พบผลลัพธ์ทั้งหมด 944 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1197/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารที่ไม่ส่งสำเนาให้คู่ความ ศาลไม่ถือว่าผิด หากไม่ได้ใช้ประกอบการวินิจฉัย
ตามคำฟ้องและคำให้การคดีมีประเด็นข้อพิพาทตามที่ศาลกำหนดเพียงว่า จำเลยมีความรับผิดต้องชำระเงินตามฟ้องแก่โจทก์หรือไม่ส่วนข้อเท็จจริงตามเอกสารที่โจทก์ใช้ประกอบคำเบิกความของพยานมิได้เป็นประเด็นโต้เถียง กันในคดี ทั้งตามคำพิพากษาของศาลที่วินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงมา ไม่ปรากฏว่าได้อ้างถึงหรือนำเอกสารที่จำเลยคัดค้านว่ามิได้ส่งสำเนาให้จำเลยมาใช้ในการวินิจฉัยคดีแต่อย่างใด ดังนั้น โจทก์จึงไม่จำต้องส่งสำเนาเอกสารนั้นให้แก่จำเลยก่อน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1084/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ชิงทรัพย์ในยวดยานสาธารณะ: การกระทำต่อเนื่องจากบนรถถึงนอกรถถือเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ในยวดยานสาธารณะ
จำเลยยืนอยู่นอกรถยนต์โดยสารประจำทาง ใช้กำลังประทุษร้ายดึงตัวผู้เสียหายให้ลงมาจากรถแล้วบังคับเอาทรัพย์จากผู้เสียหาย เช่นนั้น การชิงทรัพย์ได้เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่จำเลยใช้กำลังประทุษร้ายในขณะที่ผู้เสียหายยังอยู่บนรถซึ่งเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันไม่ขาดตอนกับการบังคับเอาทรัพย์ จำเลยจึงมีความผิดฐานชิงทรัพย์ในยวดยานสาธารณะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสองประกอบกับมาตรา 335 (9).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1084/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชิงทรัพย์ในยวดยานสาธารณะ: การกระทำต่อเนื่องและขอบเขตความผิด
จำเลยยืนอยู่นอกรถยนต์โดยสารประจำทาง ใช้กำลังประทุษร้ายดึงตัวผู้เสียหายให้ลงมาจากรถแล้วบังคับเอาทรัพย์จากผู้เสียหาย เช่นนั้น การชิงทรัพย์ได้เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่จำเลยใช้กำลังประทุษร้ายในขณะที่ผู้เสียหายยังอยู่บนรถซึ่งเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันไม่ขาดตอนกับการบังคับเอาทรัพย์จำเลยจึงมีความผิดฐานชิงทรัพย์ในยวดยานสาธารณะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสองประกอบกับมาตรา 335(9).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1084/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ชิงทรัพย์ในยวดยานสาธารณะ: การกระทำต่อเนื่องจากบนรถถือเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ในยวดยาน
จำเลยใช้กำลังประทุษร้ายด้วยการดึง ตัวผู้เสียหายให้ลงมาจากรถโดยสารประจำทาง แม้จำเลยจะบังคับเอาทรัพย์จากผู้เสียหายในขณะที่ผู้เสียหายลงมาจากรถ และจำเลยยืนอยู่นอกรถก็ตาม แต่การชิง ทรัพย์นั้นได้เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่จำเลยใช้กำลังประทุษร้ายในขณะที่ผู้เสียหายยังอยู่บนรถ ซึ่งเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันไม่ขาดตอนกรณีย่อมถือได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานชิง ทรัพย์ในยวดยานสาธารณะ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 946/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างต้องเป็นธรรมและปฏิบัติตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ การเลิกจ้างก่อนเกษียณอายุเป็นเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
ประกาศของจำเลยเรื่องการลาออกเนื่องจากเกษียณอายุกำหนดให้พนักงานตั้งแต่หัวหน้าแผนกขึ้นไปที่มีอายุครบ 60 ปีเกษียณอายุในวันสิ้นรอบปีบัญชีของจำเลย เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ มาตรา 10 การที่จำเลยออกระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานฉบับต่อมากำหนดให้พนักงานหญิงเกษียณเมื่ออายุครบ 45 ปี เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณแก่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างหญิง และจำเลยมิได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ มาตรา 13ถึงมาตรา 19 ระเบียบและข้อบังคับฉบับหลังจึงไม่มีผลบังคับเพราะขัดกับมาตรา 20 จำเลยจะให้โจทก์ซึ่งมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนกของจำเลยออกจากงานเพราะเหตุเกษียณอายุก่อนโจทก์มีอายุครบ 60 ปีหาได้ไม่ การเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ศาลแรงงานกลางเห็นว่าเอกสารท้ายฟ้องและที่คู่ความส่งต่อศาลกับคำแถลงของคู่ความเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้ จึงสั่งงดสืบพยานคู่ความ แล้ววินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมพิพากษายกฟ้อง เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำนวนเงินประเภทต่าง ๆ ที่โจทก์เรียกร้องมาเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางยังมิได้พิจารณาศาลฎีกาย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษาใหม่ในส่วนนี้.
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ศาลแรงงานกลางเห็นว่าเอกสารท้ายฟ้องและที่คู่ความส่งต่อศาลกับคำแถลงของคู่ความเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้ จึงสั่งงดสืบพยานคู่ความ แล้ววินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมพิพากษายกฟ้อง เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำนวนเงินประเภทต่าง ๆ ที่โจทก์เรียกร้องมาเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางยังมิได้พิจารณาศาลฎีกาย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษาใหม่ในส่วนนี้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 946/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่เป็นธรรม การเลิกจ้างขัดต่อกฎหมายแรงงานสัมพันธ์
ประกาศของจำเลยเรื่องการลาออกเนื่องจากเกษียณอายุกำหนดให้พนักงานตั้งแต่หัวหน้าแผนกขึ้นไปที่มีอายุครบ 60 ปี เกษียณอายุในวันสิ้นรอบปีบัญชีของจำเลย เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ มาตรา 10 การที่จำเลยออกระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานฉบับต่อมากำหนดให้พนักงานหญิงเกษียณเมื่ออายุครบ 45 ปี เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณแก่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างหญิง และจำเลยมิได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ มาตรา 13 ถึงมาตรา 19 ระเบียบและข้อบังคับฉบับหลังจึงไม่มีผลบังคับเพราะขัดกับมาตรา 20 จำเลยจะให้โจทก์ซึ่งมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนกของจำเลยออกจากงานเพราะเหตุเกษียณอายุก่อนโจทก์มีอายุครบ 60 ปีหาได้ไม่ การเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ศาลแรงงานกลางเห็นว่าเอกสารท้ายฟ้องและที่คู่ความส่งต่อศาลกับคำแถลงของคู่ความเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้ จึงสั่งงดสืบพยานคู่ความ แล้ววินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมพิพากษายกฟ้อง เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำนวนเงินประเภทต่าง ๆ ที่โจทก์เรียกร้องมาเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางยังมิได้พิจารณาศาลฎีกาย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษาใหม่ในส่วนนี้.
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ศาลแรงงานกลางเห็นว่าเอกสารท้ายฟ้องและที่คู่ความส่งต่อศาลกับคำแถลงของคู่ความเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้ จึงสั่งงดสืบพยานคู่ความ แล้ววินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมพิพากษายกฟ้อง เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำนวนเงินประเภทต่าง ๆ ที่โจทก์เรียกร้องมาเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางยังมิได้พิจารณาศาลฎีกาย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษาใหม่ในส่วนนี้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 944/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนฟ้องคดีแรงงานก่อนมีคำพิพากษา ทำให้คำพิพากษาในส่วนนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้โจทก์ที่ 11 ถอนฟ้องไปแล้วก่อนที่จะมีคำพิพากษา ดังนั้นที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าจ้างสำหรับวันหยุดประจำสัปดาห์ให้แก่โจทก์ที่ 11 ด้วย จึงเป็นการไม่ชอบ.(ที่มา-เนติ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 944/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนฟ้องคดีแรงงานก่อนมีคำพิพากษา ศาลไม่อาจพิพากษาบังคับคดีในส่วนที่ถอนฟ้องไปแล้ว
ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้โจทก์ที่ ๑๑ ถอนฟ้องไปแล้วก่อนที่จะ มีคำพิพากษา ดังนั้นที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่าย ค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าจ้างสำหรับวันหยุด ประจำสัปดาห์ให้แก่โจทก์ที่ ๑๑ ด้วย จึงเป็นการไม่ชอบ.(ที่มา- เนติ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 943/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงเสนอคดีต่อศาลเฉพาะ และเขตอำนาจศาลที่คู่ความมีภูมิลำเนา
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 7(4) ศาลที่คู่กรณีพึงตกลงกันให้ฟ้องคดีจะต้องเป็นศาลที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือมูลคดีเรื่องนั้นได้เกิดขึ้น หรือทรัพย์สินที่พิพาทกันนั้นตั้งอยู่ในเขตศาลอย่างใดอย่างหนึ่ง คดีนี้โจทก์กับจำเลยทั้งสองทำสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันและตกลงกันว่าหากมีข้อพิพาทเกิดขึ้นระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง ให้เสนอคดีต่อศาลในกรุงเทพมหานคร เมื่อปรากฏว่าโจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ที่เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร และขณะที่ทำสัญญาดังกล่าวโจทก์ยังคงมีภูมิลำเนาอยู่ที่เดิม ภูมิลำเนาของโจทก์ขณะทำสัญญาจึงอยู่ในเขตอำนาจของศาลแพ่ง กรณีพึงเห็นเจตนาของโจทก์จำเลยที่ระบุในสัญญาว่าให้เสนอคดีต่อศาลในกรุงเทพมหานครก็คือศาลแพ่งนั่นเอง โจทก์จึงมีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลแพ่งได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 943/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงเสนอคดีต่อศาลในกรุงเทพฯ และเขตอำนาจศาลเมื่อโจทก์มีภูมิลำเนาในเขตศาลแพ่ง
สัญญาเช่าซื้อและค้ำประกันระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองได้กำหนดไว้ด้วยว่า ให้เสนอคดีเกี่ยวกับข้อพิพาทที่จะเกิดขึ้นจากสัญญาดังกล่าวต่อศาลในกรุงเทพมหานคร และเมื่อขณะทำสัญญานั้นโจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลแพ่งกรณีย่อมพึงเห็นเจตนาของโจทก์จำเลยทั้งสองได้ว่า ศาลในกรุงเทพมหานครที่ระบุในสัญญาให้เสนอคดีนั้นก็คือศาลแพ่งนั่นเอง โจทก์จึงมีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลแพ่งได้. (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2530)