คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เสรี แสงศิลป์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 535 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1569/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนสิทธิเรียกร้องโดยสมยอมเพื่อหลีกเลี่ยงหนี้ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิร้องสอด
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ค่าซื้อสินค้า โดยอ้างว่าได้รับโอนสิทธิเรียกร้องค่าซื้อสินค้าดังกล่าวมาจากห้างหุ้นส่วนจำกัดช. ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องว่า เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของห้างหุ้นส่วนจำกัด ช.ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และได้ขอให้ศาลชั้นต้นอายัดสิทธิเรียกร้องรายนี้ที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ช.มีต่อจำเลยไว้ชั่วคราวแล้ว และห้างหุ้นส่วนจำกัด ช.กับโจทก์สมยอมกันโอนสิทธิเรียกร้องรายนี้ให้โจทก์นำมาฟ้องจำเลยเพื่อไม่ให้ผู้ร้องสอดได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษา ดังนี้หากเป็นความจริงตามคำร้องของผู้ร้องสอดแล้ว ผู้ร้องสอดควรได้รับความคุ้มครองตามสิทธิของตน จึงมีสิทธิร้องสอดเข้าเป็นคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57(1) ตามขอได้.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1569/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนสิทธิเรียกร้องที่สมยอมกันเพื่อหลีกเลี่ยงเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ผู้มีสิทธิเรียกร้องเดิมมีสิทธิร้องสอด
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ค่าซื้อสินค้า โดยอ้างว่าได้รับโอนสิทธิเรียกร้องค่าซื้อสินค้าดังกล่าวมาจากห้างหุ้นส่วนจำกัด ช.ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องว่า เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของห้างหุ้นส่วนจำกัด ช. ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และได้ขอให้ศาลชั้นต้นอายัดสิทธิเรียกร้องรายนี้ที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ช. มีต่อจำเลยไว้ชั่วคราวแล้ว และห้างหุ้นส่วนจำกัด ช. กับโจทก์สมยอมกันโอนสิทธิเรียกร้องรายนี้ให้โจทก์นำมาฟ้องจำเลยเพื่อไม่ให้ผู้ร้องสอดได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษา ดังนี้หากเป็นความจริงตามคำร้อง ของ ผู้ร้องสอดแล้ว ผู้ร้องสอดควรได้รับความคุ้มครองตามสิทธิของตน จึงมีสิทธิร้องสอดเข้าเป็นคู่ความตาม ป.วิ.พ.มาตรา 57(1) ตามขอได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1516/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการยึดเงินที่จำเลยจำนำไว้ชำระหนี้ของโจทก์ แม้มีหนี้ข้อพิพาทระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง
โจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีโจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ต่อมาจำเลยผิดนัดชำระหนี้ โจทก์ยื่นคำร้องว่ามีเงินของจำเลยที่ขายถั่ว แขกดำได้โดยจำเลยได้จำนำผู้ร้องไว้บางส่วน ซึ่งผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้ได้ส่วนที่เหลือผู้ร้องไม่มีสิทธิใด ๆ ที่จะยึดหน่วงได้ ผู้ร้องแถลงว่าเงินจำนวนดังกล่าวได้นำไปหักกลบลบหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้ผู้ร้องแล้วส่วนหนี้ที่เหลือ คดียังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาล ดังนี้ เมื่อได้ความว่า เงินที่ขายถั่ว แขกดำของจำเลยในส่วนที่เหลือจากที่จำเลยได้จำนำผู้ร้อง และศาลอนุญาตให้ผู้ร้องนำเงินจำนวนนี้ไปเก็บรักษาไว้เงินจำนวนนี้จึงยังเป็นเงินของจำเลยที่ผู้ร้องเก็บรักษาไว้แทนศาลการที่ผู้ร้องนำไปหักชำระหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้ผู้ร้อง มิได้เป็นการหักกลบลบหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 341 เพราะเงินจำนวนนี้มิใช่หนี้ที่ถือได้ว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ผู้ร้อง และหนี้ที่ผู้ร้องอ้างว่าจำเลยเป็นหนี้ผู้ร้องนั้นก็ยังฟ้องร้องกันที่ศาล เป็นหนี้ที่มีข้อต่อสู้อยู่ จึงไม่เป็นกรณีที่จะหักกลบลบหนี้ได้ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธินำไปหักชำระหนี้แก่ผู้ร้องได้ เมื่อเงินจำนวนนี้ยังเป็นของจำเลย โจทก์ย่อมมีสิทธิให้ศาลยึดมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้โจทก์ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1516/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรักษาเงินจากการขายทรัพย์ของจำเลย: ห้ามหักชำระหนี้ที่มีข้อพิพาท
ศาลอนุญาตให้ผู้ร้องเก็บรักษาเงินที่ได้จากการขายทรัพย์ของจำเลยไว้เงินดังกล่าวจึงเป็นเงินของจำเลยที่ผู้ร้องเก็บรักษาไว้แทนศาล ผู้ร้องจะนำไปหักชำระหนี้ของผู้ร้องไม่ได้เพราะเงินจำนวนนี้มิใช่หนี้ที่ถือว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ผู้ร้อง ทั้งหนี้ดังกล่าวก็อยู่ในระหว่างดำเนินคดี เป็นหนี้ที่มีข้อต่อสู้อยู่ จึงไม่เป็นกรณีที่จะหักกลบลบหนี้ได้เมื่อเงินจำนวนนี้ยังเป็นของจำเลย โจทก์ย่อมมีสิทธิยึดมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1512/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม: ศาลชอบที่จะรับได้หากยังสืบพยานไม่เสร็จ
การที่โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานไว้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องนั้นถือว่าโจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานของตน ใน คดีนั้นไว้แล้วทั้งเรื่อง ดังนั้นบัญชีพยานที่โจทก์ยื่นต่อศาลอีกในวันนัดสืบพยานโจทก์วันแรกโดยไม่ได้แถลงต่อศาลว่าเป็นการระบุพยานเพิ่มเติม และไม่ได้ส่งสำเนาให้แก่จำเลย ศาลก็ชอบที่รับไว้ในฐานะเป็นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1512/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม แม้ไม่แถลงต่อศาลและไม่ได้ส่งสำเนาให้จำเลย ศาลก็รับได้
ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานไว้แล้ว ถือว่าโจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานในคดีไว้แล้วทั้งเรื่อง ต่อมาโจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานฉบับหลังในวันที่ศาลนัดสืบพยานโจทก์เป็นวันแรกแม้บัญชีระบุพยานฉบับหลังโจทก์จะไม่ได้แถลงต่อศาลว่าเป็นการระบุพยานเพิ่มเติมและไม่ได้ส่งสำเนาให้แก่จำเลยก็ตามศาลก็รับเป็นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1504/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย: ศาลฎีกาตัดสินว่าการกระทำไม่ใช่การป้องกัน แต่เป็นการพยายามฆ่า
ผู้เสียหายและจำเลยทะเลาะกัน เมื่อผู้เสียหายกำลังจะลุกขึ้นกลับบ้าน จำเลยใช้ไม้ไผ่ที่ถือติดตัวมาตีที่บริเวณก้านคอผู้เสียหายขณะที่กำลังเผลอตัว จนล้มลงแล้วจำเลยได้ใช้ไม้ไผ่แทงที่บริเวณลำคออีก 1 ครั้งเป็นแผลลึกถึงกระดูกไขสันหลังส่วนหน้า ผ่านกล้ามเนื้อบริเวณคอและต่อมไทรอยด์ตัดเส้นประสาทขาด โดยที่ผู้เสียหายมิได้โต้ตอบเช่นนี้การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า แต่ไม่เป็นการป้องกัน.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1491/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าเพื่อชิงทรัพย์: การใช้บท 289(7) ยิ่งกว่า 339 วรรคท้าย
จำเลยที่ 1 ใช้ปืนยิง และจำเลยที่ 2 ใช้มีดฟัน ม.ผู้ตายถึงแก่ความตาย แล้วเอาเงินสดจากตัวผู้ตายพากันหลบหนีไป แม้จำเลยทั้งสองจะกระทำไปโดยประสงค์จะชิงทรัพย์ของผู้ตายก็ตามแต่ในขณะเดียวกันจำเลยทั้งสองก็มีเจตนาฆ่าผู้ตายด้วย จึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้ตายเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่จำเลยทั้งสองได้กระทำการชิงทรัพย์ เพื่อปกปิดความผิดฐานชิงทรัพย์ที่จำเลยทั้งสองได้กระทำไว้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (7) อีกบทหนึ่งและต้องใช้กฎหมายบทนี้ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลยทั้งสองตามมาตรา 90.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1491/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าเพื่อชิงทรัพย์: การพิจารณาความผิดฐานฆ่าเพื่อประประโยชน์ทางทรัพย์สิน
จำเลยทั้งสองร่วมกันชิงทรัพย์ผู้ตาย และในการชิงทรัพย์นี้จำเลยที่ 1 ใช้ปืนยิง จำเลยที่ 2 ใช้มีดฟันผู้ตาย แม้จำเลยทั้งสองจะกระทำไปโดยประสงค์จะชิงทรัพย์ของผู้ตายก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันจำเลยทั้งสองก็มีเจตนาฆ่าผู้ตายด้วย การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้ตาย เพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่จำเลยทั้งสองได้กระทำการชิงทรัพย์เพื่อปกปิดความผิดฐานชิงทรัพย์ที่จำเลยทั้งสองได้กระทำไว้ตาม ป.อ. มาตรา 289(7)อีกบทหนึ่งด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1491/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าเพื่อชิงทรัพย์: ความผิดฐานฆ่าเพื่อประสงค์เอาทรัพย์ ต้องลงโทษบทหนักตาม ม.289(7)
จำเลยที่ 1 ใช้ปืนยิง และจำเลยที่ 2 ใช้มีดฟัน ม.ผู้ตายถึงแก่ความตาย แล้วเอาเงินสดจากตัวผู้ตายพากันหลบหนีไป แม้จำเลยทั้งสองจะกระทำไปโดยประสงค์จะชิงทรัพย์ของผู้ตายก็ตามแต่ในขณะเดียวกันจำเลยทั้งสองก็มีเจตนาฆ่าผู้ตายด้วย จึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้ตายเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่จำเลยทั้งสองได้กระทำการชิงทรัพย์ เพื่อปกปิดความผิดฐานชิงทรัพย์ที่จำเลยทั้งสองได้กระทำไว้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(7) อีกบทหนึ่งและต้องใช้กฎหมายบทนี้ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลยทั้งสองตามมาตรา 90.
of 54