พบผลลัพธ์ทั้งหมด 944 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4190/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบเงินที่ได้จากการกระทำผิดยาเสพติด: ศาลฎีกาชี้ว่าเงินที่ใช้ซื้อยาเสพติดหรือค่าขนส่งเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิดและต้องริบ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสี่กับพวกร่วมกันมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย และยึดได้ธนบัตรจากจำเลยที่ 1 จากจำเลยที่ 3 และจากจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นธนบัตรที่จำเลยรับมาเพื่อใช้ในการหาซื้อกัญชา และใช้เป็นค่าขนย้ายกัญชาเป็นของกลางเมื่อจำเลยที่ 3 ที่ 4 ให้การรับสารภาพตามฟ้อง จึงต้องฟังว่าธนบัตรของกลางที่ยึดได้จากจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งศาลมีอำนาจริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าธนบัตรของกลางที่ยึดได้จากจำเลยที่ 3ที่ 4 มิใช่เป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิด หรือได้มาจากการกระทำผิด นั้น เป็นการฟังข้อเท็จจริงที่ผิดไปจากคำรับสารภาพของจำเลย ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งให้การปฏิเสธเป็นคดีใหม่ เป็นการสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 และมีผลทำให้คำขอของโจทก์ในคดีนี้ที่ให้ริบธนบัตรของกลางที่ยึดได้จากจำเลยที่ 1 สิ้นสภาพไป
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งให้การปฏิเสธเป็นคดีใหม่ เป็นการสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 และมีผลทำให้คำขอของโจทก์ในคดีนี้ที่ให้ริบธนบัตรของกลางที่ยึดได้จากจำเลยที่ 1 สิ้นสภาพไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4190/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบเงินที่ได้จากการกระทำผิดยาเสพติด: ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ริบเงินจากจำเลยที่รับสารภาพ โดยอาศัยคำรับสารภาพเป็นหลัก
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสี่กับพวกร่วมกันมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย และยึดได้ธนบัตรจากจำเลยที่ 1 จากจำเลยที่ 3 และจากจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นธนบัตรที่จำเลยรับมาเพื่อใช้ในการหาซื้อกัญชา และใช้เป็นค่าขนย้ายกัญชาเป็นของกลางเมื่อจำเลยที่ 3 ที่ 4 ให้การรับสารภาพตามฟ้อง จึงต้องฟังว่าธนบัตรของกลางที่ยึดได้จากจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งศาลมีอำนาจริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าธนบัตรของกลางที่ยึดได้จากจำเลยที่ 3 ที่ 4 มิใช่เป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิด หรือได้มาจากการกระทำผิด นั้น เป็นการฟังข้อเท็จจริงที่ผิดไปจากคำรับสารภาพของจำเลย ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งให้การปฏิเสธเป็นคดีใหม่ เป็นการสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 176 และมีผลทำให้คำขอของโจทก์ในคดีนี้ที่ให้ริบธนบัตรของกลางที่ยึดได้จากจำเลยที่ 1 สิ้นสภาพไป
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งให้การปฏิเสธเป็นคดีใหม่ เป็นการสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 176 และมีผลทำให้คำขอของโจทก์ในคดีนี้ที่ให้ริบธนบัตรของกลางที่ยึดได้จากจำเลยที่ 1 สิ้นสภาพไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4047/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินโบนัสปกติไม่ถือเป็นค่าจ้างสำหรับการคำนวณเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน จำเลยต้องคืนเงินพร้อมดอกเบี้ย
เงินโบนัสปกติมิใช่เงินที่โจทก์จ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงาน ไม่ถือว่าเป็นค่าจ้างอันจะนำมาคำนวณเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน กรมแรงงานจำเลยเรียกเก็บ จึงเป็นการเรียกเก็บ โดยมิชอบ แต่โจทก์ก็จำต้องชำระเพื่อไม่ให้ต้องจ่ายเงินเพิ่ม จึงทำให้โจทก์ขาดประโยชน์อันควรได้จากเงินที่ได้ชำระให้จำเลย ไปตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องถือว่าจำเลย เมื่อจะต้องคืนเงินดังกล่าว จึงต้องเสียดอกเบี้ย นับแต่วันที่รับเงินไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3978-3979/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เหตุจากพฤติกรรมนอกสถานที่ทำงานและข้อจำกัดการอุทธรณ์
โจทก์ทั้งสองมีกัญชาไว้ในความครอบครองและสูบกัญชานั้นโดยผิดกฎหมายยังไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกและยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสองได้กระทำโดยจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายจึงไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยส่วนข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่ากรณีดังกล่าวเป็นกรณีร้ายแรงซึ่งจำเลยไม่จำต้องมีข้อบังคับระบุลงโทษไว้นั้นจำเลยให้การต่อสู้คดีเพียงว่าโจทก์ทั้งสองฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้างอันเป็นกรณีร้ายแรงมิได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การด้วยว่าเป็นกรณีไม่จำต้องมีข้อบังคับระบุลงโทษจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลางต้องห้ามอุทธรณ์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3967/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการอุทธรณ์คดีเช็คและการฉ้อโกง: จำนวนเงิน, ข้อหา, และความชัดเจนของฟ้อง
โจทก์ฟ้องข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ในเช็คแต่ละฉบับเป็นความผิดแต่ละกระทงเรียงกันไป การพิจารณาว่ากระทงใดต้องห้ามอุทธรณ์หรือไม่ ต้องพิจารณาถึงจำนวนเงินที่ระบุในเช็คแต่ละฉบับว่าหากศาลลงโทษปรับสองเท่าของจำนวนเงินที่ระบุในเช็คเพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คแล้วเกินกว่าหกหมื่นบาทหรือไม่ ถ้าไม่เกินกว่าหกหมื่นบาท เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง กรณีก็ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ ที่แก้ไขแล้ว จะนำจำนวนเงินตามที่ระบุในเช็คฉบับอื่นแม้จะลงวันสั่งจ่ายวันเดียวกันมารวมคำนวณด้วยหาได้ไม่
ความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหานี้ คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ที่แก้ไขแล้ว
โจทก์ได้บรรยายฟ้องเกี่ยวกับเช็คที่นำมาฟ้องเป็นจำนวนหลายสิบฉบับ และได้บรรยายฟ้องไว้ชัดเจนว่า เช็คแต่ละฉบับนั้นเป็นของธนาคารใดพร้อมกับระบุสาขาของธนาคาร อันถือว่าเป็นสถานที่ที่เกิดการกระทำความผิดเนื่องจากธนาคารแห่งนั้นปฏิเสธการจ่ายเงินไว้ด้วย จึงหาจำเป็นที่จะต้องระบุแขวงและเขตอีกไม่การที่โจทก์นำเอาชื่อแขวงและเขตที่เกิดการกระทำความผิดไปกล่าวรวมไว้ในตอนท้ายเพื่อบอกสถานที่เกิดเหตุย่อมเพียงพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหานี้ คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ที่แก้ไขแล้ว
โจทก์ได้บรรยายฟ้องเกี่ยวกับเช็คที่นำมาฟ้องเป็นจำนวนหลายสิบฉบับ และได้บรรยายฟ้องไว้ชัดเจนว่า เช็คแต่ละฉบับนั้นเป็นของธนาคารใดพร้อมกับระบุสาขาของธนาคาร อันถือว่าเป็นสถานที่ที่เกิดการกระทำความผิดเนื่องจากธนาคารแห่งนั้นปฏิเสธการจ่ายเงินไว้ด้วย จึงหาจำเป็นที่จะต้องระบุแขวงและเขตอีกไม่การที่โจทก์นำเอาชื่อแขวงและเขตที่เกิดการกระทำความผิดไปกล่าวรวมไว้ในตอนท้ายเพื่อบอกสถานที่เกิดเหตุย่อมเพียงพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3967/2529 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการอุทธรณ์คดีเช็คและฉ้อโกง: จำนวนเงิน, ปัญหาข้อเท็จจริง, และความชัดเจนของฟ้อง
โจทก์ฟ้องข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ในเช็คแต่ละฉบับเป็นความผิดแต่ละกระทงเรียงกันไป การพิจารณาว่ากระทงใดต้องห้ามอุทธรณ์หรือไม่ ต้องพิจารณาถึงจำนวนเงินที่ระบุในเช็คแต่ละฉบับว่าหากศาลลงโทษปรับสองเท่าของจำนวนเงินที่ระบุในเช็คเพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คแล้วเกินกว่าหกหมื่นบาทหรือไม่ ถ้าไม่เกินกว่าหกหมื่นบาท เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง กรณีก็ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ ที่แก้ไขแล้ว จะนำจำนวนเงินตามที่ระบุในเช็คฉบับอื่นแม้จะลงวันสั่งจ่ายวันเดียวกันมารวมคำนวณด้วยหาได้ไม่
ความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหานี้ คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ที่แก้ไขแล้ว
โจทก์ได้บรรยายฟ้องเกี่ยวกับเช็คที่นำมาฟ้องเป็นจำนวนหลายสิบฉบับ และได้บรรยายฟ้องไว้ชัดเจนว่า เช็คแต่ละฉบับนั้นเป็นของธนาคารใดพร้อมกับระบุสาขาของธนาคาร อันถือว่าเป็นสถานที่ที่เกิดการกระทำความผิดเนื่องจากธนาคารแห่งนั้นปฏิเสธการจ่ายเงินไว้ด้วย จึงหาจำเป็นที่จะต้องระบุแขวงและเขตอีกไม่การที่โจทก์นำเอาชื่อแขวงและเขตที่เกิดการกระทำความผิดไปกล่าวรวมไว้ในตอนท้ายเพื่อบอกสถานที่เกิดเหตุย่อมเพียงพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหานี้ คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ที่แก้ไขแล้ว
โจทก์ได้บรรยายฟ้องเกี่ยวกับเช็คที่นำมาฟ้องเป็นจำนวนหลายสิบฉบับ และได้บรรยายฟ้องไว้ชัดเจนว่า เช็คแต่ละฉบับนั้นเป็นของธนาคารใดพร้อมกับระบุสาขาของธนาคาร อันถือว่าเป็นสถานที่ที่เกิดการกระทำความผิดเนื่องจากธนาคารแห่งนั้นปฏิเสธการจ่ายเงินไว้ด้วย จึงหาจำเป็นที่จะต้องระบุแขวงและเขตอีกไม่การที่โจทก์นำเอาชื่อแขวงและเขตที่เกิดการกระทำความผิดไปกล่าวรวมไว้ในตอนท้ายเพื่อบอกสถานที่เกิดเหตุย่อมเพียงพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3967/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการอุทธรณ์คดีเช็คและฉ้อโกง: การพิจารณาจำนวนเงิน, ปัญหาข้อเท็จจริง, และความชัดเจนของฟ้อง
โจทก์ฟ้องข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497มาตรา3ในเช็คแต่ละฉบับเป็นความผิดแต่ละกระทงเรียงกันไปการพิจารณาว่ากระทงใดต้องห้ามอุทธรณ์หรือไม่ต้องพิจารณาถึงจำนวนเงินที่ระบุในเช็คแต่ละฉบับว่าหากศาลลงโทษปรับสองเท่าของจำนวนเงินที่ระบุในเช็คเพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คแล้วเกินกว่าหกหมื่นบาทหรือไม่ถ้าไม่เกินกว่าหกหมื่นบาทเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องกรณีก็ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา193ทวิที่แก้ไขแล้วจะนำจำนวนเงินตามที่ระบุในเช็คฉบับอื่นแม้จะลงวันสั่งจ่ายวันเดียวกันมารวมคำนวณด้วยหาได้ไม่ ความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา341มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหานี้คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา193ทวิที่แก้ไขแล้ว โจทก์ได้บรรยายฟ้องเกี่ยวกับเช็คที่นำมาฟ้องเป็นจำนวนหลายสิบฉบับและได้บรรยายฟ้องไว้ชัดเจนว่าเช็คแต่ละฉบับนั้นเป็นของธนาคารใดพร้อมกับระบุสาขาของธนาคารอันถือว่าเป็นสถานที่ที่เกิดการกระทำความผิดเนื่องจากธนาคารแห่งนั้นปฏิเสธการจ่ายเงินไว้ด้วยจึงหาจำเป็นที่จะต้องระบุแขวงและเขตอีกไม่การที่โจทก์นำเอาชื่อแขวงและเขตที่เกิดการกระทำความผิดไปกล่าวรวมไว้ในตอนท้ายเพื่อบอกสถานที่เกิดเหตุย่อมเพียงพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3967/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการอุทธรณ์คดีเช็คและการระบุสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง
โจทก์ฟ้องข้อหาความผิดต่อพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497มาตรา3ในเช็คแต่ละฉบับเป็นความผิดแต่ละกระทงเรียงกันไปการพิจารณาว่ากระทงใดต้องห้ามอุทธรณ์หรือไม่ต้องพิจารณาถึงจำนวนเงินที่ระบุในเช็คแต่ละฉบับว่าหากศาลลงโทษปรับสองเท่าของจำนวนเงินที่ระบุในเช็คเพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คแล้วเกินกว่าหกหมื่นบาทหรือไม่ถ้าไม่เกินกว่าหกหมื่นบาทเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องกรณีก็ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามป.วิ.อ.มาตรา193ทวิจะนำจำนวนเงินตามที่ระบุในเช็คฉบับอื่นแม้จะลงวันสั่งจ่ายวันเดียวกันมารวมคำนวณด้วยหาได้ไม่ ความผิดฐานฉ้อโกงตามป.อ.มาตรา341มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหานี้คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามป.วิ.อ.มาตรา193ทวิ โจทก์ได้บรรยายฟ้องเกี่ยวกับเช็คที่นำมาฟ้องเป็นจำนวนหลายสิบฉบับและได้บรรยายฟ้องไว้ชัดเจนว่าเช็คแต่ละฉบับนั้นเป็นของธนาคารใดพร้อมกับระบุสาขาของธนาคารอันถือว่าเป็นสถานที่ที่เกิดการกระทำความผิดเนื่องจากธนาคารแห่งนั้นปฏิเสธการจ่ายเงินไว้ด้วยจึงหาจำเป็นที่จะต้องระบุแขวงและเขตอีกไม่การที่โจทก์นำเอาชื่อแขวงและเขตที่เกิดการกระทำความผิดไปกล่าวรวมไว้ในตอนท้ายเพื่อบอกสถานที่เกิดเหตุย่อมเพียงพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3875/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีอาญา: การวินิจฉัยสถานะผู้เสียหายและมูลฟ้องจากข้อเท็จจริงเดิม
ในคดีที่ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเมื่อโจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายในการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวศาลอุทธรณ์จำต้องพิจารณาข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเพื่อที่จะนำมาวินิจฉัยปัญหาว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่เมื่อศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณาต่อไปว่าคดีโจทก์มีมูลพอที่ศาลจะประทับฟ้องไว้พิจารณาได้หรือไม่เมื่อเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏจากการไต่สวนมูลฟ้องนั้นคดีโจทก์ไม่มีมูลศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา185ประกอบกับมาตรา215.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3875/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีอาญา: การพิจารณาผู้เสียหายและมูลความผิด
ในคดีที่ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เมื่อโจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหาย ในการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว ศาลอุทธรณ์จำต้องพิจารณาข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง เพื่อที่จะนำมาวินิจฉัยปัญหาว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่ เมื่อศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณาต่อไปว่า คดีโจทก์มีมูลพอที่ศาลจะประทับฟ้องไว้พิจารณาได้หรือไม่ เมื่อเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏจากการไต่สวนมูลฟ้องนั้น คดีโจทก์ไม่มีมูล ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ประกอบกับมาตรา 215