คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุรัตน์ ศรีอนุพันธุ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 944 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3831/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยความสามารถในการต่อสู้คดีของจำเลย: ศาลไม่ต้องเรียกแพทย์หากไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้
การที่ศาลจะเรียกพนักงานแพทย์มาให้ถ้อยคำหรือให้การถึง ผลการตรวจในกรณีที่มีเหตุควรเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้วิกลจริตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 14 ก็ต่อเมื่อพนักงานแพทย์ได้ทำการตรวจเสร็จและสามารถวินิจฉัยโรคได้. แต่เมื่อพนักงานแพทย์ได้ตรวจร่างกายของจำเลยหลายครั้งแล้ว แต่ไม่สามารถให้คำวินิจฉัยโรคได้จึงไม่มีความจำเป็นอย่างใดที่ศาลจะต้องเรียกให้แพทย์ผู้ตรวจมาให้ถ้อยคำอีก ทั้งเมื่อศาลชั้นต้นนัดพร้อมกลับปรากฏข้อเท็จจริง ต่อหน้าศาลว่า จำเลยสามารถเข้าใจคำถามและตอบได้ตรงคำถาม ไม่มีกิริยาหรืออาการแสดงว่าจำเลยวิกลจริตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป จึงชอบด้วย กระบวนพิจารณาแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3708/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อสัญญาดอกเบี้ยไม่ชัดเจน ศาลตีความในทางที่เป็นคุณต่อลูกหนี้ อัตราดอกเบี้ยตามกฎหมาย
สัญญากู้ระบุเรื่องดอกเบี้ยไว้ว่า 'ยอมให้ดอกเบี้ยตามกฎหมายอย่างสูง' เป็นข้อความที่มิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยโดยชัดแจ้งแน่นอนว่าเป็น อัตราสูงเท่าไรต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่ผู้กู้ ผู้ให้กู้มีสิทธิ เรียกดอกเบี้ยได้ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา7

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3708/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเงินกู้: การตีความข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยที่ไม่ชัดเจน ศาลใช้ประโยชน์แก่ลูกหนี้
สัญญากู้ระบุเรื่องดอกเบี้ยไว้ว่า "ยอมให้ดอกเบี้ยตามกฎหมายอย่างสูง" เป็นข้อความที่มิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยโดยชัดแจ้งแน่นอนว่าเป็นอัตราสูงเท่าไร ต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่ผู้กู้ ผู้ให้กู้มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา7

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3680/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคุ้มครองโรงเรือนรุกล้ำตาม ป.พ.พ. มาตรา 1312 ต้องเป็นเจ้าของโรงเรือนและส่วนรุกล้ำต้องน้อยกว่าส่วนที่สร้างบนที่ดินของตน
บุคคลที่สร้างโรงเรือนรุกล้ำโดยสุจริตที่จะได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 จะต้องเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นและส่วนที่รุกล้ำนั้นจะต้องเป็นส่วนน้อย ส่วนที่อยู่ในที่ดินที่ตนมีสิทธิสร้างต้องเป็นส่วนใหญ่ มิฉะนั้นจะเรียกว่าสร้างโรงเรือนรุกล้ำไม่ได้ ตามฟ้องอ้างว่าโจทก์ปลูกสร้างโรงเรือนของผู้อื่นรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยที่ 1 และบรรยายฟ้องต่อไปว่าโรงเรือนส่วนที่รุกล้ำนั้นเนื้อที่ประมาณ 12 ตารางวา ประมาณครึ่งหนึ่งของโรงเรือนแสดงว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของโรงเรือนที่สร้างรุกล้ำ ทั้งส่วนที่รุกล้ำนั้นมิใช่ส่วนน้อยอันจะเรียกว่ารุกล้ำตามมาตรา 1312 ดังนั้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1312

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3664-3665/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรังวัดที่ดินผิดพลาด, การซื้อที่ดินโดยสุจริต, และภาระจำยอมในลำกระโดง
ที่ดินมีโฉนดของโจทก์และจำเลยที่ 1 มีแนวเขตด้านหนึ่งติดต่อกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 ขอทำการรังวัดแบ่งแยกโฉนดและเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดผิดพลาดกำหนดแนวเขตที่ดินจำเลยที่1 รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ แม้จำเลยที่ 2ที่ 3 จะซื้อที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 โดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วจำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็ไม่มีสิทธิดีกว่าจำเลยที่ 1จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่รุกล้ำ กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 1299 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เมื่อกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนที่รุกล้ำเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 ลำกระโดงพิพาทซึ่งเป็นทางน้ำไหลผ่านที่ดินของโจทก์และจำเลยที่ 1 โดยแนวเขตที่ดินของโจทก์และจำเลยที่ 1อยู่ตรงกึ่งกลางลำกระโดง และโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ชักน้ำจากลำกระโดงเข้าไปใช้ในที่ดินของตนมาเป็นเวลาเกินกว่า10 ปีแล้วถือได้ว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ภาระจำยอมในที่ดินของแต่ละฝ่ายในลำกระโดงนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 ประกอบด้วยมาตรา1382(วรรคสองวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2528)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3488/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ โทษปรับสำหรับนิติบุคคลในความผิดฐานฟ้องเท็จ: ศาลสามารถลงโทษปรับได้เพียงสถานเดียว
ศาลอาจลงโทษนิติบุคคลในความผิดฐานฟ้องเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 ซึ่งมีทั้งโทษจำคุกและปรับ โดยลงโทษปรับแต่เพียงสถานเดียวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3488/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ โทษปรับสำหรับนิติบุคคลในความผิดฐานฟ้องเท็จ แม้กฎหมายกำหนดทั้งจำคุกและปรับ
ศาลอาจลงโทษนิติบุคคลในความผิดฐานฟ้องเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 ซึ่งมีทั้งโทษจำคุกและปรับโดยลงโทษปรับแต่เพียงสถานเดียวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3213/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการแก้ไขคำสั่งบังคับคดี และการเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ราคต่ำกว่าราคาประเมิน
ศาลแพ่งเป็นศาลที่ได้พิจารณาและชี้ขาดคดีนี้ในชั้นต้น จึงเป็นศาลที่มีอำนาจออกหมายบังคับคดีและทำคำวินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องใด ๆ อันเกี่ยวด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งที่เสนอต่อศาลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 302 คำสั่งของศาลจังหวัดธัญบุรีที่อนุญาตให้ขายที่ดินแก่ผู้ที่ประมูลให้ราคาสูงสุดได้เป็นการสั่งในการบังคับคดีแทนศาลแพ่งเท่านั้น เมื่อจำเลยยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งอ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดฝ่าฝืนต่อกฎหมายก่อนการบังคับคดีได้เสร็จสิ้นและไม่ช้ากว่า 8 วันนับแต่วันทราบการฝ่าฝืน ศาลแพ่งย่อมมีอำนาจที่จะสั่งแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งดังกล่าวของศาลจังหวัดธัญญบุรี ซึ่งเป็นศาลที่ดำเนินการบังคับคดีแทนศาลแพ่งได้
ในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลนั้น เมื่อปรากฏว่าราคาสูงสุดที่มีผู้ประมูลได้เป็นราคาที่ต่ำไปมาก โดยต่ำกว่าราคาประเมินของเจ้าพนักงานที่ดินมากจำเลยที่เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งต้องเสียหายย่อมขอให้ศาลสั่ง เพิกถอนการขายและขอให้ขายทอดตลาดใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3213/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการแก้ไขคำสั่งบังคับคดี และการเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ไม่บริบูรณ์
ศาลแพ่งเป็นศาลที่ได้พิจารณาและชี้ขาดคดีนี้ในชั้นต้นจึงเป็นศาลที่มีอำนาจออกหมายบังคับคดีและทำคำวินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องใด ๆอันเกี่ยวด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งที่เสนอต่อศาลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 302คำสั่งของศาลจังหวัดธัญบุรีที่อนุญาตให้ขายที่ดินแก่ผู้ที่ประมูลให้ราคาสูงสุดได้เป็นการสั่งในการบังคับคดีแทนศาลแพ่งเท่านั้น เมื่อจำเลยยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งอ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดฝ่าฝืนต่อกฎหมายก่อนการบังคับคดีได้เสร็จสิ้นและไม่ช้ากว่า 8 วันนับแต่วันทราบการฝ่าฝืนศาลแพ่งย่อมมีอำนาจที่จะสั่งแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งดังกล่าวของศาลจังหวัดธัญญบุรี ซึ่งเป็นศาลที่ดำเนินการบังคับคดีแทนศาลแพ่งได้ ในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลนั้น เมื่อปรากฏว่าราคาสูงสุดที่มีผู้ประมูลได้เป็นราคาที่ต่ำไปมาก โดยต่ำกว่าราคาประเมินของเจ้าพนักงานที่ดินมากจำเลยที่เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งต้องเสียหายย่อมขอให้ศาลสั่ง เพิกถอนการขายและขอให้ขายทอดตลาดใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3154/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการจดทะเบียนที่ดิน: ความจำเป็นในการใช้สิทธิทางศาลเพื่อแสดงกรรมสิทธิ์ที่ได้มาตามกฎหมาย
บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55มิได้หมายความว่าใครต้องการจะใช้สิทธิทางศาลก็ใช้ได้ตามอำเภอใจ แต่เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาด้วยว่ามีกฎหมายสารบัญญัติสนับสนุนว่าเป็นกรณีจำเป็นจะต้องมาร้องขอต่อศาลเพื่อรับรองหรือคุ้มครองตามสิทธิของตนที่มีอยู่ จึงจะใช้สิทธิทางศาลได้
ผู้ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินซึ่งมีชื่อผู้อื่นเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์อยู่ในทะเบียนที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ตราบใดที่ยังไม่จดทะเบียนให้ปรากฏในทะเบียนที่ดินว่าตนเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ย่อมไม่อาจดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ได้ และอาจเสียสิทธิไปได้ถ้ามีบุคคลอื่นได้สิทธิในที่ดินนั้นโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตกับได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตดังนั้น เพื่อได้ให้ได้รับการรับรองและคุ้มครองตามสิทธิของตนที่มีอยู่ในฐานะเจ้าของ กรรมสิทธิ์ จึงจำเป็นต้องดำเนินการให้ปรากฏขึ้นในทะเบียนที่ดินว่าตนเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และกฎกระทรวงฉบับที่ 7(พ.ศ.2497) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ.2497 กำหนดว่าผู้ได้มาต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดว่าตนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวดังนั้น บุคคลที่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินตามมาตรา 1382 จึงมีความจำเป็นจะต้องใช้สิทธิทางศาลเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่า ตนได้กรรมสิทธิ์เพื่อนำไปแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการจดทะเบียนส่วนที่ดินประเภทที่ยังไม่ได้จดทะเบียนไว้ในทะเบียนที่ดินไม่มีกฎหมายบัญญัติดังกล่าวและผู้ยึดถือที่ดินดังกล่าวโดยเจตนายึดถือเพื่อตนย่อมได้สิทธิครอบครองที่ดินนั้นแล้วตามมาตรา 1367ทั้งกฎหมายก็ให้ความรับรองคุ้มครองสิทธิครอบครองและจำหน่ายจ่ายโอนได้ จึงไม่มีความจำเป็นแต่ประการใดที่จะต้องมาร้องขอต่อศาล
of 95