พบผลลัพธ์ทั้งหมด 435 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1468/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าตู้สินค้า: การครอบครองสถานที่ตั้งตู้ยังเป็นของผู้ให้เช่า การเคลื่อนย้ายตู้ไม่เป็นความผิดบุกรุก
สัญญาเช่าตู้ใส่สินค้าระบุบริเวณที่ตั้งตู้ก็เพื่อให้ทราบว่าเช่าตู้ใบไหน ตั้งอยู่ที่ใด หาใช่เป็นการเช่าสถานที่ตั้งตู้ไม่สถานที่ตั้งตู้คงอยู่ในครอบครองของจำเลยผู้ให้เช่า จำเลยมีอำนาจเข้าไปหรือใช้ให้ผู้อื่นเข้าไปในสถานที่ตั้งตู้โดยไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก และการเคลื่อนย้ายตู้ใส่สินค้าซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ ก็ไม่อาจเป็นความผิดฐานบุกรุกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1446/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยฎีกาเฉพาะข้อหาลักทรัพย์ ข้อหาอื่นยุติ ศาลฎีกาไม่พบหลักฐานเพียงพอ ฟังลงโทษฐานลักทรัพย์ไม่ได้
คดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจรฐานใดฐานหนึ่ง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ทุกข้อหา โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลงโทษ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ในข้อหาลักทรัพย์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา โดยโจทก์มิได้ฎีกา กรณีจึงต้องถือว่าข้อหาความผิดฐานรับของโจรยุติไปแล้วตั้งแต่ศาลอุทธรณ์ในชั้นฎีกา คดีคงมีปัญหาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำผิดฐานลักทรัพย์โจทก์หรือไม่เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1446/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยฎีกาเฉพาะคดีลักทรัพย์ ข้อหา รับของโจร ยุติแล้ว ศาลฎีกา ยกฟ้องฐานลักทรัพย์เนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ
คดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจรฐานใดฐานหนึ่ง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ทุกข้อหา โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลงโทษ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ในข้อหาลักทรัพย์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา โดยโจทก์มิได้ฎีกา กรณีจึงต้องถือว่า ข้อหาความผิดฐานรับของโจรยุติไปแล้วตั้งแต่ศาลอุทธรณ์ในชั้นฎีกาคดีคงมีปัญหาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำผิดฐานลักทรัพย์โจทก์หรือไม่เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1435/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแยกกันอยู่โดยความสมัครใจ ไม่ถือเป็นการละทิ้งร้างเพื่อเหตุหย่า
โจทก์จำเลยซึ่งเป็นสามีภรรยากันทำบันทึกต่อกันในฉบับแรกมีข้อความว่า 'โจทก์จำเลยประสงค์แยกกันอยู่ โดยไม่ได้จดทะเบียนหย่าขาดจากกัน ' และในฉบับหลังมีข้อความว่า'ประสงค์จะแยกกันอยู่เงื่อนไขการหย่ายังไม่พูดถึง'ดังนี้ จะถือว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปฝ่ายเดียวหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1277/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรถไฟฯ ฟ้องค่าเสียหายจากการบุกรุกต่อเนื่อง ศาลรับฟังอายุความนับจากวันฟ้องได้
การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายและระบุชื่อกฎหมายไว้ด้วย เป็นข้อที่ศาลจะรับรู้เอง
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยบุกรุกอยู่ในที่พิพาทต่อเนื่องตลอดมาคดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายย้อนหลังไป 1 ปีนับแต่วันฟ้อง
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยบุกรุกอยู่ในที่พิพาทต่อเนื่องตลอดมาคดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายย้อนหลังไป 1 ปีนับแต่วันฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1196/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งรับ/ไม่รับคำให้การเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ต้องห้ามอุทธรณ์จนกว่าคดีจะถึงที่สุด
คำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ต้องห้ามอุทธรณ์คำสั่งนั้นในขณะที่คดียังอยู่ระหว่างพิจารณาตาม มาตรา 226(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1188/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางอาญาในคดีปล้นทรัพย์โดยใช้ปืน ยิงผู้เสียหาย การพิสูจน์เจตนาและความร่วมมือ
จำเลยกับพวกรวม 3 คน เดินตามผู้เสียหายไป แล้วจำเลยยืนขวางผู้เสียหายขณะ บ. พวกจำเลยใช้ปืนขู่บังคับเอาทรัพย์จากผู้เสียหาย ทั้งยังบอกผู้เสียหายให้ส่งทรัพย์ให้ บ. เมื่อจำเลยไม่รู้มาก่อนว่า บ. มีอาวุธปืนติดตัวและจะใช้ในการปล้น การที่ บ. แย่งสายสร้อยไปจากมือผู้เสียหายได้แล้วจึงยิง เป็นพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นในทันใดนั้นเอง จำเลยไม่รู้มาก่อนว่า บ. มีเจตนาจะฆ่าผู้เสียหายดังนี้จำเลยไม่มีความผิดฐานร่วมยิงผู้เสียหายด้วย คงมีความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิงเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1150/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขบทบัญญัติกฎหมายอาญาเกี่ยวกับโทษจำคุก และการพิจารณาโทษแก่จำเลยตามกฎหมายใหม่
เมื่อคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา มี พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2526 ยกเลิกมาตรา 91 ให้ใช้ข้อความใหม่แทนว่า ให้ศาลลงโทษผู้กระทำ ความผิด ทุกกระทงความผิด แต่ต้องไม่เกิน 50 ปีสำหรับกรณี ความผิดกระทง ที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกิน 10 ปีขึ้นไป เว้นแต่กรณี ศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิต อันเป็น กฎหมายที่ใช้ภายหลังการกระทำ ความผิดที่ แตกต่างกับกฎหมาย ที่ใช้ในขณะกระทำความผิด และเป็น คุณแก่ จำเลยทุกคน ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ที่มิได้ฎีกาด้วย เมื่อศาลล่างพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ที่ 3 คนละ 51 ปี ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นให้ จำคุกคนละ 50 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1119/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญชาติไทย: การพิสูจน์สถานะบุคคล การถอนสัญชาติ และผลกระทบต่อผู้เกิดจากมารดาคนญวนอพยพ
ฟ้องอ้างว่าโจทก์มีสัญชาติไทยเพราะเกิดในราชอาณาจักรไทยแล้วถูกทางราชการตำรวจภูธรอำเภอท่าอุเทนซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยบังคับให้โจทก์ทำบัตรประจำตัวคนญวนอพยพ ดังนี้เป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ในฐานะเป็นคนมีสัญชาติไทยตามกฎหมายแพ่ง โจทก์มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55
โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 ซึ่งได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตาม พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2508 มาตรา 7(3) เกิดจากมารดาคือโจทก์ที่ 1 เป็นคนญวนอพยพได้รับอนุญาตให้เข้าอยู่ในราชอาณาจักรไทยเพียงชั่วคราว ส่วนบิดาไม่ได้จดทะเบียนสมรสฉะนั้นโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 จึงถูกถอนสัญชาติไทยแล้วตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ข้อ 1
โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 ซึ่งได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตาม พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2508 มาตรา 7(3) เกิดจากมารดาคือโจทก์ที่ 1 เป็นคนญวนอพยพได้รับอนุญาตให้เข้าอยู่ในราชอาณาจักรไทยเพียงชั่วคราว ส่วนบิดาไม่ได้จดทะเบียนสมรสฉะนั้นโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 จึงถูกถอนสัญชาติไทยแล้วตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ข้อ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1046/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้กฎหมายอาคารย้อนหลังกับผู้รับโอนที่ดิน: อำนาจฟ้องรื้อถอนอาคารผิดกฎหมาย
จำเลยที่ 2 ปลูกสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตแล้วไม่รื้อถอนตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นต่อมาจำเลยที่ 2 โอนขายที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 ในขณะที่อยู่ระหว่างการใช้พระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคารพุทธศักราช 2479ซึ่งตามมาตรา 11ทวิ โจทก์ไม่มีอำนาจสั่งให้จำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ใช่ผู้ปลูกสร้างอาคารตามมาตรา11 รื้อถอนอาคารพิพาทได้แม้ต่อมากฎหมายนี้จะถูกยกเลิกและใช้พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 แทนซึ่งมาตรา 40 ประกอบด้วยมาตรา 42 ให้อำนาจโจทก์สั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองรื้อถอนอาคารนั้นได้ก็จะนำมาใช้กับจำเลยที่ 1 อันเป็นการใช้กฎหมายย้อนหลังที่มีผลเสียหายแก่จำเลยที่ 1ซึ่งมิได้เป็นผู้ปลูกสร้างอาคารพิพาทไม่ได้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 1รื้อถอนอาคารพิพาท