พบผลลัพธ์ทั้งหมด 944 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 64/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การให้สัตยาบันคำให้การและการใช้ดุลพินิจรับพยานนอกกรอบกฎหมายในคดีแรงงาน
แม้ อ. ประธานกรรมการบริษัทจำเลยแต่ผู้เดียวทำหนังสือมอบอำนาจให้ ว. กรรมการบริหารมีอำนาจกระทำการแทนจำเลยอันเป็นการไม่ถูกต้องตามข้อบังคับของบริษัทจำเลยก็ตาม แต่หลังจาก ว. ได้ยื่นคำให้การต่อศาลแล้ว จำเลยก็ทำหนังสือมอบอำนาจใหม่ให้ ฉ.เป็นผู้มีอำนาจดำเนินคดีแทนโดยอ.และว. ลงชื่อถูกต้องตามข้อบังคับของจำเลยเช่นนี้ การที่ ฉ. ดำเนินคดีต่อมาโดยนำสืบพยานไปตามคำให้การที่ ว. ต่อสู้คดีไว้ ถือได้ว่าจำเลยได้ให้สัตยาบันยอมรับคำให้การดังกล่าวจึงมีสิทธินำสืบพยานไปตามคำให้การนั้นได้
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งเกี่ยวกับบัญชีระบุพยานของจำเลยว่า'รับ 5 อันดับ' แสดงว่าได้ใช้ดุลพินิจสั่งรับบัญชีระบุพยานของจำเลยที่ยื่นฝ่าฝืนต่อกฎหมายเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมแล้ว.(ที่มา-ส่งเสริม)
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งเกี่ยวกับบัญชีระบุพยานของจำเลยว่า'รับ 5 อันดับ' แสดงว่าได้ใช้ดุลพินิจสั่งรับบัญชีระบุพยานของจำเลยที่ยื่นฝ่าฝืนต่อกฎหมายเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมแล้ว.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 47/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับระยะเวลาทดลองงานและข้อยกเว้นการจ่ายค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า จำเลยได้ทำสัญญาจ้างโจทก์เป็นลูกค้าประจำรายวันทดลองปฏิบัติงานในตำแหน่งพนักงานขับรถ ดังนั้นที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์เป็นลูกจ้างชั่วคราวทดลองปฏิบัติงาน จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามป.วิ.พ. มาตรา 225 ประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 31ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
จำเลยออกคำสั่งให้โจทก์ทดลองปฏิบัติงานรวม 2 ครั้งครั้งแรกมีกำหนด 120 วัน เมื่อผลกาหรทดลองปฏิบัติงานตามคำสั่งของจำเลยไม่เป็นที่พอใจของจำเลย จำเลยจึงออกคำสั่งครั้งที่ 2 ให้โจทก์ปฏิบัติงานต่อไปอีก 60 วัน แม้ว่าโจทก์จะยินยอมก็ตาม จะถือว่าจำเลยออกคำสั่งให้โจทก์ทดลองปฏิบัติงานในคราวเดียวกันรวมเป็นเวลา 180 วันหาได้ไม่เมื่อโจทก์ทดลองปฏิบัติงานครบ 120 วันแล้ว จำเลยก็มิได้เลิกจ้างโจทก์ภายในกำหนดระยะเวลาที่แจ้งไว้แต่แรก จึงไม่เข้าเงื่อนไขตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 วรรคท้ายในอันที่จำเลยจะได้รับยกเว้นไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย.(ที่มา-ส่งเสริม)
จำเลยออกคำสั่งให้โจทก์ทดลองปฏิบัติงานรวม 2 ครั้งครั้งแรกมีกำหนด 120 วัน เมื่อผลกาหรทดลองปฏิบัติงานตามคำสั่งของจำเลยไม่เป็นที่พอใจของจำเลย จำเลยจึงออกคำสั่งครั้งที่ 2 ให้โจทก์ปฏิบัติงานต่อไปอีก 60 วัน แม้ว่าโจทก์จะยินยอมก็ตาม จะถือว่าจำเลยออกคำสั่งให้โจทก์ทดลองปฏิบัติงานในคราวเดียวกันรวมเป็นเวลา 180 วันหาได้ไม่เมื่อโจทก์ทดลองปฏิบัติงานครบ 120 วันแล้ว จำเลยก็มิได้เลิกจ้างโจทก์ภายในกำหนดระยะเวลาที่แจ้งไว้แต่แรก จึงไม่เข้าเงื่อนไขตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 วรรคท้ายในอันที่จำเลยจะได้รับยกเว้นไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 31/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินนิคมสร้างตนเอง: สิทธิของสมาชิกนิคมมีลำดับก่อน แม้มีการครอบครองก่อนโดยผู้อื่น
ที่ดินตามฟ้อง เป็นที่ดินตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 ที่รัฐจัดสรรให้แก่สมาชิกนิคมสร้างตนเองเขื่อนเพชร โดยมีเงื่อนไขตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติดังกล่าว แม้จำเลยจะอ้างว่าได้เข้าทำกินในที่ดินพิพาทเป็นการแย่งการครอบครองของโจทก์ก็ตาม แต่ก็อยู่ภายในระยะเวลาตามเงื่อนไขและวิธีการของการจัดสรรที่ดินดังกล่าว ดังนั้น จำเลยจะอ้างเอาระยะเวลาการฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง มาเป็นข้อต่อสู้โจทก์ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 31/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินนิคมสร้างตนเอง: การครอบครองและเงื่อนไขการโอนกรรมสิทธิ์ตามพ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ
ที่ดินตามฟ้อง เป็นที่ดินตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพพ.ศ. 2511 ที่รัฐจัดสรรให้แก่สมาชิกนิคมสร้างตนเองเขื่อนเพชร โดยมีเงื่อนไขตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติดังกล่าว แม้จำเลยจะอ้างว่าได้เข้าทำกินในที่ดินพิพาทเป็นการแย่งการครอบครองของโจทก์ก็ตาม แต่ก็อยู่ภายในระยะเวลาตามเงื่อนไขและวิธีการของการจัดสรรที่ดินดังกล่าว ดังนั้น จำเลยจะอ้างเอาระยะเวลาการฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375วรรคสองมาเป็นข้อต่อสู้โจทก์ไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4824/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีหลังศาลตัดสินสิทธิในที่ดิน: การครอบครองต่อเนื่องไม่สร้างสิทธิใหม่
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่นาพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง และคดีถึงที่สุดไปแล้ว จำเลยคงยึดถือที่นาพิพาทสืบเนื่องต่อมาเท่านั้น ไม่มีพฤติการณ์ใดขึ้นใหม่อันจะแสดงว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองที่นาพิพาท จึงจะนำระยะเวลาการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 กำหนด 1 ปี มาบังคับแก่โจทก์มิได้
โจทก์ขอให้บังคับคดีภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา แม้จำเลยได้ฟ้องโจทก์ขอแสดงสิทธิครอบครองนาพิพาทเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งคดีอยู่ระหว่างพิจารณา แต่เมื่อเป็นการครอบครองภายหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วซึ่งไม่ก่อให้เกิดสิทธิครอบครองแก่จำเลย จำเลยจึงจะขอให้งดการบังคับคดีไว้ไม่ได้
โจทก์ขอให้บังคับคดีภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา แม้จำเลยได้ฟ้องโจทก์ขอแสดงสิทธิครอบครองนาพิพาทเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งคดีอยู่ระหว่างพิจารณา แต่เมื่อเป็นการครอบครองภายหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วซึ่งไม่ก่อให้เกิดสิทธิครอบครองแก่จำเลย จำเลยจึงจะขอให้งดการบังคับคดีไว้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4824/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีหลังคำพิพากษาถึงที่สุด: สิทธิครอบครองใหม่ไม่ขัดขวางการบังคับคดีเดิม
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่นาพิพาทเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องและคดีถึงที่สุดไปแล้วจำเลยคงยึดถือที่นาพิพาทสืบเนื่องต่อมาเท่านั้นไม่มีพฤติการณ์ใดขึ้นใหม่อันจะแสดงว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองที่นาพิพาทจึงจะนำระยะเวลาการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375กำหนด1ปีมาบังคับแก่โจทก์มิได้ โจทก์ขอให้บังคับคดีภายใน10ปีนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแม้จำเลยได้ฟ้องโจทก์ขอแสดงสิทธิครอบครองนาพิพาทเป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งคดีอยู่ระหว่างพิจารณาแต่เมื่อเป็นการครอบครองภายหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วซึ่งไม่ก่อให้เกิดสิทธิครอบครองแก่จำเลยจำเลยจึงจะขอให้งดการบังคับคดีไว้ไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4824/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีหลังศาลตัดสินสิทธิในที่ดิน การครอบครองต่อเนื่องไม่สร้างสิทธิใหม่
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่นาพิพาทเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง และคดีถึงที่สุดไปแล้วจำเลยคงยึดถือที่นาพิพาทสืบเนื่องต่อมาเท่านั้น ไม่มีพฤติการณ์ใดขึ้นใหม่อันจะแสดงว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองที่นาพิพาท จึงจะนำระยะเวลาการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375กำหนด 1 ปี มาบังคับแก่โจทก์มิได้
โจทก์ขอให้บังคับคดีภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแม้จำเลยได้ฟ้องโจทก์ขอแสดงสิทธิครอบครองนาพิพาทเป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งคดีอยู่ระหว่างพิจารณา แต่เมื่อเป็นการครอบครองภายหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วซึ่งไม่ก่อให้เกิดสิทธิครอบครองแก่จำเลยจำเลยจึงจะขอให้งดการบังคับคดีไว้ไม่ได้
โจทก์ขอให้บังคับคดีภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแม้จำเลยได้ฟ้องโจทก์ขอแสดงสิทธิครอบครองนาพิพาทเป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งคดีอยู่ระหว่างพิจารณา แต่เมื่อเป็นการครอบครองภายหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วซึ่งไม่ก่อให้เกิดสิทธิครอบครองแก่จำเลยจำเลยจึงจะขอให้งดการบังคับคดีไว้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4784/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบิกความเท็จต้องมีเจตนาเล็งเห็นผล การเบิกความตามหลักฐานการครอบครองไม่ผิด
การที่จะเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จนั้นผู้กระทำจะต้องกระทำโดยมีเจตนาคือรู้อยู่แล้วว่าข้อความที่ตนนำมาเบิกความนั้นเป็นความเท็จ โจทก์ซึ่งเป็นกำนันท้องที่ใช้รถแทรกเตอร์ขุดดินเพื่อบูรณะหนองน้ำสาธารณะที่ก.แจ้งส.ค.1ไว้ว่าเป็นของตนการที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์บุกรุกที่ดินของก.เป็นการเบิกความไปตามหลักฐานการแจ้งการครอบครองจึงไม่เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จในความผิดฐานบุกรุกส่วนที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์ตัดฟันต้นจากสาคูของก.โดยที่โจทก์มิได้ตัดฟันนั้นย่อมเป็นการเบิกความเท็จในข้อสำคัญในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4784/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาเบิกความเท็จ: การเบิกความตามหลักฐานการครอบครองไม่ผิด แต่เบิกความเท็จในข้อสำคัญเป็นความผิด
การที่จะเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จนั้น ผู้กระทำจะต้องกระทำโดยมีเจตนา คือรู้อยู่แล้วว่าข้อความที่ตนนำมาเบิกความนั้นเป็นความเท็จ
โจทก์ซึ่งเป็นกำนันท้องที่ใช้รถแทรกเตอร์ขุดดินเพื่อบูรณะหนองน้ำสาธารณะที่ ก.แจ้ง ส.ค.1 ไว้ว่าเป็นของตน การที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์บุกรุกที่ดินของ ก. เป็นการเบิกความไปตามหลักฐานการแจ้งการครอบครอง จึงไม่เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จในความผิดฐานบุกรุก ส่วนที่จำเลยเบิกความว่า โจทก์ตัดฟันต้นจากสาคูของ ก. โดยที่โจทก์มิได้ตัดฟันนั้น ย่อมเป็นการเบิกความเท็จในข้อสำคัญในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
โจทก์ซึ่งเป็นกำนันท้องที่ใช้รถแทรกเตอร์ขุดดินเพื่อบูรณะหนองน้ำสาธารณะที่ ก.แจ้ง ส.ค.1 ไว้ว่าเป็นของตน การที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์บุกรุกที่ดินของ ก. เป็นการเบิกความไปตามหลักฐานการแจ้งการครอบครอง จึงไม่เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จในความผิดฐานบุกรุก ส่วนที่จำเลยเบิกความว่า โจทก์ตัดฟันต้นจากสาคูของ ก. โดยที่โจทก์มิได้ตัดฟันนั้น ย่อมเป็นการเบิกความเท็จในข้อสำคัญในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4784/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบิกความเท็จต้องรู้ว่าเป็นเท็จ: แยกพิจารณาความผิดตามหลักฐานและข้อเท็จจริง
การที่จะเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จนั้น ผู้กระทำจะต้องกระทำโดยมีเจตนา คือรู้อยู่แล้วว่าข้อความที่ตนนำมาเบิกความนั้นเป็นความเท็จ
โจทก์ซึ่งเป็นกำนันท้องที่ใช้รถแทรกเตอร์ขุดดินเพื่อบูรณะหนองน้ำสาธารณะที่ ก.แจ้ง ส.ค.1 ไว้ว่าเป็นของตน การที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์บุกรุกที่ดินของ ก. เป็นการเบิกความไปตามหลักฐานการแจ้งการครอบครอง จึงไม่เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จในความผิดฐานบุกรุก ส่วนที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์ตัดฟันต้นจากสาคูของก.โดยที่โจทก์มิได้ตัดฟันนั้น ย่อมเป็นการเบิกความเท็จในข้อสำคัญในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
โจทก์ซึ่งเป็นกำนันท้องที่ใช้รถแทรกเตอร์ขุดดินเพื่อบูรณะหนองน้ำสาธารณะที่ ก.แจ้ง ส.ค.1 ไว้ว่าเป็นของตน การที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์บุกรุกที่ดินของ ก. เป็นการเบิกความไปตามหลักฐานการแจ้งการครอบครอง จึงไม่เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จในความผิดฐานบุกรุก ส่วนที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์ตัดฟันต้นจากสาคูของก.โดยที่โจทก์มิได้ตัดฟันนั้น ย่อมเป็นการเบิกความเท็จในข้อสำคัญในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์