พบผลลัพธ์ทั้งหมด 487 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3049/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายกับข้อตกลงพิเศษ ไม่ถือเป็นนายหน้า/ตัวแทน
โจทก์ซื้อกระจกจากบริษัท ก. แล้วขายต่อไปให้บริษัทม. อีกต่อหนึ่ง ไม่ปรากฏว่าโจทก์เป็นผู้ทำการชี้ช่องหรือจัดการให้บริษัท ก. ได้เข้าทำสัญญากับผู้ใด หรือโจทก์ได้ขายกระจกแทนบริษัท ก.และหนังสือสัญญาระหว่างโจทก์ กับบริษัท ก. ก็ระบุไว้ด้วยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายไม่ใช่เป็นความสัมพันธ์ในทางตัวการตัวแทนแต่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย โจทก์จึงมิได้เป็นนายหน้าหรือตัวแทนของบริษัท ก. การที่โจทก์ตกลงให้บริษัท ก. มีส่วนกำหนดตัวผู้ซื้อกระจกต่อจากโจทก์กับมีส่วนในการกำหนดราคาที่โจทก์จะขายต่อไป และโจทก์จะสั่งซื้อกระจกต่อเมื่อมีผู้สั่งกระจกจากโจทก์ ตลอดจนบริษัท ก. ส่งกระจกที่โจทก์สั่งซื้อตรงไปยังลูกค้าของโจทก์ หาเป็นสาระสำคัญทำให้โจทก์สิ้นสภาพจากการเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย กลายเป็นนายหน้าหรือ ตัวแทนไปแต่อย่างใดไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3049/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายกับข้อตกลงพิเศษ ไม่ถือเป็นนายหน้าหรือตัวแทน
โจทก์ซื้อกระจกจากบริษัท ก. แล้วขายต่อไปให้บริษัท ม. อีกต่อหนึ่ง ไม่ปรากฏว่าโจทก์เป็นผู้ทำการชี้ช่องหรือจัดการให้บริษัท ก.ได้เข้าทำสัญญากับผู้ใด หรือโจทก์ได้ขายกระจกแทนบริษัท ก.และหนังสือสัญญาระหว่างโจทก์ กับบริษัท ก. ก็ระบุไว้ด้วยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายไม่ใช่เป็นความสัมพันธ์ในทางตัวการตัวแทนแต่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย โจทก์จึงมิได้เป็นนายหน้าหรือตัวแทนของบริษัท ก.
การที่โจทก์ตกลงให้บริษัท ก. มีส่วนกำหนดตัวผู้ซื้อกระจกต่อจากโจทก์กับมีส่วนในการกำหนดราคาที่โจทก์จะขายต่อไปและโจทก์จะสั่งซื้อกระจกต่อเมื่อมีผู้สั่งกระจกจากโจทก์ตลอดจนบริษัท ก. ส่งกระจกที่โจทก์สั่งซื้อตรงไปยังลูกค้าของโจทก์ หาเป็นสาระสำคัญทำให้โจทก์สิ้นสภาพจากการเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย กลายเป็นนายหน้าหรือ ตัวแทนไปแต่อย่างใดไม่
การที่โจทก์ตกลงให้บริษัท ก. มีส่วนกำหนดตัวผู้ซื้อกระจกต่อจากโจทก์กับมีส่วนในการกำหนดราคาที่โจทก์จะขายต่อไปและโจทก์จะสั่งซื้อกระจกต่อเมื่อมีผู้สั่งกระจกจากโจทก์ตลอดจนบริษัท ก. ส่งกระจกที่โจทก์สั่งซื้อตรงไปยังลูกค้าของโจทก์ หาเป็นสาระสำคัญทำให้โจทก์สิ้นสภาพจากการเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย กลายเป็นนายหน้าหรือ ตัวแทนไปแต่อย่างใดไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3021/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดบังคับคดีและการเสนอเงื่อนไขใหม่ ศาลมีอำนาจดุลพินิจในการสั่งเปลี่ยนแปลงได้
ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้โจทก์ตามคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 1 ได้ยื่นฟ้องโจทก์เป็นคดีอีกเรื่องหนึ่งหากเป็นฝ่ายชนะคดีก็จะไม่ต้องมีการบังคับคดี เพราะสามารถหักกลบลบหนี้กันได้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 1 แล้ว มีคำสั่งว่า การขอให้งดการบังคับคดีของจำเลยที่ 1 มีเหตุผลในการที่จะได้หักกลบลบหนี้ แม้ไม่อาจหักกลบลบหนี้กันได้ความเสียหายของโจทก์ไม่น่าจะมี เพราะฐานะของจำเลยที่ 1 เป็นส่วนราชการจึงให้งดการบังคับคดีไว้จนกว่าศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น เช่นนี้คำสั่งดังกล่าวเป็นเรื่องที่ศาลเห็นสมควรให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนอันเป็นดุลพินิจของศาลที่จะสั่งได้ หาใช่การสั่งให้งดการบังคับคดีตามมาตรา 293 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งไม่เพราะกรณีที่ศาลจะสั่งงดการบังคับคดีตามบทมาตราดังกล่าวได้ต้องปรากฏว่าได้มีการบังคับคดีตามคำพิพากษาอันจะต้องมีการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินของจำเลยโดยวิธีอื่นแต่กรณีนี้ศาลชั้นต้นยังไม่ได้ออกหมายบังคับคดีคำสั่งของศาลชั้นต้นข้างต้น เป็นการสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ตาม มาตรา 292 (2) และแม้โจทก์จะไม่อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวแต่ได้ยื่นคำร้องเสนอเงื่อนไขขึ้นมาใหม่เพื่อขอให้ศาลชั้นต้นยกเลิกคำสั่งงดการบังคับคดีนั้นเสีย ศาลก็อาจใช้ดุลพินิจสั่งใหม่ได้ตามที่เห็นสมควร และคู่ความมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งใหม่นั้นได้ภายใต้บทบัญญัติแห่งกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3021/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดบังคับคดีและการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขบังคับคดี: ศาลมีดุลพินิจในการพิจารณาหักกลบลบหนี้และวิธีการบังคับคดี
ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้โจทก์ตามคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 1 ได้ยื่นฟ้องโจทก์เป็นคดีอีกเรื่องหนึ่งหากเป็นฝ่ายชนะคดีก็จะไม่ต้องมีการบังคับคดี เพราะสามารถหักกลบลบหนี้กันได้ ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 1 แล้ว มีคำสั่งว่า การขอให้งดการบังคับคดีของจำเลยที่ 1 มีเหตุผลในการที่จะได้หักกลบลบหนี้ แม้ไม่อาจหักกลบลบหนี้กันได้ความเสียหายของโจทก์ไม่น่าจะมี เพราะฐานะของจำเลยที่ 1 เป็นส่วนราชการ จึงให้งดการบังคับคดีไว้จนกว่าศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น เช่นนี้ คำสั่งดังกล่าวเป็นเรื่องที่ศาลเห็นสมควรให้งดการบังคับคดีไว้ก่อน อันเป็นดุลพินิจของศาลที่จะสั่งได้ หาใช่การสั่งให้งดการบังคับคดีตามมาตรา 293 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งไม่ เพราะกรณีที่ศาลจะสั่งงดการบังคับคดีตามบทมาตราดังกล่าวได้ ต้องปรากฏว่าได้มีการบังคับคดีตามคำพิพากษา อันจะต้องมีการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินของจำเลยโดยวิธีอื่นแต่กรณีนี้ศาลชั้นต้นยังไม่ได้ออกหมายบังคับคดี คำสั่งของศาลชั้นต้นข้างต้น เป็นการสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ตาม มาตรา 292(2) และแม้โจทก์จะไม่อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว แต่ได้ยื่นคำร้องเสนอเงื่อนไขขึ้นมาใหม่เพื่อขอให้ศาลชั้นต้นยกเลิกคำสั่งงดการบังคับคดีนั้นเสีย ศาลก็อาจใช้ดุลพินิจสั่งใหม่ได้ตามที่เห็นสมควร และคู่ความมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งใหม่นั้นได้ภายใต้บทบัญญัติแห่งกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3018/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระบุพยานเพิ่มเติมหลังสืบพยานโจทก์ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขมาตรา 88 วรรคท้าย และมีเหตุสมควร หากไม่ปฏิบัติต้องห้ามรับฟัง
หลังจากศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์เสร็จ จำเลยยื่นคำแถลงขอระบุพยานเพิ่มเติมโดยไม่ได้ยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อขออนุญาตอ้างพยานหลักฐานเช่นว่านั้นโดยอ้างเหตุอันสมควรดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88วรรคท้าย โจทก์คัดค้านว่าเป็นการเอาเปรียบโจทก์ ดังนี้แม้ศาลชั้นต้นจะอนุญาตและสืบพยานดังกล่าวมาแล้วก็ย่อมต้องห้ามไม่ให้รับฟัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3008/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ การเบิกความเท็จเกี่ยวกับเช็ค และผลกระทบต่อความรับผิด
ข้อที่จำเลยเบิกความในวันทำการไต่สวนชั้นบังคับคดีว่าไม่เคย เป็นผู้ทรงเช็คฉบับเลขที่ 135887และทราบว่าขณะนี้ ข. ได้ฟ้องโจทก์เพื่อให้ชำระเงินตามเช็คฉบับนั้น จำเลยจึงไม่สามารถนำมามอบคืนให้โจทก์ ซึ่งในข้อที่ ข.ฟ้องโจทก์เพื่อให้ชำระเงินตามเช็คก็เป็นความจริงเมื่อตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้ก็มิได้ระบุว่าจำเลยจะต้องส่งมอบเช็ค 3 ฉบับที่จำเลยเป็นผู้ทรง เพียงแต่มีข้อความระบุว่าจำเลยจะต้องคืนเช็ค 3 ฉบับให้แก่โจทก์การที่จำเลยจะเป็นผู้ทรงหรือเคยเป็นผู้ทรงเช็คฉบับดังกล่าวหรือไม่ จึงไม่ใช่ข้อสำคัญในคดีซึ่งจะมีผลให้จำเลยพ้นความรับผิดไม่ต้องส่งมอบเช็คฉบับนั้นให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3008/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบิกความเท็จเกี่ยวกับเช็คและการปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ไม่เป็นเหตุให้พ้นความรับผิด
ข้อที่จำเลยเบิกความในวันทำการไต่สวนชั้นบังคับคดีว่าไม่เคย เป็นผู้ทรงเช็คฉบับเลขที่ 135887 และทราบว่าขณะนี้ ข. ได้ฟ้องโจทก์เพื่อให้ชำระเงินตามเช็คฉบับนั้นจำเลยจึงไม่สามารถนำมามอบคืนให้โจทก์ ซึ่งในข้อที่ ข. ฟ้องโจทก์เพื่อให้ชำระเงินตามเช็คก็เป็นความจริงเมื่อตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้ก็มิได้ระบุว่าจำเลยจะต้องส่งมอบเช็ค 3 ฉบับที่จำเลยเป็นผู้ทรงเพียงแต่มีข้อความระบุว่าจำเลยจะต้องคืนเช็ค 3 ฉบับให้แก่โจทก์การที่จำเลยจะเป็นผู้ทรงหรือเคยเป็นผู้ทรงเช็คฉบับดังกล่าว หรือไม่จึงไม่ใช่ข้อสำคัญในคดีซึ่งจะมีผลให้จำเลยพ้นความรับผิดไม่ต้องส่งมอบเช็คฉบับนั้นให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2974/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บัญชีที่จัดทำเพื่อรายงานสถานะทางการเงินต่อรัฐมนตรี ไม่ถือเป็นบัญชีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
จำเลยทั้งห้าเป็นคณะกรรมการควบคุมบริษัท ร. ตามความในมาตรา 57,59 แห่ง พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุนฯ ให้มีอำนาจหน้าที่ดำเนินกิจการของบริษัทได้ทุกประการ เมื่อจำเลยได้เข้าทำการตรวจสอบฐานะการเงินและการดำเนินงานของบริษัทแล้ว จึงได้ทำรายงานเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งมี บัญชีทรัพย์สินหนี้สินของบริษัทรวมอยู่ด้วย บัญชีที่ทำขึ้นเพื่อรายงานกิจการและสถานะทางการเงินของบริษัทดังกล่าวนั้น หาใช่บัญชีตามความมุ่งหมายของ มาตรา 1206 แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ การกระทำของจำเลยทั้งห้าจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนฯ มาตรา 42
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2913-2915/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งความเท็จเกี่ยวกับเหตุยึดรถ และความผิดฐานแจ้งความเท็จเพื่อสนับสนุนการกล่าวหาเจ้าพนักงาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 172 จำคุก 3 เดือนศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 172,174 วรรคสอง และ 83 ให้จำคุก 3 เดือนเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 78 ให้อำนาจการยึดรถแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ไว้ 2 กรณี คือ ผู้ขับขี่หลบหนี หรือไม่แสดงตนว่าเป็นผู้ขับขี่กรณี ดังกล่าวพนักงานเจ้าหน้าที่หาจำต้องติดตามยึดรถในทันทีที่เกิดเหตุไม่ดังนั้นเมื่อมีการหลบหนีหรือหาตัวไม่พบพนักงานเจ้าหน้าที่ก็มีอำนาจติดตามยึดรถในเวลาต่อมาได้ จำเลยที่ 1 แจ้งความอันเป็นเท็จแก่พนักงานสอบสวนว่าจำเลยที่ 1 มีความเห็นว่าการกระทำของร้อยตำรวจเอก ก.กับพวกรวม 3 คน เป็นการร่วมกันเอารถยนต์ของตนไปโดยเจตนาทุจริตและใช้กำลังบังคับว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายผู้ดูแลรถอันเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์และลักทรัพย์แสดงว่าจำเลยที่ 1 ยืนยันว่าการกระทำของร้อยตำรวจเอกก.กับพวกเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ หาใช่เป็นเพียงความเห็นหรือความเข้าใจไม่การกระทำของจำเลยที่ 1จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172,174 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 181(1) ซึ่งจะต้องได้รับโทษหนักขึ้นแม้ปัญหาดังกล่าวจะไม่มีฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแต่เนื่องจากโจทก์ไม่ได้ฎีกาขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลย จึงไม่อาจเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 1 ได้ จำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้การอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้เห็นว่าร้อยตำรวจเอกก.ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบทำการยึดรถยนต์ไปโดยไม่มีอำนาจและไม่ทราบสาเหตุทั้งกระทำเกินความจำเป็นเพื่อสนับสนุนคำแจ้งความของจำเลยที่1 ให้กลายเป็นความจริงซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่ร้อยตำรวจเอก ก. กับพวกจึงเป็นการแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 492/2509)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2876-2877/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิและความรับผิดของผู้ขนส่งเมื่อสินค้าสูญหายระหว่างขนส่ง และอายุความการฟ้องร้อง
ในกรณีรับขน สิทธิของผู้ส่งจะตกเป็นของผู้รับตราส่งต่อเมื่อสินค้าไปถึงตำบลที่กำหนดไว้และผู้รับตราส่งเรียกให้ส่งมอบแล้ว กรณีที่สินค้าสูญหายระหว่างการรับขนสิทธิของผู้ส่งหาตกเป็นของ ผู้รับตราส่งไม่ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยประกอบธุรกิจขนส่งสินค้า โจทก์ได้มอบสินค้า ให้จำเลยส่งไปให้แก่ลูกค้าของโจทก์ในประเทศญี่ปุ่นในใบตราส่ง ก็ได้ระบุข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับการ ส่งสินค้าตลอดจน ค่าขนส่งฟ้องของโจทก์ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์อย่างใด แม้จะกล่าวในตอนท้ายว่าการกระทำละเมิดของจำเลยทำให้โจทก์ ไม่ได้รับเงินจากลูกค้าก็เห็นได้ว่าฟ้องโจทก์มุ่งประสงค์จะให้จำเลย รับผิดตามสัญญารับขน สินค้าที่จำเลยรับขนคือพลอยหาใช่หีบห่อหรือกล่องที่ใส่พลอยไม่ เมื่อส่งไปถึงผู้รับตราส่งคงมีแต่หีบห่อหรือกล่องเปล่าย่อมจะถือว่า ของส่งถึงตำบลที่กำหนดให้ส่งแล้วตามความหมายของ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 627 หา ได้ไม่ จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะมิได้ ฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่วันที่จำเลยได้ส่งมอบสินค้าหรือวันที่ควรจะส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้รับตราส่งแต่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์ฟ้องคดีเกินกว่า1 ปี นับแต่วันที่โจทก์ส่งมอบสินค้าให้จำเลยในฐานะผู้ขนส่งฎีกาของจำเลยจึงแตกต่างไปจากที่จำเลยเคยให้การต่อสู้คดีไว้หาใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเนื่องจากจำเลยไม่สามารถขนส่งสินค้า ของโจทก์ไปให้ลูกค้าได้ตามสัญญาเพราะสินค้าสูญหาย ไปค่าเสียหาย ที่โจทก์เรียกร้องมาในคำฟ้องก็คือราคาสินค้าตามที่กำหนดไว้ใน ใบกำกับสินค้าหากจำเลยเห็นว่าราคาที่โจทก์เรียกร้องสูงเกินไป จำเลยก็อาจให้การต่อสู้คดีและนำสืบให้เห็นเช่นนั้นได้โจทก์หาจำต้องระบุรายละเอียดมาในคำฟ้องว่าราคาสินค้าที่เรียกร้องเป็นราคาต้นทุนเท่าใด กำไรเท่าใดไม่ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ตามใบตราส่งที่จำเลยออกให้โจทก์เห็นได้ว่า จำเลยรับขนส่งสินค้า ซึ่งระบุว่าเป็นพลอย เป็นสินค้ามีค่าได้กำหนดราคาสินค้าและเสีย ค่าขนส่งพิเศษสำหรับสินค้ามีค่าจำเลยจึงมีหน้าที่ที่จะต้องขนส่งพลอย ตามที่ระบุไว้ในใบตราส่งไปให้ผู้รับตราส่งตามที่ได้สัญญาไว้แก่โจทก์ หน้าที่ของจำเลยมิใช่มีเพียงแต่ขนส่งกล่องสินค้าโดยไม่ต้องคำนึงว่าสินค้าในกล่องจะมีอยู่หรือไม่ เมื่อสินค้าสูญหายไปไม่ถึงผู้รับตราส่ง จำเลยก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามมาตรา616 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะอ้างว่าจำเลยรับสินค้ามาในสภาพที่อยู่ในหีบห่อเรียบร้อยจำเลย มิได้รู้เห็นในการบรรจุสินค้า จึงไม่ต้องรับผิดหาได้ไม่ ทั้งข้ออ้างดังกล่าวก็ขัดแย้งกับคำให้การของจำเลยซึ่งยอมรับว่าได้ทำสัญญารับขนพลอย ตามรายการที่โจทก์ฟ้องแต่อ้างว่าได้ส่งสินค้าไปถึงจุดหมายปลายทาง โดยไม่มีการสูญหายแล้ว แม้ราคาสินค้าที่โจทก์เรียกจากจำเลยจะรวมกำไรค่าประกันภัย และค่าขนส่งด้วยแต่ก็เป็นราคาสินค้าที่โจทก์ขายให้แก่ผู้ซื้อซึ่งโจทก์ มีสิทธิได้รับหากมีการ ขนส่งถึงมือผู้ซื้อและราคาจำนวนนี้ได้ระบุไว้ ในใบตราส่งซึ่งถือเสมือนสัญญารับขนระหว่างโจทก์จำเลยทั้งจำเลย ก็มิได้นำสืบหักล้างว่าโจทก์มิได้เสียหายตามจำนวนดังกล่าวโจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าเสียหายตามจำนวนที่เรียกร้อง