พบผลลัพธ์ทั้งหมด 435 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 734/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขุดหลุมในเขตถนนสาธารณะและการอ้างเหตุความจำเป็นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67
ฟ้องว่าจำเลยขุดหลุมทำให้ถนนที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์เสียหาย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หลุมที่จำเลยทั้งสองขุดอยู่ในเขตถนนสาธารณะที่โจทก์ฟ้องแล้วไม่ว่าหลุมนั้นจะอยู่ที่ไหล่ถนนฝั่งเดียวกันตามที่ปรากฏในทางพิจารณาหรือทั้งสองข้างถนนดังที่กล่าวในฟ้องก็เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษทั้งสิ้นและข้อแตกต่างดังกล่าวก็หาใช่ข้อสารสำคัญและจำเลยหลงต่อสู้ไม่เพราะจำเลยยอมรับว่าขุดหลุมตามที่โจทก์ฟ้อง แต่ต่อสู้ว่าไม่เป็นความผิดเพราะไม่ใช่ถนนสาธารณะเท่านั้น
การกระทำเพราะความจำเป็นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67 ผู้กระทำจะต้องอยู่ในที่บังคับหรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้หรือเพื่อให้ผู้กระทำหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้ แต่การขุดหลุมของจำเลยทั้งสองเป็นทางระบายน้ำจากนาที่จำเลยทำลงคลองสาธารณะเพื่อไม่ให้น้ำท่วมต้นข้าวเมื่อฝนตกมาเท่านั้น ขณะจำเลยกระทำการดังกล่าวฝนยังไม่ตก น้ำยังไม่ท่วมต้นข้าวของจำเลยจึงไม่มีภยันตรายที่ใกล้จะถึงอันจำเลยจำเป็นต้องกระทำ ทั้งเมื่อฝนตกมากและน้ำท่วมต้นข้าวของจำเลย จำเลยก็สามารถใช้เครื่องสูบน้ำสูบน้ำออกจากนาได้ การกระทำของจำเลยหาใช่ความจำเป็นตามกฎหมายไม่
การกระทำเพราะความจำเป็นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67 ผู้กระทำจะต้องอยู่ในที่บังคับหรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้หรือเพื่อให้ผู้กระทำหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้ แต่การขุดหลุมของจำเลยทั้งสองเป็นทางระบายน้ำจากนาที่จำเลยทำลงคลองสาธารณะเพื่อไม่ให้น้ำท่วมต้นข้าวเมื่อฝนตกมาเท่านั้น ขณะจำเลยกระทำการดังกล่าวฝนยังไม่ตก น้ำยังไม่ท่วมต้นข้าวของจำเลยจึงไม่มีภยันตรายที่ใกล้จะถึงอันจำเลยจำเป็นต้องกระทำ ทั้งเมื่อฝนตกมากและน้ำท่วมต้นข้าวของจำเลย จำเลยก็สามารถใช้เครื่องสูบน้ำสูบน้ำออกจากนาได้ การกระทำของจำเลยหาใช่ความจำเป็นตามกฎหมายไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 643/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาหลักฐานพยานผู้เสียหายที่ไม่สอดคล้องกัน และความน่าเชื่อถือของคำให้การในชั้นสอบสวน
คำให้การชั้นสอบสวนและบันทึกการชี้ตัวจำเลยจากภาพถ่ายในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายศาลรับฟังเป็นข้อประกอบการพิจารณาได้เพราะไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายห้ามมิให้ศาลรังฟังส่วนจะรับฟังได้เพียงใดหรือไม่สุดแล้วแต่เหตุผลของแต่ละเรื่องไป. คดีพยายามฆ่าเหตุเกิดเวลากลางวันขณะที่ผู้เสียหายขึ้นรถยนต์โดยสารประจำทางทางประตูด้านหน้าคนร้ายซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังคนขับก็ยิงผู้เสียหาย2นัดได้รับอันตรายสาหัสในชั้นสอบสวนผู้เสียหายให้การว่าเห็นหน้าคนร้ายและจำได้ชัดเจนและชี้ตัวยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายแต่ก่อนเกิดเหตุมีการขว้างปากันระหว่างผู้โดยสารที่นั่งอยู่ด้านหลังรถกับพวกที่ยืนคอยอยู่ที่ป้ายรถซึ่งน่าจะเกิดการชุลมุนวุ่นวายเพราะผู้โดยสารแย่งกันขึ้นลงและหลบหนีจากรถผู้เสียหายไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้าจำเลยมาก่อนได้เห็นคนร้ายในขณะที่ตนถูกยิงเพียงไม่ถึง30วินาทีแล้วก็เซจากรถไปที่ชี้ตัวจำเลยก็ชี้จากภาพถ่ายหลังจากเกิดเหตุแล้วถึง2เดือนในชั้นพิจารณาผู้เสียหายเบิกความว่าจำคนร้ายไม่ได้ไม่ทราบว่าคนร้ายเป็นชายหรือหญิงคำเบิกความปฏิเสธคำให้การในชั้นสอบสวนและการชี้ตัวเช่นนี้น่าจะตรงกับความจริง.พยานโจทก์นอกจากนี้คงมีแต่คำให้การในชั้นสอบสวนของส.ท.และช.กับบันทึกการชี้ตัวจำเลยของส.แต่เมื่อโจทก์ไม่ได้ตัวมาเบิกความจึงเป็นเพียงพยานบอกเล่าซึ่งจำเลยไม่มีโอกาสซักค้านแม้จำเลยจะรับสารภาพชั้นจับกุมและสอบสวนแต่ให้การต่อศาลปฏิเสธเสียแล้วพยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่พอฟังลงโทษจำเลย.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 643/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความน่าเชื่อถือพยานหลักฐาน: การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากพยานจำเลยและพยานบอกเล่าที่ไม่สามารถซักค้านได้
คำให้การชั้นสอบสวนและบันทึกการชี้ตัวจำเลยจากภาพถ่ายในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายศาลรับฟังเป็นข้อประกอบการพิจารณาได้เพราะไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายห้ามมิให้ศาลรับฟังส่วนจะรับฟังได้เพียงใดหรือไม่สุดแล้วแต่เหตุผลของแต่ละเรื่องไป คดีพยายามฆ่าเหตุเกิดเวลากลางวันขณะที่ผู้เสียหายขึ้นรถยนต์โดยสารประจำทางทางประตูด้านหน้าคนร้ายซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังคนขับก็ยิงผู้เสียหาย2นัดได้รับอันตรายสาหัสในชั้นสอบสวนผู้เสียหายให้การว่าเห็นหน้าคนร้ายและจำได้ชัดเจนและชี้ตัวยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายแต่ก่อนเกิดเหตุมีการขว้างปากันระหว่างผู้โดยสารที่นั่งอยู่ด้านหลังรถกับพวกที่ยืนคอยอยู่ที่ป้ายรถซึ่งน่าจะเกิดการชุลมุนวุ่นวายเพราะผู้โดยสารแย่งกันขึ้นลงและหลบหนีจากรถผู้เสียหายไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้าจำเลยมาก่อนได้เห็นคนร้ายในขณะที่ตนถูกยิงเพียงไม่ถึง30วินาทีแล้วก็เซจากรถไปที่ชี้ตัวจำเลยก็ชี้จากภาพถ่ายหลังจากเกิดเหตุแล้วถึง2เดือนในชั้นพิจารณาผู้เสียหายเบิกความว่าจำคนร้ายไม่ได้ไม่ทราบว่าคนร้ายเป็นชายหรือหญิงคำเบิกความปฏิเสธคำให้การในชั้นสอบสวนและการชี้ตัวเช่นนี้น่าจะตรงกับความจริงพยานโจทก์นอกจากนี้คงมีแต่คำให้การในชั้นสอบสวนของส. ท. และช. กับบันทึกการชี้ตัวจำเลยของส. แต่เมื่อโจทก์ไม่ได้ตัวมาเบิกความจึงเป็นเพียงพยานบอกเล่าซึ่งจำเลยไม่มีโอกาสซักค้านแม้จำเลยจะรับสารภาพชั้นจับกุมและสอบสวนแต่ให้การต่อศาลปฏิเสธเสียแล้วพยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่พอฟังลงโทษจำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 623/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลวินิจฉัยประเด็นนอกฟ้องได้หรือไม่ และผลของการตายของจำเลยต่อคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา
ปัญหาที่ว่าสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะเพราะสำคัญผิดในสาระสำคัญหรือไม่เมื่อศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นพิพาทไว้และโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านแต่อย่างใดศาลจะยกประเด็นข้อดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยไม่ได้เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องพิจารณาคำฟ้องว่ามีประเด็นดังกล่าวหรือไม่เพราะถ้ามีก็ถือว่าโจทก์สละประเด็นนี้แล้ว คดีอาญาศาลชั้นต้นตัดสินแล้วแต่ยังอยู่ในอายุอุทธรณ์แม้จะเป็นคดีต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงฯมาตรา22แต่โจทก์ก็อาจอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายได้การตายของจำเลยระหว่างอายุอุทธรณ์ทำให้คดีอาญาระงับไปและทำให้โจทก์หมดสิทธิอุทธรณ์เป็นเหตุให้คดีระงับไปก่อนจะถึงที่สุดจะนำข้อเท็จจริงในคดีอาญาที่ยังไม่ถึงที่สุดมารับฟังในคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญาไม่ได้จะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงใหม่ โจทก์ตกลงจะทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับอ. โจทก์ได้ไปตรวจดูที่ดินพิพาทและตรวจสอบโฉนดที่ดินที่อ. ให้ดู ซึ่งปรากฏรายการจดทะเบียนภารจำยอมไว้ด้านหลังโฉนด เมื่อโจทก์ตรวจดูที่ดินเป็นที่พอใจแล้วจึงเข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายกับอ. ดังนี้แม้ต่อมาปรากฏจากการรังวัดที่ดินนี้ว่าจำนวนที่ดินที่จะใช้ประโยชน์ได้ลดน้อยลงไปกว่าจำนวนที่แจ้งไว้ในโฉนด เพราะที่ดินมีภารจำยอมก็เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์เข้าทำสัญญาเองมิใช่เกิดจากการทำกลฉ้อฉลหลอกลวงของอ. แต่อย่างใด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 623/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลวินิจฉัยนอกประเด็นเมื่อศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นไม่ถูกต้อง และข้อเท็จจริงจากคดีอาญาที่ยังไม่ถึงที่สุดนำมาใช้ไม่ได้
โจทก์ฟ้องว่าอ.ทำกลฉ้อฉลหลอกลวงขายที่ดินให้โจทก์โดยอ้างว่าที่ดินดังกล่าวมีเนื้อที่เต็มตามโฉนดโจทก์หลงเชื่อจึงทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินดังกล่าวกับอ.ภายหลังโจทก์รังวัดที่ดินดังกล่าวได้เนื้อที่ไม่เต็มตามโฉนดโดยบางส่วนถูกตัดเป็นถนนโจทก์จึงบอกเลิกสัญญาแก่อ.ขอเรียกมัดจำคืนและเรียกค่าเสียหายประเด็นมีว่าการซื้อขายที่ดินดังกล่าวเกิดจากการหลอกลวงของอ.หรือไม่การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์สำคัญผิดในจำนวนที่ดินซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น. อ.ถูกโจทก์ฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญาข้อหาฉ้อโกงศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องคดีอยู่ระหว่างอายุอุทธรณ์อ.ถึงแก่กรรมโจทก์จึงฟ้องทายาทและผู้จัดการมรดกอ.เป็นจำเลยคดีแพ่งว่าอ.ทำกลฉ้อฉลหลอกลวงขายที่ดินให้โจทก์เรียกเงินมัดจำคืนและเรียกค่าเสียหายแม้คดีอาญาข้อหาฉ้อโกงจะต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงแต่โจทก์อาจอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายหรืออาจได้รับการรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้คดีอาญาระงับไปก่อนคดีถึงที่สุด.ดังนั้นจะนำข้อเท็จจริงในคดีอาญามารับฟังในคดีแพ่งไม่ได้ต้องฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งใหม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 623/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยนอกประเด็นในคดีแพ่งที่เกี่ยวข้องกับคดีอาญาที่ยังไม่ถึงที่สุด และการพิจารณาข้อเท็จจริงใหม่
โจทก์ฟ้องว่า อ. ทำกลฉ้อฉลหลอกลวงขายที่ดินให้โจทก์ โดยอ้างว่าที่ดินดังกล่าวมีเนื้อที่เต็มตามโฉนด โจทก์หลงเชื่อจึงทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินดังกล่าวกับ อ. ภายหลังโจทก์รังวัดที่ดินดังกล่าวได้เนื้อที่ไม่เต็มตามโฉนด โดยบางส่วนถูกตัดเป็นถนนโจทก์จึงบอกเลิกสัญญาแก่ อ. ขอเรียกมัดจำคืนและเรียกค่าเสียหาย ประเด็นมีว่าการซื้อขายที่ดินดังกล่าวเกิดจากการหลอกลวงของ อ. หรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์สำคัญผิดในจำนวนที่ดินซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
อ.ถูกโจทก์ฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญาข้อหาฉ้อโกง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คดีอยู่ระหว่างอายุอุทธรณ์ อ. ถึงแก่กรรม โจทก์จึงฟ้องทายาทและผู้จัดการมรดก อ. เป็นจำเลยคดีแพ่งว่า อ.ทำกลฉ้อฉลหลอกลวงขายที่ดินให้โจทก์เรียกเงินมัดจำคืนและเรียกค่าเสียหาย แม้คดีอาญาข้อหาฉ้อโกงจะต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง แต่โจทก์อาจอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย หรืออาจได้รับการรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ คดีอาญาระงับไปก่อนคดีถึงที่สุด. ดังนั้นจะนำข้อเท็จจริงในคดีอาญามารับฟังในคดีแพ่งไม่ได้ ต้องฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งใหม่
อ.ถูกโจทก์ฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญาข้อหาฉ้อโกง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คดีอยู่ระหว่างอายุอุทธรณ์ อ. ถึงแก่กรรม โจทก์จึงฟ้องทายาทและผู้จัดการมรดก อ. เป็นจำเลยคดีแพ่งว่า อ.ทำกลฉ้อฉลหลอกลวงขายที่ดินให้โจทก์เรียกเงินมัดจำคืนและเรียกค่าเสียหาย แม้คดีอาญาข้อหาฉ้อโกงจะต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง แต่โจทก์อาจอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย หรืออาจได้รับการรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ คดีอาญาระงับไปก่อนคดีถึงที่สุด. ดังนั้นจะนำข้อเท็จจริงในคดีอาญามารับฟังในคดีแพ่งไม่ได้ ต้องฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 340/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานมั่นคงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้ลงมือกระทำความผิดจริงจากคำให้การผู้เสียหายและพยานบุคคล
คดีพยายามฆ่าผู้อื่นเหตุเกิดในเวลากลางวันผู้เสียหายรู้จักและเคยมีสาเหตุกับจำเลยมาก่อนโจทก์มีผู้เสียหายปากเดียวเป็นประจักษ์พยานยืนยันว่าเห็นจำเลยประทับปืนยาวมาทางตนห่างเพียง15เมตรบริเวณที่เห็นจำเลยเป็นป่าละเมาะโปร่งมีหญ้าคาสูงประมาณเอวผู้เสียหายระบุชื่อจำเลยเป็นคนร้ายในวันเกิดเหตุต่อพนักงานสอบสวนทันทีโดยไม่มีเวลาคิดไตร่ตรองมาก่อนดังนี้ฟังลงโทษจำเลยได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 314/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความเพื่อเป็นหลักฐานยังไม่ถือเป็นคำร้องทุกข์ อายุความจึงยังไม่เริ่มนับ
ในคดีความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คคำแจ้งความที่ว่ามาแจ้งความร้องทุกข์เพื่อที่จะให้ดำเนินคดีแก่ผู้ต้องหาให้ถึงที่สุดแต่ในชั้นนี้ผู้แจ้งยังไม่ขอมอบคดีโดยจะขอไปติดตามทวงถามด้วยตนเองอีกถ้าได้รับการปฏเสธการใช้เงินจะกลับมามอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินการถึงที่สุด.จึงขอลงประจำวันไว้เป็นหลักฐานนั้นเห็นได้ว่าในวันที่มีการลงบันทึกประจำวันเป็นการแจ้งไว้เป็นหลักฐานเท่านั้นบันทึกดังกล่าวจึงมิใช่คำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา2(7).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 314/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความเพื่อเป็นหลักฐานไม่ถือเป็นคำร้องทุกข์ คดีจึงขาดอายุความ
ในคดีความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค คำแจ้งความที่ว่า มาแจ้งความร้องทุกข์เพื่อที่จะให้ดำเนินคดีแก่ผู้ต้องหาให้ถึงที่สุด แต่ในชั้นนี้ผู้แจ้งยังไม่ขอมอบคดี โดยจะขอไปติดตามทวงถามด้วยตนเองอีก ถ้าได้รับการปฏิเสธการใช้เงินจะกลับมามอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินการถึงที่สุด จึงขอลงประจำวันไว้เป็นหลักฐานนั้น เห็นได้ว่าในวันที่มีการลงบันทึกประจำวัน เป็นการแจ้งไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น บันทึกดังกล่าวจึงมิใช่คำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (7)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 69/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: การพาดหัวข่าวที่เป็นความเท็จ และการแก้ข่าวที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขกฎหมาย
การที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐพาดหัวข่าวว่า 'เมีย ผวจ. เต้นก๋าขู่ประธานสภา บุกโรงพัก จวกแหลก โมโหสารภาพ' เป็นข้อความแสดงให้เห็นภาพพจน์ของโจทก์แสดงกิริยากระโดดฝ่าขึ้นไปบนสถานีตำรวจทั้งที่มีข้อห้ามโดยไม่เคารพกฎเกณฑ์ข้อบังคับ และแสดงอำนาจไม่เกรงกลัวบุคคลใดเข้าไปพูดกับประธานสภาด้วยกิริยาวาจาที่แสดงอาการโมโหในลักษณะตวาดหรือคำรามด้วยถ้อยคำที่ทำให้ประธานสภากลัวว่าจะต้องได้รับอันตรายแก่กายอันเป็นกิริยาวาจาที่สุภาพชนไม่พึงทำ ทั้งยังเป็นการแสดงอำนาจฝ่าฝืนข้อห้ามข้อบังคับของทางราชการ บุกรุกขึ้นไปบนสถานที่ราชการโดยไม่มีสิทธิกระทำโดยชอบ ซึ่งข่าวนี้ไม่เป็นความจริงและเป็นการใส่ความโจทก์จึงเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์
การแก้ข่าวอันจะทำให้จำเลยไม่ต้องรับผิดและสิทธิการฟ้องคดีของโจทก์ระงับไปตามพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 41, 43 นั้น นอกจากจะต้องลงพิมพ์ในฉบับที่จะออกโฆษณาถัดไปหรือต่อจากเวลาที่ได้รับคำขอให้แก้ข่าวแล้วข้อความที่แก้นั้นจะต้องอยู่ในหน้าเดียวกับเรื่องอันเป็นเหตุให้แก้โดยมีขนาดแนว (คอลัมน์) และตัวอักษรในเนื้อเรื่องเช่นเดียวกัน คดีนี้ปรากฏว่าข้อความที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐลงพิมพ์โฆษณาหมิ่นประมาทโจทก์ ลงพาดหัวข่าวในหน้า 1 ด้วยขนาดอักษรโตที่สุดโตที่สุดในหน้าหนึ่งจำนวน 2 บรรทัด และด้วยขนาดอักษรโตปรมาณครึ่งหนึ่งของขนาดอักษรโตที่สุดดังกล่าวอีก 1 บรรทัด ส่วนข้อความที่จำเลยอ้างว่าเป็นการแก้ข่าวนั้น กลับลงพิมพ์โฆษณาในหน้า 16 ด้วยขนาดอักษรตัวเล็กเท่าตัวอักษรทั่วๆ ไปที่บรรยายเนื้อหาของเรื่องในหนังสือพิมพ์นั้น จึงเป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 3 สิทธิการฟ้องของโจทก์ทั้งทางแพ่งและทางอาญายังไม่ระงับ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษปรับจำเลยที่1 ที่ 2 คนละ 2,000 บาท สถานเดียว จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาว่าไม่ได้สมคบกับจำเลยที่ 3 กระทำผิดตามฟ้อง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
การแก้ข่าวอันจะทำให้จำเลยไม่ต้องรับผิดและสิทธิการฟ้องคดีของโจทก์ระงับไปตามพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 41, 43 นั้น นอกจากจะต้องลงพิมพ์ในฉบับที่จะออกโฆษณาถัดไปหรือต่อจากเวลาที่ได้รับคำขอให้แก้ข่าวแล้วข้อความที่แก้นั้นจะต้องอยู่ในหน้าเดียวกับเรื่องอันเป็นเหตุให้แก้โดยมีขนาดแนว (คอลัมน์) และตัวอักษรในเนื้อเรื่องเช่นเดียวกัน คดีนี้ปรากฏว่าข้อความที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐลงพิมพ์โฆษณาหมิ่นประมาทโจทก์ ลงพาดหัวข่าวในหน้า 1 ด้วยขนาดอักษรโตที่สุดโตที่สุดในหน้าหนึ่งจำนวน 2 บรรทัด และด้วยขนาดอักษรโตปรมาณครึ่งหนึ่งของขนาดอักษรโตที่สุดดังกล่าวอีก 1 บรรทัด ส่วนข้อความที่จำเลยอ้างว่าเป็นการแก้ข่าวนั้น กลับลงพิมพ์โฆษณาในหน้า 16 ด้วยขนาดอักษรตัวเล็กเท่าตัวอักษรทั่วๆ ไปที่บรรยายเนื้อหาของเรื่องในหนังสือพิมพ์นั้น จึงเป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 3 สิทธิการฟ้องของโจทก์ทั้งทางแพ่งและทางอาญายังไม่ระงับ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษปรับจำเลยที่1 ที่ 2 คนละ 2,000 บาท สถานเดียว จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาว่าไม่ได้สมคบกับจำเลยที่ 3 กระทำผิดตามฟ้อง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว