คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุรัตน์ ศรีอนุพันธุ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 944 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1748/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการฟ้องร้องค่าชดเชยก่อนเกิดข้อพิพาท: กรณีเกษียณอายุพนักงานรัฐวิสาหกิจ
พ.ร.บ. คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจพ.ศ. 2518 มาตรา 11 บัญญัติให้พนักงานรัฐวิสาหกิจเช่น พนักงานยาสูบที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ในปีงบประมาณ 2530 พ้นจากตำแหน่งเมื่อสิ้นปีงบประมาณ อันหมายถึงสิ้นเดือนกันยายน 2530 ซึ่งจำเลยจะต้องดำเนินการให้พนักงานยาสูบผู้นั้นออกจากงานอันเป็นการเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2530 เป็นต้นไป และทำให้พนักงานยาสูบดังกล่าวมีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานนับแต่วันเลิกจ้าง หากจำเลยไม่จ่ายค่าชดเชยให้ก็ต้องถือว่าพนักงานยาสูบผู้นั้นถูกโต้แย้งสิทธินับแต่วันดังกล่าว แต่ขณะที่สหภาพแรงงานโจทก์นำคดีมาฟ้องยังไม่มีพนักงานยาสูบซึ่งเป็นสมาชิกของโจทก์คนใดถูกโต้แย้งสิทธิในกรณีเช่นว่านี้ ดังนั้น โจทก์จึงยังไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยไว้ล่วงหน้าตามคำขอของโจทก์ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1745/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งฟ้องเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการส่งสำเนาอุทธรณ์คำสั่ง
โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่ให้อุทธรณ์อย่างคนอนาถาทั้งหมด ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ ให้โจทก์ทั้งสองนำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยภายใน 7 วัน โจทก์ทั้งสองทราบคำสั่งโดยชอบแล้วแต่ไม่ไปนำส่งหมายนัดและสำเนาอุทธรณ์ภายในเวลาที่กำหนดเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2)ศาลอุทธรณ์ย่อมมีคำสั่งยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งนั้นเสียได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1745/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการส่งสำเนาอุทธรณ์คำสั่ง ถือเป็นการทิ้งฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174(2)
การอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลให้แต่เฉพาะ บางส่วนเป็นกรณีที่ต้องอยู่ในบทบังคับของการอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. เพื่อให้อีกฝ่ายได้ทราบถึงข้ออุทธรณ์ซึ่งหากมีข้อคัดค้านอย่างใดก็จะได้แก้ อุทธรณ์เพื่อประกอบการพิจารณาของศาล ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์คำสั่ง และโจทก์ได้ทราบคำสั่งโดยชอบแล้วแต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามกรณีจึงต้องด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 174(2) ถือได้ว่าเป็นการทิ้งฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1745/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งฟ้องเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการส่งสำเนาอุทธรณ์คำสั่ง
โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่ให้อุทธรณ์อย่างคนอนาถาทั้งหมด ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ ให้โจทก์ทั้งสองนำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยภายใน 7 วัน โจทก์ทั้งสองทราบคำสั่งโดยชอบแล้วแต่ไม่ไปนำส่งหมายนัดและสำเนาอุทธรณ์ภายในเวลาที่กำหนดเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) ศาลอุทธรณ์ย่อมมีคำสั่งยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งนั้นเสียได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1613/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าล่วงเวลา-ค่าทำงานวันหยุด: การทำงานข้ามกะ
โจทก์เข้าทำงานในกะบี. ตั้งแต่เวลา 15 นาฬิกาจนถึง 23 นาฬิกาแล้วทำงานแทน ค.และส.พนักงานของจำเลยซึ่งไม่มาทำงานในกะซี. และกะเอ. ติดต่อกันไปจนถึงเวลา 15 นาฬิกา ของวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันอาทิตย์อันเป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ ตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยกำหนดให้พนักงานทำงานเพียง 1 กะใน 1 วัน ดังนั้นการที่โจทก์ต้องทำงานให้จำเลยในกะซี.และกะเอ.แทนค.และส. จึงเป็นการทำงานเกินกว่า 1 กะใน 1 วัน ถือได้ว่าเป็นการทำงานล่วงเวลาและทำงานในวันหยุดจำเลยต้องจ่ายค่าล่วงเวลาและค่าทำงานในวันหยุดให้โจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1613/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าล่วงเวลา-วันหยุด: การทำงานเกิน 1 กะต่อวัน แม้เป็นการทำงานแทน ย่อมมีสิทธิได้รับค่าชดเชย
โจทก์เข้าทำงานในกะ บี ตั้งแต่เวลา 15 นาฬิกา จนถึง 23 นาฬิกาแล้วทำงานแทน ค.และส. พนักงานของจำเลยซึ่งไม่มาทำงานในกะ ซี.และกะเอ. ติดต่อกันไปจนถึงเวลา 15 นาฬิกา ของวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันอาทิตย์อันเป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ ตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยกำหนดให้พนักงานทำงานเพียง 1 กะ ใน 1 วัน ดังนั้นการที่โจทก์ต้องทำงานให้จำเลยในกะ ซี.และกะเอ.แทนค. และส. จึงเป็นการทำงานเกินกว่า 1 กะ ใน 1 วัน ถือได้ว่าเป็นการทำงานล่วงเวลาและทำงานในวันหยุดจำเลยต้องจ่ายค่าล่วงเวลาและค่าทำงานในวันหยุดให้โจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1600/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไล่ลูกจ้างออกจากงานฐานประพฤติผิดวินัยร้ายแรงหลังเกษียณอายุ – อำนาจจำเลยชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยตั้งกรรมการสอบสวนพนักงานรถไฟซึ่งปฏิบัติงานในเขตสถานีรถไฟซึ่งโจทก์ประจำอยู่ด้วยทั้งหมดโดยมิได้ระบุตัวผู้ถูกกล่าวหา ต่อมาจำเลยสั่งให้โจทก์ออกจากงานฐานสูงอายุ(อายุครบ 60 ปีบริบูรณ์) ตามระเบียบของจำเลยหลังจากนั้นคณะกรรมการรายงานผลการสอบสวนว่าโจทก์กระทำผิดโดยเรียกเก็บเงินค่ากรรมกรขนของขึ้นตู้สินค้าเกินกว่าที่ทางราชการกำหนด ดังนี้จำเลยมีอำนาจเปลี่ยนแปลงคำสั่งที่ให้โจทก์ออกจากงานฐานสูงอายุเป็นให้ออกจากงานไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลการพิจารณาถึงที่สุดได้และต่อมาเมื่อผู้ว่าการของจำเลยทราบผลการสอบสวนแล้วเห็นว่าการกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็นการประพฤติผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามระเบียบของจำเลยก็ย่อมมีอำนาจที่จะออกคำสั่งไล่โจทก์ออกจากงานได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1600/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไล่ลูกจ้างออกจากงานฐานประพฤติผิดวินัยร้ายแรง แม้ก่อนหน้านี้จะสั่งพักงานฐานเกษียณอายุ
จำเลยตั้งกรรมการสอบสวนพนักงานรถไฟซึ่งปฏิบัติงานในเขตสถานีรถไฟซึ่งโจทก์ประจำอยู่ด้วยทั้งหมดโดยมิได้ ระบุตัวผู้ถูกกล่าวหา ต่อมาจำเลยสั่งให้โจทก์ออกจากงานฐานสูงอายุ (อายุครบ 60 ปีบริบูรณ์) ตามระเบียบของจำเลยหลังจากนั้นคณะกรรมการรายงานผลการสอบสวนว่าโจทก์กระทำผิดโดยเรียกเก็บเงินค่ากรรมกรขนของขึ้นตู้สินค้าเกินกว่าที่ทางราชการกำหนด ดังนี้ จำเลยมีอำนาจเปลี่ยนแปลงคำสั่งที่ให้โจทก์ออกจากงานฐานสูงอายุเป็นให้ออกจากงานไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลการพิจารณาถึงที่สุดได้และต่อมาเมื่อผู้ว่าการของจำเลยทราบผลการสอบสวนแล้วเห็นว่าการกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็นการประพฤติผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามระเบียบของจำเลยก็ย่อมมีอำนาจที่จะออกคำสั่งไล่โจทก์ออกจากงานได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1599/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลแรงงาน: คดีเงินบำเหน็จพนักงานโรงงานสุรา ไม่ใช่ข้อพิพาทจากสัญญาเช่า แต่เป็นข้อตกลงสภาพการจ้าง
สัญญาเช่าโรงงานสุราบางยี่ขันเป็นข้อผูกพันระหว่างกรมโรงงานอุตสาหกรรมผู้ให้เช่ากับจำเลยผู้เช่า และคำสั่งกระทรวงอุตสาหกรรมที่ 124/2501 เรื่อง ระเบียบว่าด้วยเวลาทำงานและวันหยุดงาน ค่าจ้าง เงินชดเชย เงินทดแทนค่ารักษาพยาบาล และค่าทำศพ และบำเหน็จพนักงานและคนงานโรงงานสุรา พ.ศ. 2501 ก็มิใช่เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาเช่าดังกล่าว หากแต่เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง การที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินบำเหน็จจากจำเลยโดยอาศัยข้อตกลงดังกล่าวมิได้มีมูลฐานมาจากสัญญาเช่า แต่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามมาตรา8(1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 โจทก์มีอำนาจฟ้องต่อศาลแรงงานกลางได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1599/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลแรงงาน: ข้อพิพาทเงินบำเหน็จจากข้อตกลงสภาพการจ้าง ไม่ใช่จากสัญญาเช่า
สัญญาเช่าโรงงานสุราบางยี่ขันเป็นข้อผูกพันระหว่างกรมโรงงานอุตสาหกรรมผู้ให้เช่ากับจำเลยผู้เช่า และคำสั่งกระทรวงอุตสาหกรรมที่ 124/2501 เรื่องระเบียบว่าด้วยเวลาทำงานและวันหยุดงานค่าจ้างเงินชดเชยเงินทดแทนค่ารักษาพยาบาลและค่าทำศพและบำเหน็จพนักงานและคนงานโรงงานสุราพ.ศ.2501 ก็มิใช่เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาเช่าดังกล่าว หากแต่เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างการที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินบำเหน็จจากจำเลยโดยอาศัยข้อตกลงดังกล่าวมิได้มีมูลฐานมาจากสัญญาเช่า แต่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามมาตรา8(1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 โจทก์มีอำนาจฟ้องต่อศาลแรงงานกลางได้
of 95