโจทก์ไม่ต้องตามกรณีหนึ่งกรณีใดตามข้อ 47 แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ทั้งมิใช่การกระทำต่อจำเลยโดยตรง จึงมิใช่เป็นการกระทำความผิดอย่างร้ายแรง หรือทำการอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทันทีจึงต้องชำระค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2606-2616/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างแรงงานต่างประเทศ: ความรับผิดของตัวแทน, ฟ้องซ้อน, และการผิดสัญญา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาจ้างแรงงานกับโจทก์แทนบริษัทท.ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ต่างประเทศต่อมาบริษัทท. ผิดสัญญาจ้างแรงงานกับโจทก์ขอให้จำเลยคืนเงินค่าใช้จ่ายซึ่งจำเลยรับไปจากโจทก์จำเลยให้การรับว่าได้ลงลายมือชื่อในสัญญาจ้างแรงงานกับโจทก์จริงเพียงแต่ปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างเหตุอื่นจึงเป็นคดีพิพาทด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามที่บัญญัติไว้ในพ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา8(1)คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ป.วิ.พ.มาตรา173วรรคสองห้ามโจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันต่อศาลอีกเฉพาะกรณีที่คดีนั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณาเท่านั้นเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องคดีที่โจทก์ฟ้องก่อนไปแล้วคดีนั้นจึงไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาแม้จำเลยจะมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลแรงงานกลางในคดีนั้นแต่เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้อุทธรณ์คำสั่งจะถือว่าคดีก่อนอยู่ในระหว่างการพิจารณาหาได้ไม่ฟ้องของโจทก์ไม่ต้องห้าม จำเลยได้รับมอบอำนาจจากบริษัทตัวการซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ต่างประเทศให้ทำสัญญาจ้างแรงงานกับโจทก์ไม่ว่าจำเลยจะได้รับมอบอำนาจเฉพาะการหรือรับมอบอำนาจทั่วไปก็ตามจำเลยย่อมเป็นตัวแทนของบริษัทตัวการแม้ว่าจำเลยจะได้รับอนุญาตให้เป็นผู้จัดหาคนงานตามพ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางานพ.ศ.2528ก็ไม่ทำให้ฐานะความเป็นตัวแทนของจำเลยเปลี่ยนแปลงไปการที่บริษัทตัวการจัดให้โจทก์เข้าทำงานได้ในเดือนแรกส่วนเดือนต่อๆมาโจทก์มิได้ทำงานและมิได้รับค่าจ้างโดยมิใช่เป็นความผิดของโจทก์จะถือว่าบริษัทตัวการได้ปฏิบัติถูกต้องครบถ้วนตามสัญญาจ้างแรงงานแล้วหาได้ไม่เมื่อบริษัทตัวการผิดสัญญาต่อโจทก์จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนในประเทศไทยต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาจ้างแรงงานแต่ลำพังตนเองตามป.พ.พ.มาตรา824.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2606-2616/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลแรงงาน, ฟ้องซ้อน, ตัวแทนสัญญาจ้าง, ความรับผิดจำเลย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาจ้างแรงงานกับโจทก์แทนบริษัท ท. ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่ต่างประเทศ บริษัท ท. ผิดสัญญาจ้างแรงงานต่อโจทก์ ขอให้จำเลยคืนเงินค่าใช้จ่ายที่จำเลยรับไปจากโจทก์ ดังนี้เป็นคดีพิพาทด้วยนสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1) อยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานส่วนจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ในกรณีที่ทำสัญญาจ้างแรงงานกับโจทก์หรือไม่หรือรับผิดเท่าใดเป็นอีกกรณีหนึ่ง มิได้หมายความว่า เมื่อจำเลยปฏิเสธความรับผิดแล้ว คดีไม่อยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 73 วรรคสอง ห้ามโจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันต่อศาลอีกเฉพาะกรณีที่คดีนั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณา ปรากฏว่าขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องคดีก่อนไปแล้ว คดีนั้นจึงไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณา แม้จำเลยจะมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลแรงงานกลางที่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องโดยมิได้สอบถามจำเลยก่อนก็ตาม เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว จะถือว่าคดีนั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณาหาได้ไม่ ฟ้องของโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้อน
จำเลยได้รับมอบอำนาจจากบริษัทตัวการซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่ต่างประเทศทำสัญญาจ้างแรงงานกับโจทก์แทนบริษัทตัวการ ไม่ว่าจำเลยจะได้รับมอบหมายอำนาจแต่เฉพาะการหรือรับมอบอำนาจทั่วไปก็ตาม จำเลยย่อมเป็นตัวแทนของบริษัทตัวการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 797 การที่จำเลยได้รับอนุญาตให้เป็นผู้จัดหาคนงานตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 ไม่ทำให้ฐานะของจำเลยเปลี่ยนเแปลงไปโดยไม่เป็นตัวแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไปได้
บริษัทตัวการไม่สามารถให้โจทก์ทำงานในต่างประเทศได้ตามปกติจนครบกำหนดตามสัญญาจ้างแรงงานโดยจัดให้โจทก์เข้าทำงานในเดือนแรก ส่วนเดือนต่อ ๆ มาโจทก์มิได้เข้าทำงานและมิได้รับค่าจ้างซึ่งมิใช่ความผิดของโจทก์ จะถือว่าบริษัทตัวการได้ปฏิบัติถูกต้องครบถ้วนตามสัญญาจ้างแรงงานแล้วหาได้ไม่ เมื่อบริษัทตัวการผิดสัญญาต่อโจทก์ จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนในประเทศไทยต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาจ้างแรงงานแต่ลำพังตนเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 824
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 73 วรรคสอง ห้ามโจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันต่อศาลอีกเฉพาะกรณีที่คดีนั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณา ปรากฏว่าขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องคดีก่อนไปแล้ว คดีนั้นจึงไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณา แม้จำเลยจะมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลแรงงานกลางที่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องโดยมิได้สอบถามจำเลยก่อนก็ตาม เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว จะถือว่าคดีนั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณาหาได้ไม่ ฟ้องของโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้อน
จำเลยได้รับมอบอำนาจจากบริษัทตัวการซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่ต่างประเทศทำสัญญาจ้างแรงงานกับโจทก์แทนบริษัทตัวการ ไม่ว่าจำเลยจะได้รับมอบหมายอำนาจแต่เฉพาะการหรือรับมอบอำนาจทั่วไปก็ตาม จำเลยย่อมเป็นตัวแทนของบริษัทตัวการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 797 การที่จำเลยได้รับอนุญาตให้เป็นผู้จัดหาคนงานตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 ไม่ทำให้ฐานะของจำเลยเปลี่ยนเแปลงไปโดยไม่เป็นตัวแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไปได้
บริษัทตัวการไม่สามารถให้โจทก์ทำงานในต่างประเทศได้ตามปกติจนครบกำหนดตามสัญญาจ้างแรงงานโดยจัดให้โจทก์เข้าทำงานในเดือนแรก ส่วนเดือนต่อ ๆ มาโจทก์มิได้เข้าทำงานและมิได้รับค่าจ้างซึ่งมิใช่ความผิดของโจทก์ จะถือว่าบริษัทตัวการได้ปฏิบัติถูกต้องครบถ้วนตามสัญญาจ้างแรงงานแล้วหาได้ไม่ เมื่อบริษัทตัวการผิดสัญญาต่อโจทก์ จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนในประเทศไทยต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาจ้างแรงงานแต่ลำพังตนเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 824
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2606-2616/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของตัวแทนตามสัญญาจ้างแรงงานต่างประเทศ: ศาลแรงงานมีอำนาจพิจารณา แม้มีการถอนฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาจ้างแรงงานกับโจทก์แทนบริษัทท.ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่ต่างประเทศบริษัทท.ผิดสัญญาจ้างแรงงานต่อโจทก์ขอให้จำเลยคืนเงินค่าใช้จ่ายที่จำเลยรับไปจากโจทก์ดังนี้เป็นคดีพิพาทด้วยนสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา8(1)อยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานส่วนจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ในกรณีที่ทำสัญญาจ้างแรงงานกับโจทก์หรือไม่หรือรับผิดเท่าใดเป็นอีกกรณีหนึ่งมิได้หมายความว่าเมื่อจำเลยปฏิเสธความรับผิดแล้วคดีไม่อยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา73วรรคสองห้ามโจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันต่อศาลอีกเฉพาะกรณีที่คดีนั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณาปรากฏว่าขณะที่โจทก์ยื่นฟ้งอคดีนี้ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องคดีก่อนไปแล้วคดีนั้นจึงไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาแม้จำเลยจะมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลแรงงานกลางที่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องโดยมิได้สอบถามจำเลยก่อนก็ตามเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจะถือว่าคดีนั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณาหาได้ไม่ฟ้องของโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้อน จำเลยได้รับมอบอำนาจจากบริษัทตัวการซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่ต่างประเทศทำสัญญาจ้างแรงงานกับโจทก์แทนบริษัทตัวการไม่ว่าจำเลยจะได้รับมอบหมายอำนาจแต่เฉพาะการหรือรับมอบอำนาจทั่วไปก็ตามจำเลยย่อมเป็นตัวแทนของบริษัทตัวการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา797การที่จำเลยได้รับอนุญาตให้เป็นผู้จัดหาคนงานตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานพ.ศ.2528ไม่ทำให้ฐานะของจำเลยเปลี่ยนเแปลงไปโดยไม่เป็นตัวแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไปได้ บริษัทตัวการไม่สามารถให้โจทก์ทำงานในต่างประเทศได้ตามปกติจนครบกำหนดตามสัญญาจ้างแรงงานโดยจัดให้โจทก์เข้าทำงานในเดือนแรกส่วนเดือนต่อๆมาโจทก์มิได้เข้าทำงานและมิได้รับค่าจ้างซึ่งมิใช่ความผิดของโจทก์จะถือว่าบริษัทตัวการได้ปฏิบัติถูกต้องครบถ้วนตามสัญญาจ้างแรงงานแล้วหาได้ไม่เมื่อบริษัทตัวการผิดสัญญาต่อโจทก์จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนในประเทศไทยต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาจ้างแรงงานแต่ลำพังตนเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา824.