พบผลลัพธ์ทั้งหมด 535 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3057/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้รับเหมาและหน่วยงานราชการต่อความเสียหายจากอุบัติเหตุบนถนนที่ก่อสร้าง
จำเลยที่ 2, ที่ 3 ทำสัญญากับกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 รับจ้างปรับปรุงถนน การปรับปรุงถนนดังกล่าวจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ทำทางเบี่ยงไว้แต่มิได้ติดตั้งไฟสัญญาณให้มองเห็นในเวลากลางคืน ผู้ตายขับรถยนต์มาตามปกติถึงบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งมืดมากจึงชนเกาะกลางถนนถึงแก่ความตายดังนี้ เป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยฝ่ายเดียว จำเลยที่ 1ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2, ที่ 3 จะอ้างว่าจำเลยที่ 2 ยังไม่ได้ส่งมอบงาน หรืออ้างว่าเป็นผู้ว่าจ้างไม่ต้องร่วมรับผิดในความเสียหายต่อบุคคลภายนอกตาม ป.พ.พ. มาตรา 428 ไม่ได้ เพราะตน มีหน้าที่จัดให้มีและบำรุงรักษาทางบก ทางน้ำ และทางระบายน้ำ ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2518 มาตรา 66(2).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3045/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับการแบ่งที่ดินรวม: ผลผูกพันและการบังคับตามสัญญา
โจทก์กับจำเลยทั้งสามได้ทำบันทึกข้อตกลงแบ่งส่วนที่ดินของตนที่มีอยู่ในที่ดินออกจากกัน จำนวน 3 แปลง แบ่งที่ดินทางทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออก แปลงที่ 1 เป็นของจำเลยที่ 2 แปลงที่ 2 ถัดจากแปลงที่ 1 มาทางทิศใต้ เป็นของโจทก์ แปลงที่ 3 เป็นของจำเลยที่ 1 แปลงคงเหลือเป็นของจำเลยที่ 3 ส่วนเนื้อที่จะแจ้งในวันไปรังวัดและยังมีเอกสารซึ่งเป็นรูปจำลองแผนที่ มีรอยขีดเส้นแบ่งที่ดินออกเป็น4 ส่วน เขียนชื่อโจทก์ในบริเวณที่ดินด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ชื่อจำเลยที่ 3 ในบริเวณที่ดินด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสามลงชื่อรับรองเอกสารและรูปแผนที่ดังกล่าวไว้ด้วย เมื่อโจทก์กับจำเลยทั้งสามมีกรรมสิทธิ์รวมกันในที่ดินพิพาทการกำหนดลงไปในเอกสารทั้งสองฉบับว่า ผู้ใดได้ที่ดินส่วนใดย่อมเป็นการระงับข้อพิพาทอันจะมีขึ้นให้เสร็จไปเพราะเป็นการตกลงเพื่อให้เป็นที่แน่นอนไม่โต้เถียงแย่งกันเอาที่ดินส่วนนั้นส่วนนี้ ทั้งตามข้อตกลงก็ระบุว่าจะนำช่างรังวัดทำการปักหลักเขตแสดงว่ามีการตกลงกันแน่นอนแล้วมิฉะนั้นก็ย่อมจะนำช่างรังวัดที่ดินเพื่อแบ่งแยกมิได้และหลังจากรังวัดแล้วจึงจะรู้เนื้อที่ของแต่ละคนเป็นที่แน่นอนเอกสารดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงฟ้องแย้งขอให้บังคับให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้
ฟ้องแย้งเป็นเรื่องจำเลยขอให้บังคับโจทก์จะขอให้บังคับจำเลยด้วยกันมิได้ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 178.
ฟ้องแย้งเป็นเรื่องจำเลยขอให้บังคับโจทก์จะขอให้บังคับจำเลยด้วยกันมิได้ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 178.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3045/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งที่ดิน: ผลผูกพันและขอบเขตการบังคับใช้ตามฟ้องแย้ง
โจทก์กับจำเลยทั้งสามได้ทำบันทึกข้อตกลงแบ่งส่วนที่ดินของตนที่มีอยู่ในที่ดินออกจากกัน จำนวน 3 แปลง แบ่งที่ดินทางทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออก แปลงที่ 1 เป็นของจำเลยที่ 2แปลงที่ 2ถัดจากแปลงที่ 1 มาทางทิศใต้ เป็นของโจทก์ แปลงที่ 3 เป็นของจำเลยที่ 1 แปลงคงเหลือเป็นของจำเลยที่ 3 ส่วนเนื้อที่จะแจ้งในวันไปรังวัดและยังมีเอกสารซึ่งเป็นรูปจำลองแผนที่ มีรอยขีดเส้นแบ่งที่ดินออกเป็น4 ส่วน เขียนชื่อโจทก์ในบริเวณที่ดินด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ชื่อจำเลยที่ 3 ในบริเวณที่ดินด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสามลงชื่อรับรองเอกสารและรูปแผนที่ดังกล่าวไว้ด้วยเมื่อโจทก์กับจำเลยทั้งสามมีกรรมสิทธิ์รวมกันในที่ดินพิพาทการกำหนดลงไปในเอกสารทั้งสองฉบับว่า ผู้ใดได้ที่ดินส่วนใดย่อมเป็นการระงับข้อพิพาทอันจะมีขึ้นให้เสร็จไปเพราะเป็นการตกลงเพื่อให้เป็นที่แน่นอนไม่โต้เถียงแย่งกันเอาที่ดินส่วนนั้นส่วนนี้ ทั้งตามข้อตกลงก็ระบุว่าจะนำช่างรังวัดทำการปักหลักเขตแสดงว่ามีการตกลงกันแน่นอนแล้วมิฉะนั้นก็ย่อมจะนำช่างรังวัดที่ดินเพื่อแบ่งแยกมิได้และหลังจากรังวัดแล้วจึงจะรู้เนื้อที่ของแต่ละคนเป็นที่แน่นอนเอกสารดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงฟ้องแย้งขอให้บังคับให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้
ฟ้องแย้งเป็นเรื่องจำเลยขอให้บังคับโจทก์จะขอให้บังคับจำเลยด้วยกันมิได้ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 178.
ฟ้องแย้งเป็นเรื่องจำเลยขอให้บังคับโจทก์จะขอให้บังคับจำเลยด้วยกันมิได้ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 178.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3045/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งกรรมสิทธิ์รวม และผลบังคับใช้กับจำเลยอื่น
โจทก์กับจำเลยทั้งสามมีกรรมสิทธิ์รวมกันในที่ดินพิพาท การกำหนดลงไปในเอกสารรวมสองฉบับว่า ผู้ใดได้ที่ดินส่วนใด ย่อมเป็นการระงับข้อพิพาทอันจะมีขึ้นให้เสร็จไป เพราะเป็นการตกลงเพื่อให้เป็นที่แน่นอนไม่โต้เถียง แย่งกันเอาที่ดินส่วนนั้นส่วนนี้ ทั้งตามข้อตกลงก็ระบุว่าจะนำช่าง รังวัดทำการปักหลักเขตแสดงว่า มีการตกลงกันแน่นอนแล้วมิฉะนั้นย่อมจะนำช่าง รังวัดที่ดินเพื่อแบ่งแยกมิได้ และหลังจากรังวัดแล้วจึงจะรู้เนื้อที่ของแต่ละคนเป็นที่แน่นอน เอกสารดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 ฟ้องแย้งเป็นเรื่องจำเลยขอให้บังคับโจทก์จะขอให้บังคับจำเลยด้วยกันมิได้เพราะขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 178.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3039/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลคุมขังจำเลยในคดีเช็ค: ประกาศคณะปฏิวัติไม่ได้ตัดสิทธิศาล
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 196 ซึ่งได้ยกเลิกและบัญญัติความใหม่เกี่ยวกับการควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ในมาตรา 5 (1) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ฯ นั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขอำนาจการควบคุมผู้ต้องหาที่ได้กระทำความผิดดังกล่าวในชั้นสอบสวนเท่านั้น ไม่รวมถึงอำนาจคุมขังจำเลยในชั้นพิจารณาของศาล ซึ่งคงเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 196 ข้อ 2 ที่บัญญัติให้พนักงานสอบสวนหรือศาลดำเนินการปล่อยตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยตามความในมาตรา 5 ของพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ฯนั้น เป็นบทบัญญัติที่ใช้เฉพาะผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ถูกควบคุมหรือต้องขังอยู่ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวในวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 196 มีผลใช้บังคับเท่านั้น หาใช่เป็นการตัดอำนาจศาลในการคุมขังจำเลยในระหว่างพิจารณาภายหลังวันดังกล่าวไม่.
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 196 ข้อ 2 ที่บัญญัติให้พนักงานสอบสวนหรือศาลดำเนินการปล่อยตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยตามความในมาตรา 5 ของพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ฯนั้น เป็นบทบัญญัติที่ใช้เฉพาะผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ถูกควบคุมหรือต้องขังอยู่ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวในวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 196 มีผลใช้บังคับเท่านั้น หาใช่เป็นการตัดอำนาจศาลในการคุมขังจำเลยในระหว่างพิจารณาภายหลังวันดังกล่าวไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3039/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการใช้ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 196 กับอำนาจคุมขังจำเลยในชั้นพิจารณา และความชอบธรรมของสัญญาประกัน
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 196 ซึ่งได้ยกเลิกและบัญญัติความใหม่เกี่ยวกับการควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ในมาตรา 5(1) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ฯ นั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขอำนาจการควบคุมผู้ต้องหาที่ได้กระทำความผิดดังกล่าวในชั้นสอบสวนเท่านั้น ไม่รวมถึงอำนาจคุมขังจำเลยในชั้นพิจารณาของศาล ซึ่งคงเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 196 ข้อ 2 ที่บัญญัติให้พนักงานสอบสวนหรือศาลดำเนินการปล่อยตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยตามความในมาตรา 5ของพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ฯนั้น เป็นบทบัญญัติที่ใช้เฉพาะผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ถูกควบคุมหรือต้องขังอยู่ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวในวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 196 มีผลใช้บังคับเท่านั้น หาใช่เป็นการตัดอำนาจศาลในการคุมขังจำเลยในระหว่างพิจารณาภายหลังวันดังกล่าวไม่.
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 196 ข้อ 2 ที่บัญญัติให้พนักงานสอบสวนหรือศาลดำเนินการปล่อยตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยตามความในมาตรา 5ของพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ฯนั้น เป็นบทบัญญัติที่ใช้เฉพาะผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ถูกควบคุมหรือต้องขังอยู่ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวในวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 196 มีผลใช้บังคับเท่านั้น หาใช่เป็นการตัดอำนาจศาลในการคุมขังจำเลยในระหว่างพิจารณาภายหลังวันดังกล่าวไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3012/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาพยายามฆ่าจากการใช้ขวานทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย แม้ผู้เสียหายหลบได้ แต่บาดแผลอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้ขวานฟันพยายามฆ่าผู้เสียหาย จำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาโดยอ้างแต่เพียงว่า กระทำลงไปเพราะเมาสุราขาดสติสัมปชัญญะ ทั้งไม่ติดใจสืบพยานจำเลย เช่นนี้จำเลยจะยกกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ว่าไม่เจตนาฆ่าผู้เสียหายไม่ได้ฟันแรงนัก ไม่ได้
จำเลยใช้ขวานด้ามยาว 12 นิ้ว คมขวานกว้าง 2.8 นิ้ว ฟันผู้เสียหายทั้งสองที่ศีรษะเต็มแรง แต่ผู้เสียหายทั้งสองหลบทัน คมขวานพลาดศีรษะแต่เกิดบาดแผลซึ่งอาจทำให้ถึงตายได้และจำเลยยังทำท่าจะฟันซ้ำอีก เช่นนี้จำเลยมีเจตนาฆ่า การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสองมิใช่เพียงแต่ทำร้ายร่างกายเท่านั้น.
จำเลยใช้ขวานด้ามยาว 12 นิ้ว คมขวานกว้าง 2.8 นิ้ว ฟันผู้เสียหายทั้งสองที่ศีรษะเต็มแรง แต่ผู้เสียหายทั้งสองหลบทัน คมขวานพลาดศีรษะแต่เกิดบาดแผลซึ่งอาจทำให้ถึงตายได้และจำเลยยังทำท่าจะฟันซ้ำอีก เช่นนี้จำเลยมีเจตนาฆ่า การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสองมิใช่เพียงแต่ทำร้ายร่างกายเท่านั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3012/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาพยายามฆ่าจากการใช้ขวานทำร้าย แม้ผู้เสียหายหลบได้ บาดแผลอาจถึงแก่ชีวิตได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้ขวานฟันพยายามฆ่าผู้เสียหาย จำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาโดยอ้างแต่เพียงว่า กระทำลงไปเพราะเมาสุราขาดสติสัมปชัญญะ ทั้งไม่ติดใจสืบพยานจำเลย เช่นนี้ จำเลยจะยกกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ว่าไม่เจตนาฆ่าผู้เสียหาย ไม่ได้ฟันแรงนัก ไม่ได้
จำเลยใช้ขวานด้ามยาว 12 นิ้ว คมขวานกว้าง 2.8 นิ้ว ฟันผู้เสียหายทั้งสองที่ศีรษะเต็มแรง แต่ผู้เสียหายทั้งสองหลบทัน คมขวานพลาดศีรษะแต่เกิดบาดแผลซึ่งอาจทำให้ถึงตายได้ และจำเลยยังทำท่าจะฟันซ้ำอีก เช่นนี้จำเลยมีเจตนาฆ่า การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสองมิใช่เพียงแต่ทำร้ายร่างกายเท่านั้น.
จำเลยใช้ขวานด้ามยาว 12 นิ้ว คมขวานกว้าง 2.8 นิ้ว ฟันผู้เสียหายทั้งสองที่ศีรษะเต็มแรง แต่ผู้เสียหายทั้งสองหลบทัน คมขวานพลาดศีรษะแต่เกิดบาดแผลซึ่งอาจทำให้ถึงตายได้ และจำเลยยังทำท่าจะฟันซ้ำอีก เช่นนี้จำเลยมีเจตนาฆ่า การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสองมิใช่เพียงแต่ทำร้ายร่างกายเท่านั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3006/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหมิ่นประมาทด้วยคำพูด ไม่จำเป็นต้องแนบเอกสารถอดเทป หากฟ้องบรรยายถ้อยคำสำคัญได้ชัดเจน และการไม่อุทธรณ์ประเด็นหมิ่นประมาทถือเป็นการยอมรับ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) วรรคสองบัญญัติว่า ในคดีหมิ่นประมาท ถ้อยคำพูด หนังสือ ภาพขีดเขียนหรือสิ่งอื่นอันเกี่ยวกับข้อหมิ่นประมาท ให้กล่าวไว้โดยบริบูรณ์ติดมาท้ายฟ้องนั้น เมื่อโจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงถ้อยคำที่จำเลยกล่าวอันเป็นข้อสำคัญที่ทำให้เห็นว่า เป็นการหมิ่นประมาท ก็ย่อมเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ไม่จำต้องแนบเอกสารที่ถอดข้อความจากเทปบันทึกเสียงติดมาท้ายฟ้องด้วย เพราะเป็นการหมิ่นประมาทด้วยถ้อยคำพูด มิใช่หมิ่นประมาทด้วยหนังสือ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสองบัญญัติว่า อุทธรณ์ทุกฉบับต้องระบุข้อเท็จจริงโดยย่อหรือข้อกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างอิงเป็นลำดับ เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ข้อความที่จำเลยพูดเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ร่วม จำเลยมิได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้คงอุทธรณ์ในข้ออื่นเท่ากับจำเลยยอมรับว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหานี้ถูกต้องแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3006/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหมิ่นประมาทด้วยคำพูด: การบรรยายฟ้องและข้อยอมรับของจำเลย
ในคดีหมิ่นประมาท โจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงถ้อยคำที่จำเลยกล่าวอันเป็นข้อสำคัญที่ทำให้เห็นว่าเป็นการหมิ่นประมาทแล้วแม้จะมีข้อความในคำฟ้องไม่ตรงกับถ้อยคำในแถบบันทึกเสียงซึ่งโจทก์อ้างส่งเป็นพยาน แต่ส่วนใหญ่ใจความตรงกัน และเป็นการหมิ่นประมาทด้วยถ้อยคำพูดมิใช่หมิ่นประมาทด้วยหนังสือโจทก์จึงไม่ต้องแนบเอกสารที่ถอดข้อความจากแถบบันทึกเสียงติดมาท้ายฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158(5) วรรคสอง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าข้อความที่จำเลยพูดเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ร่วม เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ จึงเท่ากับยอมรับว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหานี้ถูกต้องแล้วการที่ศาลอุทธรณ์ฟังเป็นยุติตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยจึงชอบแล้ว.
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าข้อความที่จำเลยพูดเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ร่วม เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ จึงเท่ากับยอมรับว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหานี้ถูกต้องแล้วการที่ศาลอุทธรณ์ฟังเป็นยุติตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยจึงชอบแล้ว.