พบผลลัพธ์ทั้งหมด 487 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 224/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบิกความเท็จในชั้นพยาน แม้มีสิทธิปฏิเสธให้การ ก็ต้องรับผิด
ในคดีก่อน จำเลยถูก ฟ้องในข้อหาขับรถยนต์ โดยประมาทชนรถยนต์ที่ผู้เสียหาย (โจทก์คดีนี้) ขับสวนทางมา เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส และมีบุคคลอื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายบาดเจ็บ การที่จำเลยเบิกความในคดีก่อนว่า ผู้เสียหายขับรถยนต์ ชนรถยนต์ ที่จำเลยขับในช่องทาง เดินรถของจำเลย มีพวกผู้เสียหายเก็บเศษกระจกและเศษไม้จากช่องทาง เดินรถของจำเลยไปไว้ในช่องทาง เดินรถของผู้เสียหาย เท่ากับเบิกความว่า เหตุที่รถยนต์ชนกันเป็นความผิดของผู้เสียหาย มิใช่ความผิดของจำเลยซึ่ง เป็นประเด็นโดยตรงของคดีก่อนที่ว่าจำเลยขับรถยนต์ โดยประมาทหรือไม่ข้อความที่จำเลยเบิกความจึงเป็นข้อสำคัญในคดี
แม้จำเลยจะมีสิทธิในการต่อสู้ คดีและจะให้การอย่างไร หรือไม่ยอมให้การในคดีก่อนก็ได้ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๗๒ ก็ตาม แต่ ในชั้น พิจารณาคดีดังกล่าว ตัว จำเลยได้ เข้าเบิกความในคดีฐานะ พยานซึ่ง เป็นอีกฐานะ หนึ่งต่างหากจากการเป็นตัว จำเลย หากคำเบิกความของจำเลยเป็นเท็จจำเลยก็ต้อง มีความผิดฐาน เบิกความเท็จ จะยกเอาสิทธิในการต่อสู้ คดีของจำเลยมาอ้างเพื่อยกเว้นความรับผิดฐาน เบิกความเท็จหาได้ไม่.
แม้จำเลยจะมีสิทธิในการต่อสู้ คดีและจะให้การอย่างไร หรือไม่ยอมให้การในคดีก่อนก็ได้ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๗๒ ก็ตาม แต่ ในชั้น พิจารณาคดีดังกล่าว ตัว จำเลยได้ เข้าเบิกความในคดีฐานะ พยานซึ่ง เป็นอีกฐานะ หนึ่งต่างหากจากการเป็นตัว จำเลย หากคำเบิกความของจำเลยเป็นเท็จจำเลยก็ต้อง มีความผิดฐาน เบิกความเท็จ จะยกเอาสิทธิในการต่อสู้ คดีของจำเลยมาอ้างเพื่อยกเว้นความรับผิดฐาน เบิกความเท็จหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 78-79/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวและการประเมินบาดแผลเพื่อพิจารณาความผิดฐานทำร้ายร่างกายอันเป็นเหตุให้เกิดอันตรายสาหัส
การที่จำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุด่าโจทก์ก่อน เมื่อโจทก์จะเข้ามาทำร้ายร่างกาย จำเลยจึงได้ทำร้ายโจทก์นั้น ไม่เป็นการป้องกัน
เมื่อข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาไม่เพียงพอแก่การวินิจฉัย ศาลฎีกาย่อมฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากพยานหลักฐานในสำนวนได้
จำเลยทำร้ายโจทก์บาดเจ็บมีแผลที่หางคิ้วซ้ายยาวประมาณ4.5 เซนติเมตร เย็บไว้ 12 เข็ม แพทย์ผู้ตรวจรักษาบาดแผลว่าแผลนี้เมื่อหายแล้วเป็นแผลเป็นมองเห็นได้ในระยะ 6 เมตรแต่แผลเป็นนี้อาจจางลงได้ และปรากฏจากภาพถ่ายว่า แผลที่คิ้วซ้ายเป็นเพียงรอยขีด ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก ดังนี้ จึงยังไม่ถึงกับทำให้หน้าเสียโฉมอย่างติดตัวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(4).(ที่มา-ส่งเสริม)
เมื่อข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาไม่เพียงพอแก่การวินิจฉัย ศาลฎีกาย่อมฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากพยานหลักฐานในสำนวนได้
จำเลยทำร้ายโจทก์บาดเจ็บมีแผลที่หางคิ้วซ้ายยาวประมาณ4.5 เซนติเมตร เย็บไว้ 12 เข็ม แพทย์ผู้ตรวจรักษาบาดแผลว่าแผลนี้เมื่อหายแล้วเป็นแผลเป็นมองเห็นได้ในระยะ 6 เมตรแต่แผลเป็นนี้อาจจางลงได้ และปรากฏจากภาพถ่ายว่า แผลที่คิ้วซ้ายเป็นเพียงรอยขีด ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก ดังนี้ จึงยังไม่ถึงกับทำให้หน้าเสียโฉมอย่างติดตัวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(4).(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเบิกความเท็จต้องระบุรายละเอียดให้ชัดเจนว่าข้อความเท็จนั้นมีผลสำคัญต่อคดีอย่างไร
โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาเบิกความเท็จ แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่าคดีที่จำเลยเบิกความมีข้อหาและข้อความที่เบิกความเป็นเท็จเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ไม่ได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี แม้โจทก์จะบรรยายเลขสำนวนคดีที่จำเลยเบิกความมาในฟ้อง ต่อมาในชั้นพิจารณาโจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานอ้างคำเบิกความของจำเลยกับสำนวนคดีนั้นเป็นพยานหลักฐานและศาลชั้นต้นได้นำสำนวนคดีนั้นทั้งสำนวนมาผูกติดกับสำนวนคดีนี้ไว้แล้วก็ตามแต่ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่ปรากฏในสำนวนคดีนั้นก็หาใช่ส่วนหนึ่งของคำฟ้องของโจทก์ไม่ จะนำมาประกอบคำฟ้องของโจทก์คดีนี้ให้สมบูรณ์ขึ้นมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเบิกความเท็จต้องระบุรายละเอียดให้ชัดเจนว่าข้อความเท็จนั้นสำคัญต่อคดีอย่างไร
โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาเบิกความเท็จ แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่าคดีที่จำเลยเบิกความมีข้อหาและข้อความที่เบิกความเป็นเท็จเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ไม่ได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี แม้โจทก์จะบรรยายเลขสำนวนคดีที่จำเลยเบิกความมาในฟ้องต่อมาในชั้นพิจารณาโจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานอ้างคำเบิกความของจำเลยกับสำนวนคดีนั้นเป็นพยานหลักฐาน และศาลชั้นต้นได้นำสำนวนคดีนั้นทั้งสำนวนมาผูกติดกับสำนวนคดีนี้ไว้แล้วก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่ปรากฏในสำนวนคดีนั้นก็หาใช่ส่วนหนึ่งของคำฟ้องของโจทก์ไม่ จะนำมาประกอบคำฟ้องของโจทก์คดีนี้ให้สมบูรณ์ขึ้นมิได้.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6675/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน: พิจารณาจากพฤติการณ์ การเตรียมการ และระยะเวลา
จำเลยมีอาวุธปืนติดตัวไป แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้วางแผนตระเตรียมการไว้ล่วงหน้าที่จะฆ่าผู้ตาย แม้จำเลยพูดกับผู้ตายและ ป. ในคืนก่อนเกิดเหตุว่า พรุ่งนี้ให้ไปทำบุญงานศพของพวกเจ้า ก็อาจะเป็นการพูดต่อว่าผู้ตายเพื่อระบายความน้อยใจที่ถูกมารดาผู้ตายกีดกันความรัก ในวันเกิดเหตุจำเลยเลี้ยงวัวอยู่กับผู้ตายตั้งแต่เช้า แต่จำเลยเพิ่งใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเมื่อเวลาประมาณ 15 นาฬิกา จำเลยอาจมีเจตนาฆ่าผู้ตายขึ้นมาในขณะที่พูดคุยอยู่กับผู้ตายซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทันใดก็ได้ พฤติการณ์ยังถือไม่ได้ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5822/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คไม่มีวันที่: การยินยอมให้ลงวันที่ภายหลังไม่ถือเป็นความผิดอาญา
จำเลยออกเช็คโดยมิได้ลงวันที่ในเช็ค ย่อมถือไม่ได้ว่ามีวันที่ผู้ออกกระทำผิด แม้จำเลยจะยินยอมให้โจทก์ร่วมลงวันที่ในเช็คในภายหลังตามวันที่ตกลงกันโดยจำเลยลงชื่อกำกับในรายการวันที่ไว้ให้ก็หามีผลให้ถือว่าเป็นเช็คมีวันที่จำเลยกระทำผิดไม่ คงมีผลเพียงให้เช็คนั้นมีรายการสมบูรณ์ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ในทางแพ่งเท่านั้น จำเลยไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5822/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คไม่มีวันที่: การยินยอมให้ลงวันที่ภายหลังไม่ถือเป็นความผิดอาญา
จำเลยออกเช็คโดยมิได้ลงวันที่ในเช็ค ย่อมถือไม่ได้ว่ามีวันที่ผู้ออกเช็คกระทำผิด แม้จำเลยจะยินยอมให้โจทก์ร่วมลงวันที่ในเช็คในภายหลัง ตามวันที่ตกลงกันโดยจำเลยลงชื่อกำกับในรายการวันที่ไว้ให้ ก็หามีผลให้ถือว่าเป็นเช็คมีวันที่จำเลยกระทำผิดไม่คงมีเพียงให้เช็คนั้นมีรายการสมบูรณ์ฟ้องร้องบังคับกันได้ในทางแพ่งเท่านั้น จำเลยไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากผลใช้เช็ค พ.ศ.2497 มาตรา 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3797-3798/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทกรรมสิทธิ์ที่ดินและการบังคับคดี: ห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริงหากมิได้ยกข้อต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์
คดีสำนวนแรกโจทก์ฟ้องขับไล่ผู้อาศัยออกจากที่พิพาทแม้ไม่ปรากฏตามคำฟ้องว่าที่พิพาทอาจให้เช่าได้เดือนละเท่าใดแต่ก็ได้ความจากคดีในสำนวนหลังซึ่งมีผู้ฟ้องโจทก์คดีนี้กับพวกให้ร่วมกันใช้ค่าขาดประโยชน์จากที่พิพาทเป็นเงินปีละ2,400บาทถือได้ว่าที่พิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละสองพันบาทเมื่อจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาอาศัยคดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาโจทก์ไม่มีสิทธิฎีกาต่อมาได้ข้อเท็จจริงคงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยและพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้บังคับคดีสำนวนแรกตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นคงรับวินิจฉัยเฉพาะฎีกาของจำเลยที่1ในสำนวนหลัง(โจทก์ในสำนวนแรก)ซึ่งคดีไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริงแต่เมื่อศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่1ศาลฎีกาย่อมพิพากษายกฟ้องโจทก์ให้มีผลถึงจำเลยที่2ซึ่งไม่ได้ฎีกาด้วยเพราะเป็นกรณีเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา245,247 คดีสำนวนแรกศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่1(ซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนหลัง)แต่ในคดีสำนวนหลังศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นของ พ.จำเลยที่1(ซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนแรก)ดังนี้ในคดีสำนวนหลังศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้สิทธิแก่พ.จำเลยที่1ในการที่จะฟ้องบังคับตามสิทธิที่เกิดขึ้นจากผลของคำพิพากษาฎีกานี้ต่อไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3797-3798/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท, ข้อจำกัดการอุทธรณ์, ผลของคำพิพากษาฎีกาต่อคู่ความ
คดีสำนวนแรกโจทก์ฟ้องขับไล่ผู้อาศัยออกจากที่พิพาทแม้ไม่ปรากฏตามคำฟ้องว่าที่พิพาทอาจให้เช่าได้เดือนละเท่าใดแต่ก็ได้ความจากคดีในสำนวนหลังซึ่งมีผู้ฟ้องโจทก์คดีนี้กับพวกให้ร่วมกันใช้ค่าขาดประโยชน์จากที่พิพาทเป็นเงินปีละ 2,400 บาทถือได้ว่าที่พิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละสองพันบาทเมื่อจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาอาศัยคดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาโจทก์ไม่มีสิทธิฎีกาต่อมาได้ ข้อเท็จจริงคงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยและพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้บังคับคดีสำนวนแรกตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นคงรับวินิจฉัยเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ 1 ในสำนวนหลัง (โจทก์ในสำนวนแรก) ซึ่งคดีไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริงแต่เมื่อศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 ศาลฎีกาย่อมพิพากษายกฟ้องโจทก์ให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่ได้ฎีกาด้วย เพราะเป็นกรณีเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 245,247
คดีสำนวนแรกศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1(ซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนหลัง) แต่ในคดีสำนวนหลังศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทเป็นของ พ.จำเลยที่ 1 (ซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนแรก) ดังนี้ในคดีสำนวนหลังศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้สิทธิแก่ พ.จำเลยที่ 1 ในการที่จะฟ้องบังคับตามสิทธิที่เกิดขึ้นจากผลของคำพิพากษาฎีกานี้ต่อไป
คดีสำนวนแรกศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1(ซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนหลัง) แต่ในคดีสำนวนหลังศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทเป็นของ พ.จำเลยที่ 1 (ซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนแรก) ดังนี้ในคดีสำนวนหลังศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้สิทธิแก่ พ.จำเลยที่ 1 ในการที่จะฟ้องบังคับตามสิทธิที่เกิดขึ้นจากผลของคำพิพากษาฎีกานี้ต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3797-3798/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริง และผลของการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกาวินิจฉัย
คดีสำนวนแรกโจทก์ฟ้องขับไล่ผู้อาศัยออกจากที่พิพาท แม้ไม่ปรากฏตามคำฟ้องว่าที่พิพาทอาจให้เช่าได้เดือนละเท่าใด แต่ก็ได้ความจากคดีในสำนวนหลังซึ่งมีผู้ฟ้องโจทก์คดีนี้กับพวกให้ร่วมกันใช้ค่าขาดประโยชน์จากที่พิพาทเป็นเงินปีละ 2,400 บาท ถือได้ว่าที่พิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละสองพันบาทเมื่อจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ หรือยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาอาศัย คดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ ก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา โจทก์ไม่มีสิทธิฎีกาต่อมาได้ ข้อเท็จจริงคงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยและพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้บังคับคดีสำนวนแรกตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คงรับวินิจฉัยเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ 1 ในสำนวนหลัง (โจทก์ในสำนวนแรก) ซึ่งคดีไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริงแต่เมื่อศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 ศาลฎีกาย่อมพิพากษายกฟ้องโจทก์ให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่ได้ฎีกาด้วย เพราะเป็นกรณีเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245, 247
คดีสำนวนแรกศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 (ซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนหลัง) แต่ในคดีสำนวนหลังศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทเป็นของ พ.จำเลยที่ 1 (ซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนแรก) ดังนี้ในคดีสำนวนหลังศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้สิทธิแก่ พ.จำเลยที่ 1 ในการที่จะฟ้องบังคับตามสิทธิที่เกิดขึ้นจากผลของคำพิพากษาฎีกานี้ต่อไป
คดีสำนวนแรกศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 (ซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนหลัง) แต่ในคดีสำนวนหลังศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทเป็นของ พ.จำเลยที่ 1 (ซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนแรก) ดังนี้ในคดีสำนวนหลังศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้สิทธิแก่ พ.จำเลยที่ 1 ในการที่จะฟ้องบังคับตามสิทธิที่เกิดขึ้นจากผลของคำพิพากษาฎีกานี้ต่อไป