พบผลลัพธ์ทั้งหมด 435 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2429/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมคบกันหลอกลวงเล่นการพนันบนรถโดยสาร และการแบ่งหน้าที่เข้าข่ายเป็นซ่องโจร
จำเลยที่ 5 กับพวกรวม 10 คนจับกลุ่มกันวางแผนเพื่อจะใช้ตลับยาหม่องครอบเหรียญพนันบนรถยนต์โดยสารประจำทางโดยจำเลย ที่ 1 จะเป็นคนใช้ตลับยาหม่องครอบเหรียญ แล้วให้จำเลย อื่นเป็นหน้าม้าแทงจำเลยที่ 1 แจกเงินให้จำเลยอื่น ทุกคนเพื่อนำไปแทงใครได้เสียเท่าใดให้จำไว้ เมื่อเลิก เล่นแล้วจะคืนให้หมดจำเลยอื่นขึ้นไปบน รถยนต์โดยสารประจำทางส่วนจำเลยที่ 5 รออยู่ที่สถานีขนส่ง และจะขับรถมารับจำเลยอื่นระหว่างทางหลังจากเล่นการพนัน เสร็จแล้ว เมื่อรถยนต์โดยสารออกจากสถานีขนส่ง จำเลยที่ 1 กับพวกลงมือเล่นการพนันทายเหรียญแล้วชักชวนให้ผู้โดยสารมาแทงอันเป็นการสมคบกันเพื่อหลอกลวงเอาทรัพย์สินของผู้ ที่โดยสารไปกับรถยนต์โดยสารโดยทุจริตอันเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ดังนี้ แม้จำเลยที่ 5 จะไม่ได้ขึ้นไปบนรถยนต์โดยสารพร้อมกับจำเลยอื่น แต่ก็รออยู่ที่สถานีขนส่งและจะขับรถตาม มารับจำเลยอื่นเมื่อเลิกเล่นกันแล้วอันเป็นการแสดงถึง การแบ่งหน้าที่กันทำ โดยจำเลยที่ 5 ได้เข้าร่วมปรึกษา วางแผนกับจำเลยอื่นแล้วการกระทำของจำเลยที่ 5 จึงเป็น ความผิดฐานเป็นซ่องโจร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2263/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีจากสัญญาประนีประนอมยอมความ แม้มีการแย่งการครอบครอง อายุความ 10 ปีตาม ปพพ. มาตรา 168
การฟ้องคดีของโจทก์โดยอาศัยสิทธิอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยสัญญาประนีประนอมยอมความ มีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 168 แม้จำเลยจะแย่งการครอบครองที่พิพาทจากโจทก์ไปเกินกว่า 1 ปี แต่นับถึงวันฟ้องยังไม่ครบ 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงหาขาดอายุความไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2217/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายสิทธิการเช่า: การปฏิบัติตามสัญญาต้องเสร็จสิ้นพร้อมกันทั้งสองฝ่าย
สัญญาขายสิทธิการเช่า (เซ้ง) ตึกแถวรวมทั้งสิทธิการเช่า โทรศัพท์ ซึ่งผู้ซื้อวางเงินมัดจำไว้บางส่วน ที่เหลือกำหนด ชำระเป็นงวดๆ เมื่อผู้ซื้อชำระเงินงวดแรกผู้ขายต้อง โอนสิทธิการเช่าตึกแถวให้แก่ผู้ซื้อ และเมื่อผู้ซื้อชำระเงินครบทุกงวดแล้วผู้ขายพร้อมด้วยบริวารจะย้าย ออกไปจาก ตึกแถวที่ขายสิทธิการเช่าให้แก่ผู้ซื้อทันที สัญญาดังกล่าวนี้เป็นสัญญาต่างตอบแทน ผู้ซื้อและผู้ขายต่างเป็นลูกหนี้และ เจ้าหนี้ ซึ่งกันและกันในการที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาผู้ซื้อ และผู้ขายได้ ปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าวแล้วบางส่วน คือผู้ขาย ได้โอนสิทธิการเช่าตึกแถว ให้แก่ผู้ซื้อแล้วและผู้ซื้อ ชำระเงินให้ผู้ขายแล้วบางงวด ยังค้างชำระสองงวดสุดท้ายส่วนผู้ขายยังไม่ได้โอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์และยังไม่ได้ออก ไปจากตึกแถวที่ขายสิทธิการเช่าก่อนถึงกำหนดชำระเงิน สองงวดสุดท้าย ผู้ซื้อมีหนังสือบอกกล่าวให้ผู้ขายโอนโทรศัพท์ให้ภายใน 7 วัน มิฉะนั้นจะถือว่าผู้ขายผิดสัญญา จะระงับการ จ่ายเงิน ผู้ขายได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วเพิกเฉยเสีย เช่นนี้ จะถือว่าผู้ขายผิดสัญญา ยังไม่ได้ เพราะเรื่อง ที่ผู้ขายต้องโอนโทรศัพท์ให้ผู้ซื้อเมื่อไรนั้นมิได้กำหนดไว้ในสัญญาเมื่อผู้ซื้อมีหนี้ต้องชำระค่าซื้อสิทธิการเช่า ให้ผู้ขายให้เสร็จสิ้น ในวันที่กำหนดชำระเงินงวดสุดท้ายหนี้ที่ผู้ขายต้องโอนโทรศัพท์ให้ผู้ซื้อนั้น ก็ต้องกระทำให้ เสร็จสิ้นในวันดังกล่าวเช่นกัน
ประเด็นที่ว่าโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาโดยโจทก์พร้อมที่จะปฏิบัติการชำระหนี้ของตนเป็นประเด็นข้อสำคัญในคดีที่โจทก์ต้องนำสืบ แม้โจทก์จะมิได้ส่งสำเนาเอกสารเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวให้จำเลยก่อนวันสืบพยานสามวัน เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลมีอำนาจรับเอกสารนั้นไว้พิจารณาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87
ประเด็นที่ว่าโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาโดยโจทก์พร้อมที่จะปฏิบัติการชำระหนี้ของตนเป็นประเด็นข้อสำคัญในคดีที่โจทก์ต้องนำสืบ แม้โจทก์จะมิได้ส่งสำเนาเอกสารเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวให้จำเลยก่อนวันสืบพยานสามวัน เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลมีอำนาจรับเอกสารนั้นไว้พิจารณาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2215/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างเหมาปลูกสร้างอาคารและการบังคับชำระค่าจ้างเมื่อมีข้ออ้างเรื่องเวนคืนที่ดิน
จำเลยทำสัญญาซื้อที่ดินจัดสรรจาก ล. โดยวางเงินให้ ผู้ขายแล้วบางส่วนและได้ทำสัญญาจ้างเหมาโจทก์ให้ ปลูกสร้างอาคารตึกแถวสองชั้น 1 หลังบนที่ดินนั้น จำเลย ได้ชำระเงินค่าที่ดินให้ผู้ขายแล้วบางส่วนและชำระค่าจ้าง ปลูกสร้างอาคารให้โจทก์ในวันทำสัญญาส่วนหนึ่งส่วนที่ เหลือแบ่งชำระในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินงวดหนึ่งและเมื่อโจทก์ปลูกสร้างอาคารเสร็จ และจำเลยรับมอบแล้วอีกงวดหนึ่ง ระหว่างก่อสร้างได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวง ที่จะสร้างทางหลวงแผ่นดินประกาศใช้บังคับคลุมถึงที่ดินและ อาคารพิพาทแต่ข้อเท็จจริงยังไม่แน่นอนว่าที่ดินนั้นต้อง ถูกเวนคืนหรือไม่เพราะยังไม่ได้มีการสำรวจโดยเฉพาะเจาะจงและยังไม่มีข้อห้ามจำหน่ายจ่ายโอนโดยเด็ดขาดโดยให้มีการ โอนกรรมสิทธิ์ได้เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่เวนคืน อสังหาริมทรัพย์เสียก่อนดังนี้ที่ดินแปลงที่จำเลยซื้อและ จ้างเหมาโจทก์ปลูกสร้างอาคารยังอยู่ในวิสัยที่ผู้ขายจะขอจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ขายให้จำเลยได้ หาได้ตกเป็นการพ้นวิสัยที่จะโอนให้แก่กันไม่ จำเลยจึงจะยกข้ออ้างที่ว่าที่ดินและอาคารถูกเวนคืนจึงไม่ต้องชำระค่าจ้างเหมาแก่ โจทก์หาได้ไม่
ข้อสัญญาจ้างเหมาระหว่างโจทก์จำเลยที่ว่า ถ้าผู้ว่าจ้างผิดนัดไม่ชำระค่าจ้างเหมาปลูกสร้างอาคารแก่ผู้รับจ้างไม่ว่า ในงวดใด ๆ ผู้รับจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาโดยถือว่ากรรมสิทธิ์ ในอาคารเป็นของผู้รับจ้างและยินยอมให้ผู้รับจ้างเข้ารับช่วงสิทธิการซื้อที่ดินแทนโดยมิคิดค่าตอบแทนและให้ผู้รับจ้างริบเงินค่าจ้างเหมาที่ได้ชำระให้แก่ผู้รับจ้าง ไว้แล้วทั้งหมดนั้นเป็นการกำหนดค่าสินไหมทดแทนไว้ล่วงหน้า ในกรณีที่ผู้ว่าจ้างไม่ชำระสินจ้างให้ตรงตามเวลาที่กำหนดไว้ ถือเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 382 ประกอบด้วย มาตรา 379 ซึ่งถ้าสูงเกินส่วนศาลมี อำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามมาตรา 383 เมื่อ โจทก์ปลูกสร้างอาคารตามสัญญาแล้วเสร็จและจำเลยรับมอบการที่ทำจากโจทก์แล้ว ไม่ชำระค่าจ้างเหมาแก่โจทก์และโจทก์บอกเลิก สัญญามาฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากอาคารที่ สร้างขึ้นนั้นโดยถือว่ากรรมสิทธิ์ในอาคารตกเป็นของโจทก์ ตามข้อสัญญาและให้จำเลยส่งมอบอาคารดังกล่าวแก่โจทก์ใน สภาพเรียบร้อยหากส่งไม่ได้ให้ใช้เงินแทนดังนี้ ศาลย่อมพิพากษาลดเบี้ยปรับดังกล่าวเป็นให้จำเลยชำระเบี้ยปรับ เป็นเงินแก่โจทก์เท่านั้นโดยให้ยกคำขออื่นเสียได้
หมายเหตุ วรรคสองหารือในที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2528
ข้อสัญญาจ้างเหมาระหว่างโจทก์จำเลยที่ว่า ถ้าผู้ว่าจ้างผิดนัดไม่ชำระค่าจ้างเหมาปลูกสร้างอาคารแก่ผู้รับจ้างไม่ว่า ในงวดใด ๆ ผู้รับจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาโดยถือว่ากรรมสิทธิ์ ในอาคารเป็นของผู้รับจ้างและยินยอมให้ผู้รับจ้างเข้ารับช่วงสิทธิการซื้อที่ดินแทนโดยมิคิดค่าตอบแทนและให้ผู้รับจ้างริบเงินค่าจ้างเหมาที่ได้ชำระให้แก่ผู้รับจ้าง ไว้แล้วทั้งหมดนั้นเป็นการกำหนดค่าสินไหมทดแทนไว้ล่วงหน้า ในกรณีที่ผู้ว่าจ้างไม่ชำระสินจ้างให้ตรงตามเวลาที่กำหนดไว้ ถือเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 382 ประกอบด้วย มาตรา 379 ซึ่งถ้าสูงเกินส่วนศาลมี อำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามมาตรา 383 เมื่อ โจทก์ปลูกสร้างอาคารตามสัญญาแล้วเสร็จและจำเลยรับมอบการที่ทำจากโจทก์แล้ว ไม่ชำระค่าจ้างเหมาแก่โจทก์และโจทก์บอกเลิก สัญญามาฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากอาคารที่ สร้างขึ้นนั้นโดยถือว่ากรรมสิทธิ์ในอาคารตกเป็นของโจทก์ ตามข้อสัญญาและให้จำเลยส่งมอบอาคารดังกล่าวแก่โจทก์ใน สภาพเรียบร้อยหากส่งไม่ได้ให้ใช้เงินแทนดังนี้ ศาลย่อมพิพากษาลดเบี้ยปรับดังกล่าวเป็นให้จำเลยชำระเบี้ยปรับ เป็นเงินแก่โจทก์เท่านั้นโดยให้ยกคำขออื่นเสียได้
หมายเหตุ วรรคสองหารือในที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2528
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2215/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างเหมาสร้างอาคารบนที่ดินจัดสรร ที่ดินจะถูกเวนคืน เบี้ยปรับสูงเกินส่วน ศาลลดเบี้ยปรับให้เหมาะสม
จำเลยทำสัญญาซื้อที่ดินจัดสรรจาก ล. โดยวางเงินให้ ผู้ขายแล้วบางส่วนและได้ทำสัญญาจ้างเหมาโจทก์ให้ ปลูกสร้างอาคารตึกแถวสองชั้น 1 หลังบนที่ดินนั้น จำเลย ได้ชำระเงินค่าที่ดินให้ผู้ขายแล้วบางส่วนและชำระค่าจ้าง ปลูกสร้างอาคารให้โจทก์ในวันทำสัญญาส่วนหนึ่งส่วนที่ เหลือแบ่งชำระในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินงวดหนึ่งและเมื่อโจทก์ปลูกสร้างอาคารเสร็จ และจำเลยรับมอบแล้วอีก งวดหนึ่ง ระหว่างก่อสร้างได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวง ที่จะสร้างทางหลวงแผ่นดินประกาศใช้บังคับคลุมถึงที่ดินและ อาคารพิพาทแต่ข้อเท็จจริงยังไม่แน่นอนว่าที่ดินนั้นต้อง ถูกเวนคืนหรือไม่เพราะยังไม่ได้มีการสำรวจโดยเฉพาะเจาะจงและยังไม่มีข้อห้ามจำหน่ายจ่ายโอนโดยเด็ดขาดโดยให้มีการ โอนกรรมสิทธิ์ได้เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่เวนคืน อสังหาริมทรัพย์เสียก่อนดังนี้ที่ดินแปลงที่จำเลยซื้อและ จ้างเหมาโจทก์ปลูกสร้างอาคารยังอยู่ในวิสัยที่ผู้ขายจะขอจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ขายให้จำเลยได้ หาได้ตกเป็นการ พ้นวิสัยที่จะโอนให้แก่กันไม่ จำเลยจึงจะยกข้ออ้างที่ ว่าที่ดินและอาคารถูกเวนคืนจึงไม่ต้องชำระค่าจ้างเหมาแก่ โจทก์หาได้ไม่ ข้อสัญญาจ้างเหมาระหว่างโจทก์จำเลยที่ว่า ถ้าผู้ว่าจ้าง ผิดนัดไม่ชำระค่าจ้างเหมาปลูกสร้างอาคารแก่ผู้รับจ้างไม่ว่า ในงวดใด ๆผู้รับจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาโดยถือว่ากรรมสิทธิ์ ในอาคารเป็นของผู้รับจ้างและยินยอมให้ผู้รับจ้างเข้า รับช่วงสิทธิการซื้อที่ดินแทนโดยมิคิดค่าตอบแทนและให้ผู้รับจ้างริบเงินค่าจ้างเหมาที่ได้ชำระให้แก่ผู้รับจ้าง ไว้แล้วทั้งหมดนั้นเป็นการกำหนดค่าสินไหมทดแทนไว้ล่วงหน้า ในกรณีที่ผู้ว่าจ้างไม่ชำระสินจ้างให้ตรงตามเวลาที่กำหนด ไว้ ถือเป็นเบี้ยปรับตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 382 ประกอบด้วย มาตรา 379 ซึ่งถ้าสูงเกินส่วนศาลมี อำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตาม มาตรา 383 เมื่อ โจทก์ปลูกสร้างอาคารตามสัญญาแล้วเสร็จและจำเลยรับมอบการที่ทำจากโจทก์แล้วไม่ชำระค่าจ้างเหมาแก่โจทก์และโจทก์บอกเลิก สัญญามาฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากอาคารที่ สร้างขึ้นนั้นโดยถือว่ากรรมสิทธิ์ในอาคารตกเป็นของโจทก์ ตามข้อสัญญา และให้จำเลยส่งมอบอาคารดังกล่าวแก่โจทก์ใน สภาพเรียบร้อย หากส่งไม่ได้ให้ใช้เงินแทนดังนี้ ศาลย่อมพิพากษาลดเบี้ยปรับดังกล่าวเป็นให้จำเลยชำระเบี้ยปรับ เป็นเงินแก่โจทก์เท่านั้นโดยให้ยกคำขออื่นเสียได้ หมายเหตุ วรรคสองหารือในที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2528
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2051/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยเหตุฉ้อฉล จำเลยมีสิทธิสืบพยานเพื่อพิสูจน์
โจทก์ในฐานะผู้ทรงเช็คฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลยผู้สั่งจ่าย จำเลยให้การต่อสู้เป็นประเด็นสำคัญว่า บริษัท ม. ผู้โอนเช็คให้โจทก์ได้นำเช็คพิพาทไปขึ้นเงินแล้วธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน บริษัท ม.จึงได้ให้ ก. ลูกหนี้ผู้นำเช็คพิพาทมาชำระหนี้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้แล้วโอนเช็คให้โจทก์ โจทก์รับโอนเช็คพิพาทจากบริษัท ม. โดยคบคิดกันฉ้อฉล โดยโจทก์กับบริษัท ม. ไม่มีมูลหนี้ต่อกัน โจทก์รับสมอ้างนำเช็คมาฟ้องเรียกเงินจากจำเลย ดังนี้เป็นการให้การต่อสู้ว่าโจทก์มิใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบเพราะการโอนมีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล จึงเป็นคำให้การที่แสดงโดยชัดแจ้งถึงข้อต่อสู้ของจำเลยรวมทั้งเหตุแห่งการนั้น ต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จำเลยจึงมีสิทธินำสืบตามข้อต่อสู้ดังกล่าวได้ ไม่ชอบที่ศาลจะสั่งงดสืบพยานแล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2012/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งไม่เคลือบคลุม สัญญาซื้อขายที่ดิน สิทธิครอบครอง การส่งมอบที่ดิน และหน้าที่ชำระเงิน
การที่จะพิจารณาว่าฟ้องแย้งเคลือบคลุมหรือไม่ต้องพิจารณาคำให้การและฟ้องแย้งทั้งฉบับรวมกัน(คำให้การและฟ้องแย้งที่จำเลยขอให้บังคับโจทก์ปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายที่ดินที่ถือได้ว่ามิได้ขัดกันหรือแย้งกันเป็นสองฝักสองฝ่าย เป็นฟ้องแย้งที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ประกอบด้วยมาตรา 177)
โจทก์ผู้ซื้อทำสัญญาซื้อขายและมัดจำที่ดินซึ่งมีสภาพเป็นป่าที่จำเลยผู้ขายใช้สิทธิครอบครองอยู่เพื่อมาบุกเบิกให้เตียนใช้ทำประโยชน์ได้เอาเองทั้งนี้โดยไม่มีเจตนาที่จะไปทำการโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อได้มีการตรวจสอบการกั้นเขตและวัดอาณาเขตที่ดินดังกล่าวทั้งสี่ด้านและคำนวณเนื้อที่ได้ตามที่ตกลงกันและจำเลยได้ส่งมอบที่ดินที่ซื้อขายให้โจทก์แล้ว แม้ต่อมาได้มีผู้อื่นบุกรุกเข้าทำประโยชน์ในที่ดินนั้นทั้งแปลงจนโจทก์ไม่สามารถเข้าครอบครองถากถางให้แล้วเสร็จได้ตามเงื่อนไขการชำระเงินในสัญญาที่ว่าเมื่อโจทก์ถากถางแล้วเสร็จจะได้มาจ่ายเงินให้ครบตามสัญญาให้กับจำเลยก็ตาม ย่อมเป็นความผิดของโจทก์เองที่ไม่รีบเข้าถากถางครอบครองเสียปล่อยปละละเลยจนเสียสิทธิไปอันไม่ใช่ความผิดของจำเลยโจทก์จึงต้องชำระเงินส่วนที่เหลือตามสัญญาให้แก่จำเลย
โจทก์ผู้ซื้อทำสัญญาซื้อขายและมัดจำที่ดินซึ่งมีสภาพเป็นป่าที่จำเลยผู้ขายใช้สิทธิครอบครองอยู่เพื่อมาบุกเบิกให้เตียนใช้ทำประโยชน์ได้เอาเองทั้งนี้โดยไม่มีเจตนาที่จะไปทำการโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อได้มีการตรวจสอบการกั้นเขตและวัดอาณาเขตที่ดินดังกล่าวทั้งสี่ด้านและคำนวณเนื้อที่ได้ตามที่ตกลงกันและจำเลยได้ส่งมอบที่ดินที่ซื้อขายให้โจทก์แล้ว แม้ต่อมาได้มีผู้อื่นบุกรุกเข้าทำประโยชน์ในที่ดินนั้นทั้งแปลงจนโจทก์ไม่สามารถเข้าครอบครองถากถางให้แล้วเสร็จได้ตามเงื่อนไขการชำระเงินในสัญญาที่ว่าเมื่อโจทก์ถากถางแล้วเสร็จจะได้มาจ่ายเงินให้ครบตามสัญญาให้กับจำเลยก็ตาม ย่อมเป็นความผิดของโจทก์เองที่ไม่รีบเข้าถากถางครอบครองเสียปล่อยปละละเลยจนเสียสิทธิไปอันไม่ใช่ความผิดของจำเลยโจทก์จึงต้องชำระเงินส่วนที่เหลือตามสัญญาให้แก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2012/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งไม่เคลือบคลุม สัญญาซื้อขายที่ดิน สิทธิครอบครอง การส่งมอบที่ดิน และหน้าที่ชำระหนี้
การที่จะพิจารณาว่าฟ้องแย้งเคลือบคลุมหรือไม่ต้องพิจารณาคำให้การและฟ้องแย้งทั้งฉบับรวมกัน(คำให้การและฟ้องแย้งที่จำเลยขอให้บังคับโจทก์ปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายที่ดินที่ถือได้ว่ามิได้ขัดกันหรือแย้งกันเป็นสองฝักสองฝ่าย เป็นฟ้องแย้งที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ประกอบด้วยมาตรา177) โจทก์ผู้ซื้อทำสัญญาซื้อขายและมัดจำที่ดินซึ่งมีสภาพเป็นป่าที่จำเลยผู้ขายใช้สิทธิครอบครองอยู่เพื่อมาบุกเบิกให้เตียนใช้ทำประโยชน์ได้เอาเองทั้งนี้โดยไม่มีเจตนาที่จะไปทำการโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อได้มีการตรวจสอบการกั้นเขตและวัดอาณาเขตที่ดินดังกล่าวทั้งสี่ด้านและคำนวณเนื้อที่ได้ตามที่ตกลงกันและจำเลยได้ส่งมอบที่ดินที่ซื้อขายให้โจทก์แล้ว แม้ต่อมาได้มีผู้อื่นบุกรุกเข้าทำประโยชน์ในที่ดินนั้นทั้งแปลงจนโจทก์ไม่สามารถเข้าครอบครองถากถางให้แล้วเสร็จได้ตามเงื่อนไขการชำระเงินในสัญญาที่ว่าเมื่อโจทก์ถากถางแล้วเสร็จจะได้มาจ่ายเงินให้ครบตามสัญญาให้กับจำเลยก็ตาม ย่อมเป็นความผิดของโจทก์เองที่ไม่รีบเข้าถากถางครอบครองเสียปล่อยปละละเลยจนเสียสิทธิไปอันไม่ใช่ความผิดของจำเลยโจทก์จึงต้องชำระเงินส่วนที่เหลือตามสัญญาให้แก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1852/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมไม่ได้มาตรฐาน จำเลยต้องพิสูจน์ได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นต้องอยู่ภายใต้มาตรฐานตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตอันเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้รับใบอนุญาตให้ทำมิได้ทำให้เป็นไปตามมาตรฐานตามพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมฯเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเหล็กเส้นของกลางไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่ผู้รับใบอนุญาตให้ทำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเป็นผู้ผลิตแต่ผลิตโดยบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ผลิตเหล็กเส้นธรรมดาข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1852/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมีผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ต้องพิสูจน์ว่าผลิตภัณฑ์นั้นต้องอยู่ภายใต้การควบคุมตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตอันเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้รับใบอนุญาตให้ทำมิได้ทำให้เป็นไปตามมาตรฐานตามพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมฯเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเหล็กเส้นของกลางไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่ผู้รับใบอนุญาตให้ทำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเป็นผู้ผลิต แต่ผลิตโดยบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ผลิตเหล็กเส้นธรรมดา ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง