คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุพจน์ นาถะพินธุ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,100 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 915/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาเช่าที่ดินเกษตรกรรมต้องแจ้งล่วงหน้า 1 ปี ก่อนสิ้นสุดสัญญา และการอุทธรณ์คำวินิจฉัย คชก.
พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯ มาตรา 56 วรรคท้ายมีความหมายว่า การที่ คชก. จังหวัดมีมติกลับคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลประการใดแล้ว ไม่เป็นเหตุที่คู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียในการเช่านาจะฟ้องคชก.ตำบล หรือคชก.จังหวัดเกี่ยวกับคำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัดดังกล่าวแต่มาตรา 57 ยังเปิดโอกาสให้มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดต่อศาลได้อีกเพื่อให้ศาลได้พิจารณาคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดต่อไปยังมิได้ยุติเป็นที่สุด ดังนั้นฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงเป็นเรื่องการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัดในเรื่องการเช่านาตามที่กฎหมายให้สิทธิไว้
ตามมาตรา 37 การบอกเลิกการเช่านาจะมีผลก็ต่อเมื่อผู้ให้เช่านาได้บอกเลิกเป็นหนังสือและต้องให้ผู้เช่านาทราบล่วงหน้าก่อนสิ้นระยะการเช่าตามมาตรา 26 (หกปี) เป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี เมื่อข้อเท็จจริงโจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์บอกเลิกการเช่านาให้จำเลยทราบเมื่อปี พ.ศ. 2524 ระยะเวลาการบอกเลิกสัญญาของโจทก์จึงมีผลครบกำหนดระยะเวลาหนึ่งปีในปี พ.ศ. 2525 แต่โจทก์จำเลยรับกันว่าโจทก์ให้จำเลยเช่าเมื่อเดือนพฤษภาคม 2518 การทำนาเริ่มทำในเดือนพฤษภาคม ดังนั้นระยะเวลาเช่านาจะสิ้นระยะเวลาครบ 6 ปีตามมาตรา 26 ในเดือนพฤษภาคม 2524 การบอกเลิกการเช่านาของโจทก์ในปี พ.ศ. 2524 จึงคำนวณได้ไม่ถึงหนึ่งปีก่อนสิ้นระยะการเช่าของจำเลยการบอกเลิกสัญญาเช่าของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยมาตรา 37 การเช่านาระหว่างโจทก์จำเลยจึงยังไม่สิ้นสุดลงตามข้อวินิจฉัยของ คชก.จังหวัด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 915/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาเช่าที่ดินเกษตรกรรม ต้องแจ้งล่วงหน้า 1 ปี ก่อนหมดสัญญา หากไม่เป็นไปตามกฎหมาย สัญญาเช่ายังไม่สิ้นสุด
พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯ มาตรา 56 วรรคท้ายมีความหมายว่าการที่ คชก.จังหวัดมีมติกลับคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลประการใดแล้วไม่เป็นเหตุที่คู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียในการเช่านาจะฟ้องคชก.ตำบล หรือคชก.จังหวัดเกี่ยวกับคำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัดดังกล่าวแต่มาตรา 57 ยังเปิดโอกาสให้มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดต่อศาลได้อีกเพื่อให้ศาลได้พิจารณาคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดต่อไปยังมิได้ยุติเป็นที่สุดดังนั้นฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงเป็นเรื่องการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัดในเรื่องการเช่านาตามที่กฎหมายให้สิทธิไว้ ตามมาตรา 37 การบอกเลิกการเช่านาจะมีผลก็ต่อเมื่อผู้ให้เช่านาได้บอกเลิกเป็นหนังสือและต้องให้ผู้เช่านาทราบล่วงหน้าก่อนสิ้นระยะการเช่าตามมาตรา 26 (หกปี) เป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปีเมื่อข้อเท็จจริงโจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์บอกเลิกการเช่านาให้จำเลยทราบเมื่อปี พ.ศ. 2524 ระยะเวลาการบอกเลิกสัญญาของโจทก์จึงมีผลครบกำหนดระยะเวลาหนึ่งปีในปี พ.ศ. 2525 แต่โจทก์จำเลยรับกันว่าโจทก์ให้จำเลยเช่าเมื่อเดือนพฤษภาคม 2518 การทำนาเริ่มทำในเดือนพฤษภาคม ดังนั้นระยะเวลาเช่านาจะสิ้นระยะเวลาครบ 6 ปีตามมาตรา 26 ในเดือนพฤษภาคม 2524 การบอกเลิกการเช่านาของโจทก์ในปี พ.ศ. 2524 จึงคำนวณได้ไม่ถึงหนึ่งปีก่อนสิ้นระยะการเช่าของจำเลยการบอกเลิกสัญญาเช่าของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยมาตรา 37 การเช่านาระหว่างโจทก์จำเลยจึงยังไม่สิ้นสุดลงตามข้อวินิจฉัยของ คชก.จังหวัด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 913/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์การฝากทรัพย์และการคืนทรัพย์ จำเลยต้องนำสืบให้ได้ความจริง
พนักงานสอบสวนไม่มีส่วนได้เสียหรือสนิทสนมกับฝ่ายใดถ้อยคำมีน้ำหนัก การที่จำเลยตอบคำถามพนักงานสอบสวนว่าจำเลยได้รับฝากทรัพย์ 7 รายการจากโจทก์ เป็นการกล่าวขึ้นโดยสมัครใจไม่มีผู้ใดแนะนำ คำพนักงานสอบสวนจึงรับฟังได้โจทก์ฟ้องว่าฝากทรัพย์ 3 รายการไว้แก่จำเลยและจำเลยยังไม่คืนให้ จำเลยให้การรับว่าโจทก์ฝากไว้จริงแต่โจทก์มาขอคืนและจำเลยได้คืนให้โจทก์ไปหมดแล้ว ดังนี้จำเลยมีหน้าที่ต้องนำสืบให้ได้ความว่าได้คืนทรัพย์แก่โจทก์ตามที่อ้าง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 763/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สถานะบุคคลล้มละลายเริ่มต้นเมื่อศาลพิพากษา การสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดไม่ทำให้ขาดจากตำแหน่งกรรมการ
คำว่า "ล้มละลาย"' ตามมาตรา 1154 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หมายถึงศาลพิพากษาให้ล้มละลายแล้วดังนั้น การที่กรรมการบริษัทจำกัดถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นบุคคลล้มละลายตามความหมายของมาตราดังกล่าว
พระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 62 บัญญัติว่าการล้มละลายของลูกหนี้เริ่มต้นมีผลตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ จึงเป็นเรื่องผลเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้และการดำเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าวโดยเฉพาะ หามีผลให้สถานะบุคคลของลูกหนี้เปลี่ยนเป็นบุคคลล้มละลายตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ไปด้วยไม่
(วรรคแรกวินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 1/2527)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 763/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สถานะบุคคลล้มละลายเริ่มต้นเมื่อศาลพิพากษาถึงที่สุด การสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดไม่ทำให้ขาดจากตำแหน่งกรรมการ
คำว่า "ล้มละลาย"' ตามมาตรา 1154 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมายถึงศาลพิพากษาให้ล้มละลายแล้วดังนั้น การที่กรรมการบริษัทจำกัดถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นบุคคลล้มละลายตามความหมายของมาตราดังกล่าว พระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 62 บัญญัติว่าการล้มละลายของลูกหนี้เริ่มต้นมีผลตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ จึงเป็นเรื่องผลเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้และการดำเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าวโดยเฉพาะ หามีผลให้สถานะบุคคลของลูกหนี้เปลี่ยนเป็นบุคคลล้มละลายตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ไปด้วยไม่ (วรรคแรกวินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 1/2527)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 657/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเบิกความในคดีอาญาเพื่อประโยชน์ตนเอง หากมีเหตุเชื่อได้ถึงความสัมพันธ์พิเศษ ย่อมไม่เป็นละเมิด
โจทก์แสดงออกต่อบุคคลทั่วไปว่าเป็นภริยาของ พ.ดังนั้นเมื่อจำเลยบังคับคดียึดทรัพย์โจทก์แล้ว พ. ร้องขัดทรัพย์ว่าเป็นของตน จำเลยจึงฟ้องโจทก์กับ พ. เป็นคดีอาญาข้อหาโกงเจ้าหนี้ และเบิกความว่า "โจทก์เป็นภริยาลับ พ.อยู่กินกันอย่างไม่เปิดเผยนานๆ ไปมาหาสู่กันครั้ง" คำเบิกความของจำเลยจึงเป็นถ้อยคำของคู่ความในกระบวนพิจารณาในศาลเพื่อประโยชน์แก่คดีของจำเลยเอง และเป็นการกระทำไปโดยสุจริต จึงไม่เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะเกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นละเมิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 657/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเบิกความต่อศาลเพื่อประโยชน์คดีตนเอง ไม่เป็นการละเมิด แม้ข้อความนั้นจะทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่นได้
โจทก์แสดงออกต่อบุคคลทั่วไปว่าเป็นภริยาของ พ. ดังนั้นเมื่อจำเลยบังคับคดียึดทรัพย์โจทก์แล้ว พ. ร้องขัดทรัพย์ว่าเป็นของตน จำเลยจึงฟ้องโจทก์กับ พ. เป็นคดีอาญาข้อหาโกงเจ้าหนี้ และเบิกความว่า "โจทก์เป็นภริยาลับ พ.อยู่กินกันอย่างไม่เปิดเผยนานๆ ไปมาหาสู่กันครั้ง"คำเบิกความของจำเลยจึงเป็นถ้อยคำของคู่ความในกระบวนพิจารณาในศาลเพื่อประโยชน์แก่คดีของจำเลยเอง และเป็นการกระทำไปโดยสุจริต จึงไม่เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะเกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นละเมิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 415/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองอาวุธปืน: ผู้ถือครองชั่วคราวไม่ใช่ผู้ครอบครอง
อาวุธปืนเป็นของ ย. บิดา ช. ซึ่ง ช. เป็นผู้เอามาและ ช. เป็นผู้ใช้อาวุธปืนนั้นยิงผู้ตาย แสดงว่า ช. เป็นผู้ครอบครองอาวุธปืนนั้นตลอดมาแม้ขณะที่เดินจากบ้านจำเลยไปที่ศาลาพักร้อนจำเลยเป็นผู้ถืออาวุธปืนนั้นแต่ก็เป็นการยึดถือไว้ชั่วคราว จำเลยกับ ช. เดินไปด้วยกัน ความครอบครองในอาวุธปืนนั้นยังคงอยู่ที่ ช. หาเปลี่ยนมาอยู่ที่จำเลยไม่ จำเลยจึงมิใช่ เป็นผู้มีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง และถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้พกพาอาวุธปืน ติดตัวไปในหมู่บ้านและทางสาธารณะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 415/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองอาวุธปืน: การถือครองชั่วคราวไม่ถือเป็นการครอบครองตามกฎหมาย
อาวุธปืนเป็นของ ย.บิดา ข. ซึ่ง ข.เป็นผู้เอามา และข.เป็นผู้ใช้อาวุธปืนนั้นยิงผู้ตาย แสดงว่า ข. เป็นผู้ครอบครองอาวุธปืนนั้นตลอดมา แม้ขณะที่เดินจากบ้านจำเลยไปที่ศาลาพักร้อนจำเลยเป็นผู้ถืออาวุธปืนนั้น แต่ก็เป็นการยึดถือไว้ชั่วคราวจำเลยกับ ข.เดินไปด้วยกัน ความครอบครองในอาวุธปืนนั้นยังคงอยู่ที่ ข. หาเปลี่ยนมาอยู่ที่จำเลยไม่ จำเลยจึงมิใช่เป็นผู้มีอาวุธปืนไว้ในความครอบครอง และถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้พกพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านและทางสาธารณะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 73/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งแยกที่ดินตามคำพิพากษาต้องโดยความตกลงร่วมกันของทั้งสองฝ่าย ศาลชอบที่จะเพิกถอนคำสั่งเรียกโฉนดหากวิธีการไม่เหมาะสม
การที่ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกที่พิพาทให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง ถ้าตกลงแบ่งไม่ได้ให้ขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันตามส่วนนั้น เห็นได้ว่าการแบ่งที่พิพาทจะกระทำได้ก็โดยตกลงกันระหว่างโจทก์จำเลย และที่ศาลชั้นต้นแจ้งผลของคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่า ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกที่พิพาทให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง ต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ก็มิได้มุ่งหมายให้จำเลยมีอำนาจแบ่งโฉนดที่พิพาทฝ่ายเดียวอันเป็นการนอกเหนือคำพิพากษาแต่อย่างใด ดังนั้น การที่จำเลยได้ดำเนินการขอแบ่งแยกที่พิพาทจนนำช่างแผนที่ไปทำการรังวัดปักหลักเขต จึงเป็นการกระทำไปตามลำพังโดยโจทก์มิได้ตกลงด้วย และเมื่อการที่ศาลชั้นต้นเคยมีคำสั่งให้โจทก์ส่งโฉนดที่พิพาทต่อศาลเพื่อส่งไปยังเจ้าพนักงานที่ดินตามที่จำเลยขอ ปรากฏภายหลังว่าไม่เหมาะสมโดยวิธีการที่โจทก์แถลงมีเหตุผลในการปฏิบัติตามคำพิพากษายิ่งกว่า ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะเพิกถอนคำสั่งนั้นได้ หาเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำไม่
of 110