พบผลลัพธ์ทั้งหมด 435 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1930/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์หลังบอกเลิกสัญญาซื้อขายและการขาดอายุความฟ้องคดี
ป. สามีโจทก์ได้ทำสัญญาซื้อที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่ามีหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วจากจำเลยโดยทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่ป. ยังค้างชำระราคาส่วนหนึ่งแก่จำเลยตามป.ที่ดินมาตรา4ทวิประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่96ข้อ2ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษสิทธิครอบครองในที่พิพาทจึงโอนไปเป็นของป. ด้วยผลของกฎหมายไม่จำต้องมอบการครอบครองกันตามป.พ.พ.มาตรา1378การที่จำเลยอยู่ในที่พิพาทต่อมาก็โดยอาศัยสิทธิของป. แต่ต่อมาเมื่อจำเลยไปขอรับเงินค่าที่ดินที่ค้างจากป. กลับถูกปฏิเสธจำเลยจึงบอกเลิกสัญญากับป. และว่าจะไม่ยอมออกจากที่พิพาทหากป.ต้องการให้ไปฟ้องเอาดังนี้แม้จะไม่เป็นผลให้สัญญาซื้อขายระหว่างป. กับจำเลยเลิกกันก็ตามแต่ก็เป็นการบอกกล่าวของจำเลยต่อป. ว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนป. ต่อไปอันเป็นการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือว่าจำเลยมิได้ยึดถือที่พิพาทแทนป.ต่อไปตามป.พ.พ.มาตรา1381การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับมรดกที่พิพาทอันเป็นการสืบสิทธิจากป. เจ้ามรดกเพิ่งนำคดีมาฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งที่ดินดังกล่าวจากจำเลยเมื่อเกินกว่าหนึ่งปีนับแต่วันที่จำเลยแย่งการครอบครองโจทก์จึงขาดสิทธิฟ้องเอาคืนที่พิพาทตามป.พ.พ.มาตรา1375.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1763/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครอง, พาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต และยิงปืนในเมือง แม้ไม่มีของกลาง ก็ลงโทษได้
คดีความผิดพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ และความผิดลหุโทษเกี่ยวกับอาวุธปืน แม้ไม่ได้อาวุธปืนและกระสุนปืนจากจำเลยเป็นของกลาง แต่ฟังได้ว่าจำเลยชักอาวุธปืนออกมายิงขึ้นฟ้า 1 นัด จำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนและไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ก็ลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนและกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนไปในหมู่บ้าน ในเมืองและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และยิงปืนในเมืองหมู่บ้าน หรือที่ชุมชนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1517/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ปิดกั้นทางสาธารณะทำให้เสียหายและไร้ประโยชน์ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 360
จำเลยปิดกั้นทางสาธารณะโดยการขุดหลุมและปักเสาไม้ลงบนถนนแล้วใช้ไม้และกิ่งไม้ขวางไว้โดยมีเจตนาไม่ให้บุคคลทั่วไปผ่านไปมา การขุดหลุมปักเสาลงบนถนนย่อมทำให้ถนนเสียหาย และการที่บุคคลทั่วไปไม่สามารถผ่านไปมาได้ ย่อมเป็นการทำให้ถนนไร้ประโยชน์ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1517/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปิดกั้นทางสาธารณะด้วยการขุดหลุมและวางสิ่งกีดขวาง เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360
จำเลยปิดกั้นทางสาธารณะโดยการขุดหลุมและปักเสาไม้ลงบนถนนแล้วใช้ไม้และกิ่งไม้ขวางไว้ได้มีเจตนาไม่ให้บุคคลทั่วไปผ่านไปมา การขุดหลุมปักเสาลงบนถนนย่อมทำให้ถนนเสียหาย และการที่บุคคลทั่วไปไม่สามารถผ่านไปมาได้ ย่อมเป็นการทำให้ถนนไร้ประโยชน์ การกระทำของจำเลย จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1436/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันคู่สัญญา แม้มีข้อพิพาทเรื่องผู้จัดการมรดก
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองตกลงร่วมกันจะชดใช้เงินให้โจทก์โดยจำเลยที่1จะออกเช็คจำเลยที่2ลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันแล้วนำเช็คมาวางศาลเพื่อให้โจทก์ถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดกของป. โจทก์ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงแล้วส่วนจำเลยทั้งสองไม่นำเช็คมาวางศาลตามที่ตกลงกันเป็นข้อความแสดงสภาพแห่งข้อหาแล้วแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องตอนหนึ่งว่าจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดทำให้โจทก์เสียหายก็ตามแต่เมื่อพิจารณาคำฟ้องรวมกันทั้งฉบับแล้วเห็นได้ว่าคำว่า"ละเมิด"ที่โจทก์กล่าวในฟ้องเป็นความเข้าใจของโจทก์เองว่าการที่จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามสัญญาเป็นการละเมิดอันเป็นการใช้ถ้อยคำผิดโจทก์แสดงอย่างแจ้งชัดว่าฟ้องจำเลยทั้งสองโดยอาศัยเหตุสัญญาคำฟ้องของโจทก์มิได้ขัดแย้งกันอันจะทำให้เกิดสับสนว่าเป็นเรื่องผิดสัญญาหรือละเมิดตามกฎหมายฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ศาลได้มีคำสั่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของป. แล้วต่อมาจำเลยที่1ได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอเป็นผู้จัดการมรดกป. เช่นกันเมื่อโจทก์ยื่นคำคัดค้านคำร้องของผู้ร้องจำเลยที่1ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอถอนคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกระบุว่าจำเลยที่1กับโจทก์ตกลงกันได้แล้วโดยจำเลยที่1ยอมจ่ายเงินให้โจทก์จำนวนหนึ่งเมื่อโจทก์ได้รับเงินแล้วโจทก์ไม่ติดใจเรียกหนี้สินหรือรับผิดหนี้สินจากกองมรดกหรือขอรับมรดกจากจำเลยที่1เมื่อโจทก์ยอมรับข้อเสนอดังกล่าวจำเลยที่1จึงถอนคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกผู้ตายโดยโจทก์จะไปจัดการขอถอนคำสั่งศาลที่ตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายคำร้องดังกล่าวเป็นข้อเสนอของจำเลยที่1เมื่อศาลสอบโจทก์อันเป็นการปฏิบัติตามป.วิ.พ.มาตรา175(1)โจทก์ไม่คัดค้านการถอนคำฟ้อง(คำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก)ของจำเลยที่1และโจทก์ลงชื่อไว้เท่ากับโจทก์สนองรับข้อเสนอของจำเลยที่1ข้อความในคำร้องนั้นจึงเป็นสัญญาที่ผูกพันโจทก์กับจำเลยที่1เมื่อสัญญาดังกล่าวตกลงระงับข้อพิพาทที่จะมีขึ้นให้เสร็จไปจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามป.พ.พ.มาตรา850.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1436/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันคู่กรณี แม้มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระเงิน
ศาลจังหวัดนครพนมมีคำสั่งตั้งให้โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของ ป. ผู้ตายและจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลจังหวัดสิงห์บุรี ตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของ ป.ผู้ตายอีก โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้าน ในระหว่างพิจารณาคดีที่จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้อง จำเลยที่ 1 ในฐานผู้ร้องได้ยื่นคำร้องลงวันที่ 10 มีนาคม 2525 ความว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงกันได้แล้วโดยจำเลยที่ 1 ยอมจ่ายเงินให้โจทก์ 150,000 บาท เมื่อโจทก์ได้รับเงินแล้วโจทก์ไม่ติดใจเรียกหนี้สินหรือรับผิดหนี้สินจากกองมรดกหรือขอรับมรดกจากจำเลยที่ 1 แต่ประการใด เมื่อโจทก์ยอมรับข้อเสนอดังกล่าวของจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 จึงขอถอนคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกผู้ตาย โดยโจทก์จะไปจัดการขอถอนคำสั่งศาลที่ตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายที่ศาลจังหวัดนครพนมและนำหลักฐานการขอถอนคำสั่งศาลมาแสดงต่อศาลจังหวัดสิงห์บุรี เพื่อขอรับเช็คที่ จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายโดยจำเลยที่ 1 จะนำเช็คมาวางศาลวันที่ 11 มีนาคม 2525 ซึ่งเช็คที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเงิน 150,000 บาทนี้ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2525 โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลังค้ำประกันร่วมรับผิดด้วยแล้ว จำเลยที่ 1 ลงชื่อในคำร้องดังกล่าว ศาลสอบโจทก์เกี่ยวกับคำร้องของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวแล้ว โจทก์ไม่คัดค้านและลงชื่อไว้ คำร้องที่จำเลยที่ 1 ยื่นดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 มีผลผูกพันโจทก์กับจำเลยที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1355/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดุลพินิจศาลในการอนุญาตเลื่อนคดี, งดสืบพยาน และประเด็นสัญญาเช่าต่างตอบแทน
การที่จะอนุญาตให้เลื่อนคดีเพราะความเจ็บป่วยตามป.วิ.พ.มาตรา40หรือไม่ก็ดีการสั่งงดสืบพยานเพราะเป็นพยานหลักฐานฟุ่มเฟือยเกินสมควรตามป.วิ.พ.มาตรา86วรรคสองหรือไม่ก็ดีเป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจสั่งตามสมควรแก่กรณีเป็นเรื่องๆไปการที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีเพราะไม่เชื่อว่าทนายจำเลยป่วยจริงเนื่องจากไม่มีใบรับรองแพทย์มาแสดงและโจทก์คัดค้านกับสั่งงดสืบพยานจำเลยเพราะเห็นว่าฟุ่มเฟือยเกินไปเนื่องจากจำเลยได้สืบพยานอย่างเดียวกันมาแล้วเป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบด้วยเหตุผลและกฎหมายแล้ว โจทก์จำเลยพิพาทกันเรื่องเช่าทรัพย์แม้คดีจะมีประเด็นเรื่องสัญญาต่างตอบแทนอันจำเลยอาจนำสืบพยานบุคคลถึงข้อตกลงอื่นที่มิได้ระบุไว้ในสัญญาเช่าได้ก็ตามแต่ก็ต้องนำสืบเท่าที่ได้ยกเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การเมื่อจำเลยให้การต่อสู้ในเรื่องนี้เฉพาะข้อตกลงเรื่องทำถนนเชื่อมกับถนนพหลโยธินเท่านั้นมิได้กล่าวอ้างถึงเงื่อนไขข้อตกลงค่าถมดิน 150,000บาทว่าเป็นการตอบแทนการเช่าที่พิพาทข้อนำสืบของจำเลยจึงนอกประเด็นไม่ชอบที่ศาลจะรับฟัง จำเลยเช่าที่พิพาทจากโจทก์เพื่อทำกิจการค้าไม้แปรรูปแล้วทำถนนในที่พิพาทใช้สำหรับรถบรรทุกไม้แปรรูปเข้าออกอันเป็นประโยชน์ในกิจการค้าไม้ของจำเลยแม้โจทก์จะได้รับประโยชน์บ้างก็ไม่ทำให้สัญญาเช่าที่พิพาทเป็นสัญญาต่างตอบแทนเป็นพิเศษยิ่งไปกว่าสัญญาเช่าธรรมดา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1245/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สำคัญผิดในนิติกรรม: ตัวบุคคลเป็นสาระสำคัญหรือไม่ พิจารณาจากเจตนาและความจำเป็นในการไถ่คืน
การแสดงเจตนาถ้าสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมย่อมเป็นโมฆะและตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรมก็อาจเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมได้ถ้าการทำนิติกรรมนั้นถือเอาตัวบุคคลเป็นสาระสำคัญแต่ในบางกรณีตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีไม่ถือว่าเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมเนื่องจากจุดประสงค์เพราะต้องการเพียงเงินจำนวนหนึ่งเท่านั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เดือดร้อนเรื่องเงินและรู้จักกับนางอ.มารดาจำเลยซึ่งมีอาชีพรับซื้อฝากที่ดินเป็นธุรกิจโจทก์ตกลงขายฝากที่ดินไว้แก่นางอ.เพราะไม่รู้จักจำเลยมาก่อนแต่นางอ.กับจำเลยได้สมคบกันฉ้อฉลทำหนังสือมอบอำนาจมรรับซื้อฝากใส่ชื่อจำเลยไว้โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการไถ่คืนในภายหลังเพราะจำเลยไม่ได้อยู่ในประเทศไทยนิติกรรมการขายฝากจึงตกเป็นโมฆะนั้นคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างให้เห็นเลยว่าเหตุใดจึงเจาะจงที่จะขายฝากไว้แก่นางอ.อันพอจะทำให้เห็นได้ว่าโจทก์มีเจตนาที่จะถือเอาตัวบุคคลที่จะรับซื้อฝากเป็นสาระสำคัญคงเห็นได้แต่เพียงว่าโจทก์ต้องการเงินจำนวนหนึ่งเท่านั้นการที่นางอ.หรือจำเลยจะเป็นผู้รับซื้อฝากก็ไม่มีผลต่างกันเพราะโจทก์ได้รับค่าขายฝากไปครบถ้วนแล้วเหตุตามคำฟ้องดังกล่าวจึงไม่ทำให้นิติกรรมขายฝากเป็นโมฆะคดีพอวินิจฉัยได้หาจำต้องฟังพยานโจทก์จำเลยอีกต่อไปไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1245/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติกรรมขายฝากไม่โมฆะ แม้ผู้รับซื้อฝากมอบอำนาจต่อบุคคลอื่น หากผู้ขายไม่ได้เจาะจงตัวบุคคลเป็นสาระสำคัญ
การแสดงเจตนาถ้าสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมย่อมเป็นโมฆะ และตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรมก็อาจเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมได้ถ้าการทำนิติกรรมนั้นถือเอาตัวบุคคลเป็นสาระสำคัญ แต่ในบางกรณีตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีไม่ถือว่าเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมเนื่องจากจุดประสงค์เพราะต้องการเพียงเงินจำนวนหนึ่งเท่านั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เดือดร้อนเรื่องเงินและรู้จักกับนาง อ.มารดาจำเลยซึ่งมีอาชีพรับซื้อฝากที่ดินเป็นธุรกิจ โจทก์ตกลงขายฝากที่ดินไว้แก่นาง อ.เพราะไม่รู้จักจำเลยมาก่อน แต่นาง อ.กับจำเลยได้สมคบกันฉ้อฉลทำหนังสือมอบอำนาจมารับซื้อฝากใส่ชื่อจำเลยไว้โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการไถ่คืนในภายหลังเพราะจำเลยไม่ได้อยู่ในประเทศไทย นิติกรรมการขายฝากจึงตกเป็นโมฆะ นั้น คำฟ้องของโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างให้เห็นเลยว่าเหตุใดจึงเจาะจงที่จะขายฝากไว้แก่นาง อ.อันพอจะทำให้เห็นได้ว่าโจทก์มีเจตนาที่จะถือเอาตัวบุคคลที่จะรับซื้อฝากเป็นสาระสำคัญ คงเห็นได้แต่เพียงว่าโจทก์ต้องการเงินจำนวนหนึ่งเท่านั้น การที่นาง อ.หรือจำเลยจะเป็นผู้รับซื้อฝากก็ไม่มีผลต่างกัน เพราะโจทก์ได้รับค่าขายฝากไปครบถ้วนแล้ว เหตุตามคำฟ้องดังกล่าวจึงไม่ทำให้นิติกรรมขายฝากเป็นโมฆะ คดีพอวินิจฉัยได้หาจำต้องฟังพยานโจทก์จำเลยอีกต่อไปไม่.
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เดือดร้อนเรื่องเงินและรู้จักกับนาง อ.มารดาจำเลยซึ่งมีอาชีพรับซื้อฝากที่ดินเป็นธุรกิจ โจทก์ตกลงขายฝากที่ดินไว้แก่นาง อ.เพราะไม่รู้จักจำเลยมาก่อน แต่นาง อ.กับจำเลยได้สมคบกันฉ้อฉลทำหนังสือมอบอำนาจมารับซื้อฝากใส่ชื่อจำเลยไว้โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการไถ่คืนในภายหลังเพราะจำเลยไม่ได้อยู่ในประเทศไทย นิติกรรมการขายฝากจึงตกเป็นโมฆะ นั้น คำฟ้องของโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างให้เห็นเลยว่าเหตุใดจึงเจาะจงที่จะขายฝากไว้แก่นาง อ.อันพอจะทำให้เห็นได้ว่าโจทก์มีเจตนาที่จะถือเอาตัวบุคคลที่จะรับซื้อฝากเป็นสาระสำคัญ คงเห็นได้แต่เพียงว่าโจทก์ต้องการเงินจำนวนหนึ่งเท่านั้น การที่นาง อ.หรือจำเลยจะเป็นผู้รับซื้อฝากก็ไม่มีผลต่างกัน เพราะโจทก์ได้รับค่าขายฝากไปครบถ้วนแล้ว เหตุตามคำฟ้องดังกล่าวจึงไม่ทำให้นิติกรรมขายฝากเป็นโมฆะ คดีพอวินิจฉัยได้หาจำต้องฟังพยานโจทก์จำเลยอีกต่อไปไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1229/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิขอทางผ่าน (ทางจำเป็น) เมื่อที่ดินถูกล้อม และคลองสาธารณะไม่สามารถใช้เป็นทางสัญจรได้
ที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ส่วนที่ดินของจำเลยอยู่ทางเหนือของที่ดินโจทก์และติดกับทางสาธารณะทางพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลยอาจใช้เป็นทางจากที่ดินของโจทก์ไปออกสู่ทางสาธารณะได้ใกล้ที่สุดทางหนึ่งแม้จะปรากฏว่าทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินโจทก์ซึ่งติดกับที่ดินอีกแปลงหนึ่งของโจทก์จะติดกับคลองสาธารณะแต่ก็ปรากฏว่าคลองดังกล่าวในฤดูฝนน้ำจะท่วมฝั่งไหลเชี่ยวมากฤดูแล้งก็แห้งติดกับคลองไม่มีประชาชนใช้สัญจรไปมาประมาณ20ปีแล้วสภาพของคลองแม้จะเป็นคลองสาธารณะก็ถือไม่ได้ว่าเป็นทางสาธารณะตามป.พ.พ.มาตรา1349กรณีถือได้ว่าที่ดินของโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อมไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะย่อมมีสิทธิขอผ่านทางพิพาทไปสู่ทางสาธารณะได้.